ดวงยิหวาแห่งราชันย์ ตอนที่ 7

กระทู้สนทนา
๗...

ที่พระตำหนักฝ่ายในลุกเป็นไฟเมื่อเจ้าของพระตำหนักทรงคร่ำครวญเรียกหาแต่พระเชษฐาที่ไม่ทรงมาหานาง เจ้าหญิงมาเรียนาลีทรงมีกระแสรับสั่งให้บาริน่าไปตามเจ้าหญิงแอนนี่เชียมาพบเพื่อสอบถามเรื่องการหายตัวไปของพระเชษฐาแต่กลับได้รับคำตอบเพียงว่าไม่ทรงรู้ว่าพระเชษฐาทรงหายไปไหน พระพักตร์ดูไม่พอพระทัยเป็นยิ่ง สายพระเนตรดูโหดเหี้ยมจนแอนนี่เชียต้องย่างเท้าถอยหลังหนีเพราะมันเป็นสัญญาณบอกว่าพระพี่นางกำลังอยู่ในอารมณ์ใด


“ฝ่าบาท” สุรเสียงที่บ่งบอกถึงอาการดีใจขององครักษ์หนุ่มก่อนที่วรกายหนาภายใต้ผ้าห่มพระองค์จะขยับ ยัซซินที่ถวายการดูแลทั้งคืนถึงกับน้ำตาตกรีบเข้าไปคุกเข่าลงข้างแท่นบรรทม ทีเป็นโทษที่หนักหนาสำหรับองครักษ์ที่ไม่ดูแลฝ่าบาทให้ดี

“ทรงลงโทษกระหม่อมเถิดที่กระหม่อมละเลยต่อหน้าที่จนพระองค์ต้องประชวรเช่นนี้” กษัตริย์อัสมันมีเพียงรอยแย้มพระสรวลอย่างไม่ถือสา ความผิดในครานี้มิใช่ยัซซินที่ผิดแต่พระองค์ต่างหากที่ยังดื้อด้านทุมเทชีวิตให้กับความรักจนหมดสุดท้ายหทัยดวงน้อยก็ยังใจแข็งเหมือนเดิม

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก คนที่ผิดจริงๆ คือเราต่างหาก” ตรัสรับสั่งออกมาอย่างเศร้าซึม

“หาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรกระหม่อมก็ผิดตรงที่ละทิ้งหน้าที่ขององครักษ์ที่ดี กระหม่อมสมควรที่จะต้องได้รับบทลงโทษจากฝ่าบาท”

“เราจะไม่ลงโทษใครทั้งนั้น แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เห็นสมควรที่จะต้องกลับบ้านเมืองของเราเสียที” แม้จะยังไม่หายดีแต่ถ้าต้องอยู่ที่เซนารักอีกนานเกรงว่าพระทัยจะหาความสงบสุขยาก ด้วยหทัยดวงนี้ยังไม่อาจตัดสัมพันธ์รักจากแม่บัวแรกแย้มได้ วรกายหนาเตรียมจะลุกขึ้นแต่ต้องประทับลงไปใหม่เมื่อแม้แต่จะทรงตัวก็ยังไม่อาจทำได้ดั่งใจ

“พระองค์ทรงยังไม่หายดี กระหม่อมว่า...” ยัซซินเข้ามาช่วยประคองพระองค์ สีพระพักตร์ยังซีดซึมแถมเรี่ยวแรงของพระองค์ก็ยังไม่ทรงแข็งแรงดีถ้าจะเสด็จกลับเวลานี้อาจจะเป็นภัยแก่พระองค์เป็นแน่ ราชาอัสมันทรงประทับยังแท่นบรรทมตามเดิมหากแต่พระเนตรดำขลับเหมือนมีน้ำพระเนตรคลอเคลีย ยัซซินไม่กล้าทูลถามเพราะเกรงว่าจะไปสะกิดพระทัยของพระองค์เข้าจึงยอมที่จะเป็นผู้รับฟังที่ดี

“เราไม่ดีตรงไหนหรือ ยัซซิน เหตุใดแอนนาริตาถึงไม่รับรักเรา”

“พระองค์ทรงดีพร้อมทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ บางทีความรักก็ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านั้นหากพระองค์สามารถชนะใจเจ้าหญิงได้”

“แต่หัวใจของแอนนาริตาเข้มแข็งเกินกว่าที่กษัตริย์อย่างเราจนปัญญาที่จะชนะหัวใจนาง” วาจาแสนเศร้ากลั่นกรองมาจากหทัยที่กำลังมีบาดแผลฉกรรจ์ หากบาดแผลนั้นไม่มียารักษาให้หายขาดได้

