เมื่อเรากำลังตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนและสามีกำลังเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย......ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะทุกคน....วันนี้เรามีประสบการณ์มาแชร์และอาจจะมีคำถามเล็กๆน้อยๆสำหรับคนที่มีความรู้เรื่องมะเร็งและค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ก่อนอื่นเราคงต้องขอเล่าเรื่องประสบการณ์ที่เจ็บปวดของเราในตอนนี้ให้ทุกๆคนได้ทราบ...

เราอายุ 33 ปีเมื่อเดือนนี้เองตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนชีวิตเหมือนจะไปได้ดีเมื่อต้นปีก็เพิ่งออกรถป้ายแดงมา 1 คันเพราะพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว...เรากับแฟนรักกันมา 15 ปีและเพิ่งตั้งครรภ์ลูกคนแรก...แฟนเราอายุ 39 ปีย่าง 40 ค่ะ...

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมาแฟนเราเกิดอาการตาพร่ามัวขณะทำงาน ตาลายมองเห็นเหมือนภาพซ้อน ลานสายตาข้างขวามองเห็นไม่เต็มพื้นที่เหมือนกับว่าจอภาพมันแคบลง มีอาการปวดหัวเหมือนปวดไมเกรน ไปเช็คร่างกายมาประมาณ 3 รพ.ทั้งรพ.รัฐและเอกชน ให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นไมเกรนให้ยามาทานแต่อาการยังไม่หาย ยังคงมีอาการตาลายและปวดหัวเป็นบางครั้ง ล่าสุดช่วงวันที่ 20 ส.ค.แฟนเราไปทำงานและขอลากลับก่อนเนื่องจากปวดหัวและเพื่อนที่ทำงานพามาส่งรพ.หัวเฉียว หมอทำการตรวจเช็คสายตาและเอกซเรย์กระดูกต้นคอ ผลเป็นปกติทุกอย่างแต่พอกลับมาบ้านเขาบอกว่าสายตาเขามองเห็นไม่ชัดและตาขวามองทางหางตาแล้วไม่เห็นภาพจนวันที่ 20 เขาขับรถมอร์ไซด์ชนตรงหน้าปากซอยบ้านได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย วันที่ 21 ส.ค.เราจึงตัดสินใจพาเขากลับไปที่รพ.หัวเฉียวอีกครั้ง หมอตรวจเช็คสายตาอีกครั้งและส่งตัวทำ CT Scan เพราะหมอบอกว่าน่าจะเป็นอาการทางสมองหรือระบบประสาทมากกว่า....รอผลไม่นาน...ผลที่ได้เหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาตรงหัวใจของเราและสามี....สามีเรามีเนื้องอกในสมองทางด้านซ้ายขนาด 4 ซม.กว่าซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเนื้อร้าย เนื้อดี ฝีหรือวัณโรคขึ้นสมอง... (ขั้นตอนในการทำ CT Scan ในช่วงนี้เราเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก หมดไปเกือบๆ 3 หมื่นมีทำ MRI ที่ประชาชื่น MRI อีก อ่อ แฟนเราไม่มีประกันสังคมค่ะเพราะที่ทำงานเขาไม่ทำให้แต่มีการให้ค่าช่วยเหลือมา 5 หมื่นบาทหลังจากรู้ว่าแฟนเราเป็นเนื้องอกในสมอง)

หมอแนะนำให้พบอาจารย์หมอที่เป็นคลีนิคนอกเวลาและฟันธงว่ามันคือเนื้องอก แนะนำให้ทำการผ่าตัดโดยด่วน...ไม่ควรรอนานเพราะมีผลกระทบต่อสายตาเกรงว่าตาจะบอดและสูญเสียการมองเห็น สติเราหลุด ร้องไห้ฟูมฟายในห้องน้ำ ร้องไห้ต่อหน้าหมอ กอดสามีแล้วร้องไห้ ตอนนั้นกลัวไปหมดทุกอย่าง...  

