"ชูวิทย์" โพสต์วิจารณ์การเผด็จการทางการเมืองและผูกขาดธุรกิจ
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 19:07:27 น.
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่าน ชูวิทย์ I′m No.5
เรื่อง "เผด็จการทางการเมือง = ผูกขาดทางธุรกิจ" ความว่า
โลกปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะ "การเมือง" เท่านั้น ที่มี "เผด็จการเสียงข้างมาก" ธุรกิจก็มีเช่นกัน เรียกว่า "ระบบผูกขาด" (Monopoly)
ประเทศไทย มี 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ "ไก่" ทั้งไก่แช่แข็ง ไก่แปรรูป ไข่ มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถึงปีนี้ หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง "สหฟาร์ม" ประสบปัญหาอย่างหนัก และหยุดจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานมากกว่า 3 หมื่นคน รวมทั้งซัพพลายเออร์
บรรดา "ธนาคารเจ้าหนี้" ทั้ง 8 แห่ง พยายามติดต่อ ให้บริษัทธุรกิจไก่รายใหญ่ที่เหลืออีกราย อย่าง "ซีพี" เข้าเทคโอเวอร์ "สหฟาร์ม" หากดีลครั้งนี้เกิดขึ้นจริง ซีพี จะกลายเป็น "ผู้ผูกขาด" ตลาดทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปถึงปลายน้ำ เริ่มจากกระบวนการการผลิต แปรรูป ค้าปลีกอย่าง 7-11 ค้าส่ง Macro รวมถึงส่งออกสู่ต่างประเทศ นอกจากนั้น ซีพี ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
“Monopoly" หรือ "ระบบผูกขาด" เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค เพราะถูกกำหนดราคา จากผู้ควบคุมตลาดเพียงเจ้าเดียว ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายในราคาที่ไม่มีการแข่งขัน หลายประเทศเคยมีประสบการณ์ สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป ต่างมีกฎหมายที่เรียกว่า "Anti Trust" เป็นกฎหมายป้องกันการผูกขาด มาเป็นเวลายาวนาน ไม่มีธุรกิจประเภทใดที่สามารถผูกขาด ตั้งแต่กระบวนการผลิต ค้าส่ง ค้าปลีก ไปจนถึงผู้บริโภค ทั้งซัพพลายเออร์ และส่งออก ได้เหมือนที่ ซีพี ทำอยู่ในประเทศไทยอย่างทุกวันนี้
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไก่ ไม่มีใครแข็งแกร่งเท่า ซีพี ด้วยเงินทุนมหาศาล และครอบงำตลาดทั้งหมดในประเทศไทย
แต่ ซีพี ไม่กล้าที่จะไปลงทุนในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป เพราะประเทศเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งของระบบกฎหมายป้องกันการผูกขาด จึงเลือกที่จะไปลงทุนในประเทศอย่าง จีน เวียดนาม และในเอเชีย
ความไม่แข็งแกร่ง และช่องว่างของกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ธุรกิจที่เพรียบพร้อมไปด้วยเงินทุน อิทธิพล คอนเนคชั่นกับทุกพรรคการเมือง เติบโตจนกลายเป็นระบบผูกขาด โดยไม่มีรัฐบาลหน้าไหนกล้าที่จะหยุดยั้ง
“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" หากเมื่อใดที่ ซีพี สามารถครอบงำธุรกิจไก่ได้ 100% คำว่า "จริยธรรม" เป็นเพียงคำโฆษณาในทีวี เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทเท่านั้น ราคาไก่ และไข่ จะถูกควบคุม ขึ้นลง โดยบริษัท ไม่ใช่จากกลไกตลาด Demand และ Supply อีกต่อไป
ท้ายที่สุด จะเหมือนกับในสภาฯ ที่ "เสียงข้างมาก" สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ส่วนทางธุรกิจ บริษัทที่ควบคุมตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ย่อมมีลักษณะเหมือน "เผด็จการ" ดังนั้น เราอาจเปรียบเทียบได้ว่า "เผด็จการทางการเมือง เท่ากับ การผูกขาดทางธุรกิจ" นั่นเอง
ทุกวันนี้ ประเทศไทยตกอยู่ใน "ห้วงอันตราย" อย่างยิ่ง เมื่อทางการเมืองมี "เผด็จการเสียงข้างมาก" และทางการตลาดมี "ผู้ผูกขาดทางธุรกิจ"
ผมว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1379237332&grpid=&catid=01&subcatid=0100
"ชูวิทย์" โพสต์วิจารณ์การเผด็จการทางการเมืองและผูกขาดธุรกิจ ........ "ผมว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ"
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 19:07:27 น.