“ทรงรู้ได้อย่างไรว่าจนปัญหาที่จะได้หัวใจของหม่อมฉัน” กษัตริย์หนุ่มหันพระพักตร์ไปตามสุรเสียงหวานของเจ้าหญิงแอนนาริตา พระองค์หญิงเสด็จมาเพื่อต้องการทราบพระอาการประชวรของฝ่าบาทต่างเมืองด้วยโทษว่าเป็นความผิดของนางที่ทำให้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องป่วยเยี่ยงนี้

“แอนาริตา” มีเพียงพระพักตร์นิ่งงันก่อนที่พระเนตรสีดำจะทรงหลบพระเนตรสีน้ำตาลเข้มของเจ้าหญิงแอนนาริตา ยัซซินอยากเปิดโอกาสให้ทั้งสองพระองค์ได้มีอยู่เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังจึงประสานสายตาไปยังบ่าวสาวผู้น้อยที่ต่างก็กำลังจ้องมองหน้าขององค์รักหนุ่มอยู่เหมือนทั้งคู่จะรู้เพราะต่างเดินออกจากพลับเพลาชั่วคราว

เจ้าหญิงแอนนาริตาเข้ามาประทับนั่งข้างแท่นบรรทมของเจ้าชายก่อนจะทรงทอดพระเนตรด้วยสายตาเรียบเฉย อยากถามถึงพระอาการของการประชวร แต่ไม่กล้าเอ่ยถามมากเพราะเกรงจะเป็นการเชื้อเชิญให้พระองค์เกิดจิตเสน่หาหาว่านางทรงเป็นห่วงพระองค์และมันอาจจะดูไม่งาม

“ที่เจ้าหญิงเสด็จมาหาพี่ก็เพื่อมาดูให้แน่ใจว่าพี่ตายแล้วหรือยัง” รับสั่งออกไปด้วยพระพักตร์เศร้าซึมแม้แต่พระเนตรดำขลับคู่นั้นยังมองมาด้วยความเศร้าสลดหากสิ่งที่พระองค์คิดหรือพูดไปนั้นเป็นจริง พระองค์คงเจ็บปวดอุรามากยิ่งกว่าใคร เจ้าหญิงแอนนาริตาประทับนั่งลงข้างพระแท่นบรรทม มองพระพักตร์ที่ยังไม่หายดีแท้แต่ทวาคำตรัสนั้นช่างบาดใจนางเสียจริง แม้นไม่อยากรู้สึกแต่ลึกๆ คงอดไม่ได้ที่จะน้อยใจในคำตรัสของพระองค์ นางไม่ใจร้ายพอที่จะเป็นอย่างคำครหาของฝ่าบาท

“หาไม่ได้ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงพระประชวร ครั้นจะไม่ดูดำดูดีก็เห็นจะไม่สมควร” เอ่ยรับสั่งเสียงเรียบ

“เจ้าหญิงไม่ต้องบอกพี่หรอก พี่รู้ดีว่าตัวพี่ไม่ได้มีความสำคัญกับเจ้าหญิงเกินแขกบ้านต่างเมือง พี่ทราบดีและพี่ก็กำลังจะกลับเมืองของพี่บัดเดี๋ยวนี้” เจ้าชายรับสั่งอย่างแง่งอนลุกวรกายออกจากแท่นบรรทมก่อนจะเสด็จเตรียมออกจากพลับเพลา เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงลุกขึ้นเสด็จตามพระองค์แต่ไม่ทันก้าวพ้นนางก็ต้องรีบไปรับร่างที่กำลังจะล้มลงของฝ่าบาท

    เจ้าหญิงแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน แม้อีกฝ่ายจะมองมาว่าเป็นการสมเพชเพียงใด ศึกใดจะเจ็บเท่าศึกรักยิ่งคนที่รักหมางเมินยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวจนจะขาดใจเสียให้ได้ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าความรัก เจ้าชายหนุ่มก้มพระพักตร์มองยังพระหัตถ์อุ่นที่กำลังประคองไม่ให้พระองค์ล้ม แน่แท้เจ้าเป็นคนเช่นใดกันแน่ บางครั้งเหมือนตัวน้องต้องการออกห่างแต่บางทีก็เหมือนน้องต้องการเข้าหา

“ทรงรักหม่อมฉันจริงๆ นะหรือเพคะ พระองค์แน่พระทัยงั้นหรือว่านั่นคือความรัก” แม้นั่นเป็นเพียงคำตรัสแสนเรียบแต่ความหมายของมันเหมือนมีดปลายแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจ เจ็บปวดแสนทรมานจนไม่อาจจะตอบคำถามนวลนางได้อีก