ผลสุดท้ายเมื่อเราทำการศึกษาเรื่องเนื้องอกในสมองแล้วและผ่านการร้องไห้ฟูมฟายมาอย่างหนัก ขาดสติอยู่พักใหญ่ เรากับครอบครัวก็ตัดสินใจไปปรึกษาหมอที่รพ.ศิริราชเพื่อทำการผ่าตัดเมื่อวันที่ 13 ก.ย.2556 ที่ผ่านมานี้เอง....โชคดีอย่างนึงคือแฟนเราฟื้นตัวเร็วมาก การผ่าตัดเสร็จสิ้นประมาณ 19.30 น. ไม่นานสามีเราก็ฟื้นและถามหาลูกเมียกับพยาบาลในห้องไอซียู เราเผลอร้องไห้ให้แฟนเราเห็นในห้องไอซียูอีกแล้ว...วิ่งไปกอดเขาและดีใจมากที่เขาปกติทุกอย่างหลังผ่าตัด...ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่ชีวิตเราคงหนีเวรกรรมที่ทำร่วมกันมาไปไม่พ้น....ผลตรวจชิ้นเนื้อยังไม่ทันออก แต่เช้าวันที่ 14 ก.ย. 2556 หมอก็มาบอกเปรยๆแล้วว่าลักษณะก้อนเนื้อที่ผ่าออกมาจากสมองเป็นเนื้อไม่ดีนะ แต่หมออยากรอผลชิ้นเนื้อก่อน... (ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองกับรพ.ศิริราชคลีนิคนอกเวลาเป็นเงินเกือน 150,000 บาท เราลงข้อมูลไว้เผื่อใครอยากทราบค่ะ)

ก่อนออกจากรพ.ประมาณ 2 วัน หมอก็มาบอกข่าวร้าย ข่าวร้ายที่ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องร้ายๆขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตเราทรุดแล้วทรุดอีกจนแทบไม่มีแรงจะเดินต่อไป.... (หมอได้ทำ CT Scan ปอดไว้แล้วและบอกว่าเนื้อร้ายส่วนมากจะเป็นเนื้อที่แพร่กระจายมาจากส่วนอื่นแล้วไปที่สมอง).....และแล้วความเสียใจความกังวลกับคุณแม่คนนี้ที่กำลังตั้งครรภ์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผลการตรวจสแกนปอดพบเนื้องอกขนาด 3 ซม.กว่าที่ปอดล่างข้างขวา (แฟนเราสูบบุหรี่ค่ะ สูบมาหลายปีแล้ว ตรงนี้คงหลีกหนีความเสี่ยงของตนเองที่สร้างขึ้นมาไม่ได้) เนื้องอกในสมองและที่ปอดเป็นเนื้อร้ายระยะแพร่กระจาย หมอขออ่านฟิล์มเพิ่มอีกครั้งเนื่องจากหมอ 2 คนเห็นว่ามีแค่ก้อนเดียวในปอด แต่อีกคนเห็นเป็นขนาดมิลลิเมตรเล็กๆในปอดอีกก้อน ซึ่งหมอก็คงถกเถียงกันเอง....ขอปรึกษาอาจารย์หมอก่อนว่าจะเอายังไง ถ้ามีก้อนเดียวก็จะผ่าตัดปอดช่วงล่างทิ้ง แต่ถ้ามี 2 ก้อนก็จะให้ยา (ซึ่งอาจจะเป็นคีโมตามความเข้าใจเรา) ส่วนหมอทางด้านสมองก็มาพบญาติและเราว่าที่สมองต้องทำรังสีนะ เพราะเราผ่าออกได้หมดก็จริงแต่เราไม่รู้ว่าเซลส์มะเร็งในสมองกระจายไปตรงไหนบ้างต้องฉายรังสีซ้ำ....ทุกอย่างคือค่าใช้จ่าย ค่าผ่าตัดพ่อเราเป็นคนออกค่ารักษาให้เพราะพ่อพอมีเงินที่สุดในครอบครัว ส่วนเราก็มีเงินเก็บแค่เพียงเล็กน้อย...