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่าน ชูวิทย์ I′m No.5
เรื่อง "เผด็จการทางการเมือง = ผูกขาดทางธุรกิจ" ความว่า
โลกปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะ "การเมือง" เท่านั้น ที่มี "เผด็จการเสียงข้างมาก" ธุรกิจก็มีเช่นกัน เรียกว่า "ระบบผูกขาด" (Monopoly)
ประเทศไทย มี 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ "ไก่" ทั้งไก่แช่แข็ง ไก่แปรรูป ไข่ มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถึงปีนี้ หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง "สหฟาร์ม" ประสบปัญหาอย่างหนัก และหยุดจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานมากกว่า 3 หมื่นคน รวมทั้งซัพพลายเออร์
บรรดา "ธนาคารเจ้าหนี้" ทั้ง 8 แห่ง พยายามติดต่อ ให้บริษัทธุรกิจไก่รายใหญ่ที่เหลืออีกราย อย่าง "ซีพี" เข้าเทคโอเวอร์ "สหฟาร์ม" หากดีลครั้งนี้เกิดขึ้นจริง ซีพี จะกลายเป็น "ผู้ผูกขาด" ตลาดทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปถึงปลายน้ำ เริ่มจากกระบวนการการผลิต แปรรูป ค้าปลีกอย่าง 7-11 ค้าส่ง Macro รวมถึงส่งออกสู่ต่างประเทศ นอกจากนั้น ซีพี ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
“Monopoly" หรือ "ระบบผูกขาด" เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค เพราะถูกกำหนดราคา จากผู้ควบคุมตลาดเพียงเจ้าเดียว ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายในราคาที่ไม่มีการแข่งขัน หลายประเทศเคยมีประสบการณ์ สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป ต่างมีกฎหมายที่เรียกว่า "Anti Trust" เป็นกฎหมายป้องกันการผูกขาด มาเป็นเวลายาวนาน ไม่มีธุรกิจประเภทใดที่สามารถผูกขาด ตั้งแต่กระบวนการผลิต ค้าส่ง ค้าปลีก ไปจนถึงผู้บริโภค ทั้งซัพพลายเออร์ และส่งออก ได้เหมือนที่ ซีพี ทำอยู่ในประเทศไทยอย่างทุกวันนี้
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไก่ ไม่มีใครแข็งแกร่งเท่า ซีพี ด้วยเงินทุนมหาศาล และครอบงำตลาดทั้งหมดในประเทศไทย
แต่ ซีพี ไม่กล้าที่จะไปลงทุนในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป เพราะประเทศเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งของระบบกฎหมายป้องกันการผูกขาด จึงเลือกที่จะไปลงทุนในประเทศอย่าง จีน เวียดนาม และในเอเชีย
ความไม่แข็งแกร่ง และช่องว่างของกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ธุรกิจที่เพรียบพร้อมไปด้วยเงินทุน อิทธิพล คอนเนคชั่นกับทุกพรรคการเมือง เติบโตจนกลายเป็นระบบผูกขาด โดยไม่มีรัฐบาลหน้าไหนกล้าที่จะหยุดยั้ง
“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" หากเมื่อใดที่ ซีพี สามารถครอบงำธุรกิจไก่ได้ 100% คำว่า "จริยธรรม" เป็นเพียงคำโฆษณาในทีวี เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทเท่านั้น ราคาไก่ และไข่ จะถูกควบคุม ขึ้นลง โดยบริษัท ไม่ใช่จากกลไกตลาด Demand และ Supply อีกต่อไป
ท้ายที่สุด จะเหมือนกับในสภาฯ ที่ "เสียงข้างมาก" สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ส่วนทางธุรกิจ บริษัทที่ควบคุมตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ย่อมมีลักษณะเหมือน "เผด็จการ" ดังนั้น เราอาจเปรียบเทียบได้ว่า "เผด็จการทางการเมือง เท่ากับ การผูกขาดทางธุรกิจ" นั่นเอง
ทุกวันนี้ ประเทศไทยตกอยู่ใน "ห้วงอันตราย" อย่างยิ่ง เมื่อทางการเมืองมี "เผด็จการเสียงข้างมาก" และทางการตลาดมี "ผู้ผูกขาดทางธุรกิจ"
ผมว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1379237332&grpid=&catid=01&subcatid=0100