“เจ้าหญิงย้ำถามพี่เพราะอยากให้พี่ต้องเจ็บปวดอีก ถึงเจ้าหญิงไม่ถามซ้ำพี่ก็เจ็บสุดจะทนแล้ว เจ้าหญิงจะทรมานใจพี่ด้วยการถามอีกเพื่อเหตุใด” วาจาของฝ่าบาทสร้างความรู้สึกผิดให้เจ้าหญิงผู้สูงทรง นางไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร หากสิ่งที่นางอยากได้มันกลับทำร้ายพระองค์ทางอ้อม

“หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยเพคะหากสิ่งที่หม่อมฉันคาดหวังว่าจะได้ยินจากปากของพระองค์อีกจะทรงเป็นการทำร้ายหัวใจของพระองค์มากถึงเพียงนี้” สิ้นคำตรัสของเจ้าหญิงแอนนาริตา พระหัตถ์เล็กก็ปล่อยออกจากพระกรแข็งแกร่งแต่เจ้าของพระกรนั้นกลับฉวยร่างงามของเจ้าหญิงมาแนบกายแทน นานเป็นนานที่ต่างฝ่ายจะเงียบงันก่อนที่อัสมันจะตรัสบางเบา

“พี่รักน้อง รักมาก รักยิ่งกว่าผู้ใด สตรีใดที่พบเห็นหามีผู้ใดถูกใจหรือต้องตาพี่ได้เท่าน้อง แอนนาริตา พี่มีน้องไว้ในดวงหทัยของพี่อยู่เรื่อยมา หากน้องไม่เชื่อคำพูดของพี่อีก พี่ก็จะพิสูจน์ให้น้องได้เห็นอีก”

“ด้วยการทรมานพระวรกายเหมือนอย่างเช่นที่ฝ่าบาททรงทำนะหรือเพคะ”

“หากมันจะทำให้น้องยอมรับในตัวพี่ พี่ยินดี”

“อย่าทรงทำเช่นนั้นอีกนะเพคะ หม่อมฉันเองก็ต้องขอพระราชอภัยฝ่าบาทอีกครั้ง ที่ทรงทำให้พระองค์เสียพระทัยมาหลายหน เวลานี้หม่อมฉันยอมรับคำรักของพระองค์แล้วเพคะ”

“นี่น้องหมายความว่า” ดวงตาสีดำขลับฉายออกมาอย่างสงสัย ไม่ปิดบังจนแอนนาริตาต้องเฉลย

“หัวใจของหม่อมฉันเป็นของฝ่าบาทนับตั้งแต่ที่พระองค์กระทำการเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา หม่อมฉันลองมาตริตรองอย่างละเอียดแล้วเห็นสมควรที่พระองค์จะได้หัวใจของหม่อมฉันไป”

“แอนนาริตา น้องพูดจริงหรือ”

“เพคะ” เสียงหัวเราะที่แสดงถึงอาการดีใจสุดๆ ของกษัตริย์หนุ่ม วรกายอรชรถูกสวมกอดอย่างเผลอตัวอีกครั้งแม้จะอยากต่อต้านแต่ก็กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายพระองค์อีก นางไม่ใช่หรือที่เป็นต้นเหตุให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้

“เจ้าว่าข้างในจะเป็นยังไงบ้าง” เพราะมันเงียบผิดปรกติ ยัซซินเดินไปเดินมาอยู่หน้าพระตำหนัก เพราะอยากให้ทั้งสองพระองค์ได้พูดคุยกันตามลำพังจึงชักชวนแม่บ่าวสาวผู้นี้ออกมาด้วย

“หมายความว่าอย่างไร ที่ข้างในจะเป็นยังไง” มายาถามเสียงดุ ยัซซินหัวเราะ

“สองพระองค์อยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้เจ้าว่าจะมีเหตุอันใดเกิดขึ้นกับสองพระองค์บ้าง” สายตาเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าของยัซซิน มายาหน้าซีดเริ่มใจไม่อยู่กับตัว

“งั้นข้าต้องรีบเข้าไป” มายาลุกขึ้น สายตามองไปยังประตูพระตำหนักแต่ยัซซินคอยมาขวางทางอยู่เรื่อยไป

“แนะ เจ้าจะเข้าไปขัดจังหวะสองพระองค์ทำไม ไม่กลัวถูกลงโทษหรือ มาเถอะแม่มาเฝ้าหน้าห้องคุยกันเป็นเพื่อนข้าก่อน”

“ข้าไม่คุยกับเจ้า ไปให้พ้นเลยนะไอ้...”