สามีเรามีบัตรทองอยู่ที่รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ตอนนี้เรากำลังตัดสินใจว่าจะกลับไปที่รพ.นั้นอีกครั้ง เนื่องจากครั้งแรกที่ไปเดินเรื่องบัตรทองเพื่อรักษาเนื้องอกในสมองไม่มีความประทับใจเลยจึงตัดสินใจออกค่าใช้จ่ายเอง แต่เมื่อผลออกมาว่าเป็นเนื้อร้ายคิดว่าการรักษาต้องเป็นระยะยาว ครอบครัวเราอาจจะมีเงินไม่เพียงพอ จึงหวังจะกลับไปพึ่งบัตรทองอีกครั้ง...

วันพรุ่งนี้ 25 ก.ย.และ 26 ก.ย.56 ต้องกลับไปที่ศิริราชอีกครั้งเพื่อทำสแกนกระดูกไขสันหลังและพบหมอปอดอีกครั้ง ตอนนี้เราและสามีเริ่มทำใจ (ที่ทำได้ยาก) ขอบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายว่าขอให้กระดูกสันหลังไม่มีเนื้อร้ายงอกขึ้นมาอีก...ตอนนี้เราเองยังทำใจได้น้อยกว่าคนป่วย...เรากลัวไปหมดทุกอย่าง...ทุกข์ใจจนกินข้าวไม่ได้ นั่งเหม่อลอยและสติไม่อยู่กับตัวจนทุกๆคนเป็นห่วงและห่วงตัวเล็กในท้องเรา....ยอมรับว่าเราห่วงลูกในท้องเช่นกันแต่มันเป็นปฎิกิริยาที่เราห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ....

เราขอถามคำถามผู้รู้หรือคนที่มีประสบการณ์ทางด้านมะเร็งหน่อยนะคะ...

1.ค่ารังสีและคีโมเท่าที่เราหาข้อมูลมามันแพงมากใช่มั้ยคะ มีใครพอทราบมั้ย เท่าที่หาข้อมูลมาคือ หลักพัน หลักหมื่น หลักแสน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องจ่ายราคาไหน ราคาเท่าไร

2.ตอนนี้เราอยากจะเข้าไปพึ่งพวกมูลนิธิเกี่ยวกับการรักษามะเร็ง ไม่ต้องรักษาฟรีก็ได้ เพียงแต่ให้ค่าใช้จ่ายมันถูกลงเพราะการผ่าตัดรวมพักฟื้น ยาต่างๆค่าหมอ การดูแลจากพยาบาลเมื่อรวมๆกันแล้วหลักแสนทุกครั้ง...ใครพอมีคำแนะนำบ้างคะ...

3.การผ่าตัดตัดเนื้อร้ายคือวิธีรักษาสำหรับคนที่มีเนื้อร้ายน้อยๆหรือเปล่าค่ะ แต่ถ้าลุกลามแพร่กระจายไปหลายที่จะใช้วิธีการให้คีโมและฉายรังสี (ตรงนี้เราเข้าใจเอาเองใครพอทราบข้อมูลบ้างคะ)

ปล.ขอเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ หมอปอดบอกว่าดูจากผลสแกนปอดแล้ว ที่กรวยไตและตับไม่มีเนื้อร้ายงอกมาค่ะ นี่คงเป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตตอนนี้...

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านและขอบพระคุณคนที่เข้ามาตอบให้ความรู้....เราขออย่างเดียวว่าคอมเม้นท์ที่ตอบอย่าบอกให้เราทำใจนะคะ เราทำใจไม่ได้จริงๆ....เราจะสู้ค่ะ สามีเราก็จะสู้เพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมา เราคิดแต่ว่าสามีเราต้องหายแม้ความหวังที่มีมันจะน้อยหรือไม่ก็ตาม.....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่