“พูดจาไม่เพราะเลย หรืออยากได้คำสั่งสอนจากข้า ฮึ” ยัซซินยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนมายาหน้าแดงรีบถอยหลังหนีหันหน้าไปทางอื่น องครักษ์หนุ่มอมยิ้มก่อนจะเอ่ย

“ข้ามีชื่อว่ายัซซิน หากเจ้าจะเมตตาจำชื่อข้าไว้มันก็จะดีแก่ตัวเจ้า เผื่อมีโอกาสได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภายภาคหน้า” มายาเพิ่งรู้ชื่อขององครักษ์หนุ่มแห่งกษัตริย์อัสมันประเดี๋ยวนี้เอง ถ้าเป็นเช่นนั้นนางควรบอกชื่อนางให้รู้หรือไม่ แต่ไม่ทันจะได้ทำการใดต่อ เจ้าชายอานามานัสก็เสด็จมาเยี่ยมเยือนพระอาการประชวรของพระสหายต่างเมืองเสียก่อน พระพักตร์ของพระองค์ฉายแววแปลกพระทัยยิ่งเมื่อเห็นบ่าวสองฝ่ายมาอยู่บริเวณหน้าแทนที่จะเข้าถวายการรับใช้เจ้านาย

“ถวายบังคมเพคะเจ้าชาย พระองค์เสด็จมาเยี่ยมฝ่าบาทใช่หรือไม่เพคะ ถ้าเช่นนั้นเชิญเสด็จเลยเพคะ ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว” มายารีบทูล

“แต่กระหม่อมว่าอย่าเพิ่งเสด็จเข้าไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงประทับอยู่ข้างในด้วย ทั้งสองมีเรื่องที่ต้องสะสางกันพ่ะย่ะค่ะ”

“จริงหรือ ที่น้องสาวของเราอยู่ในนั้น” เจ้าชายอานามานัสตรัสถามอย่างหยั่งรู้ ถือเป็นกำหนดการที่ดีอย่างน้อยพระขนิษฐาของพระองค์ก็ยอมเสด็จมาหาพระสหาย

“เจ้าชายเพคะ รีบเสด็จเถอะเพคะ อย่าทรงสงสัยอันใดอีกเลย บ่าวว่าพระองค์รีบเข้าไปเถอะเพคะ”

“เจ้านี่กระไร เหตุใดถึงชอบขัดขวางความสุขของเจ้านายดีนัก” ยัซซินทักท้วง เพราะขืนให้นางพูดต่อมีหวังเจ้าชายอานามานัสคงจะเสด็จเข้าไปเป็นแน่

“ก็ข้า...”

“มายา เราว่าเจ้าทำใจให้สบายเถอะ เจ้าหญิงของเจ้าคงไม่ยอมเสียเปรียบอย่างง่ายดายแน่แต่หากยอมเองเราก็ถือว่าเจ้าหญิงของเจ้าก็ยังไม่เสียเปรียบเสียทีเดียว”

“ทำไมถึงทรงตรัสเช่นนั้นเพคะ ไม่ทรงห่วงใยพระขนิษฐาเลยหรือเพคะ” เจ้าชายอานามานัสทรงพระสรวลอย่างพอพระทัย คำพูดบ่าวคนสนิทของพระขนิษฐาสร้างอารมณ์ขันให้พระองค์ดีแท้ ถ้าพระองค์จะทรงห่วงก็คงจะเป็นพระสหายมากกว่าที่ไม่รู้ว่าเวลานี้จะถูกน้องหญิงทำอันใดแล้วบ้าง

“ห่วงแต่พองาม แอนนาริตาโตแล้ว เราก็ห่วงแต่ต้องอยู่ในขอบเขต เจ้าสิมายาปลดปล่อยเจ้าหญิงของเจ้าบ้างปล่อยให้นางได้คิดได้ทำได้ตัดสินใจด้วยตัวของนางเอง” มายาทำตัวอึกอักอยากจะพูดต่อนัก

“เจ้าไม่ต้องเถียงเราเลยนะ เอาละ ไว้เราจะมาเยี่ยมฝ่าบาทในภายหลัง”

“เจ้าชายเพคะ อย่าเพิ่งรีบเสด็จสิเพคะ” มายาทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้เมื่อพระเชษฐาของพระองค์หญิงไม่ยอมช่วย ทรงเห็นพระสหายต่างเมืองสำคัญกว่าพระขนิษฐา ใบหน้าของบ่าวสาวสลดลงจนยัซซินต้องรีบล้อ

“เอาเข้าแล้ว ทีนี้เจ้าหมดหนทางที่จะหาตัวช่วยแล้ว แม่มายาบ่าวน้อยผู้จงรักภักดี” ยัซซินบอก สุดท้ายก็รู้จนได้ว่าบ่าวน้อยผู้นี้นางมีนามว่ามายา องครักษ์หนุ่มยิ้มมุมปากในใจชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูก นานแล้วที่ไม่ได้มีความสุขเช่นนี้สุดแท้แต่ใจจะคิด บางที นางผู้นี้อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้รอยยิ้มที่ห่างหายจากยัซซินปรากฎขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่