เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
*****************
บทที่ 3
หลายมาสถัดมา...
เมื่อกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคแห่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู และองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดา เสด็จกลับถึงพระนคร
เพลานั้น พระอยู่หัวเจ้าทรงพระประชวรอย่างฉับพลันโดยพระโรคปัจจุบันจนเป็นที่โกลาหลกันไปทั่วทั้งพารา แลในไม่ช้า เมื่อขึ้นเดือนยี่ปีระกา แลดาวพฤหัสบดีเคลื่อนเข้าทาบทับดาวเสาร์ทางบูรพทิศา ท้องนภาแห่งเถมรูประเทศพลันหมองหม่นมืดทะมึนไปด้วยเมฆานิล เหล่าปักษิณบินทะยานชนกันเป็นที่สับสนสุดสังเวชเหลือประมาณนับ พระอยู่หัวเจ้าสวรรคต
เหล่าปวงประชาพากันโศกสลดรันทดเหลือจะต้าน แลไปยังแห่งหนตำบลใดก็ประสบได้แต่ทุกขาอาภรณ์ภัณฑ์อันหลากหลาย เสียงปี่กลองอันโหยหวนชวนอาดูรดังระงงมราวชีพจะดับสูญไปทั้งพระนครอยู่หลายราตรีกาลจึงสยบสงบซา
แลในอีกสองปีถัดมานับแต่นั้น...
เมื่อองค์หญิงสุบินสวรค์เจ้าทรงเจริญพระชนมายุได้ 19 พระชันษา เพลานี้ เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งมวลจึงเล็งเห็นเป็นที่ต้องกันว่า หาเป็นการมิบังควร ในอันที่จะปล่อยแผ่นดินเถมรูให้ว่างกษัตริย์ปกปักษ์พิทักษ์ผล
คราเมื่อถึงอุดมฤกษ์ดิถีเถลิง จึงร่วมอัญเชิญองค์องค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ ขึ้นเสวยสิริราชสมบัติพิพัฒน์มงคล เป็นที่ สมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานีศรีเถมรู ดำเนินพระราชกรณียกิจการงานทำนุบำรุงพระศาสนาแลอำนวยผลประชาราษฎร์เถมรูให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองสถาพรสงบสุขร่มเย็นสืบไป
มโหรีหลวงวงใหญ่แห่งราชสำนักเถมรูประโคมเพลงวิมานเมืองกระเดื่องแดนดินสามชั้น ต่อด้วยการรัวฉาบทอง ฉาบเงิน และสั่นกระดิ่งทองแดง 999 ครั้ง ท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งมวลที่เฝ้าแห่แหนอยู่ ณ ท้องพระโรงแห่งนี้
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 70 ชันษา ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งราชสำนักค่อยๆขยับกายอย่างช้าๆนุ่มเนิบพลางอัญเชิญพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถาน อันประทับอยู่บนพานมหิศเตศวรสุวรรณ ก่อนจะสืบบาทเข้าใกล้องค์พระนางอยู่หัวเจ้า ซึ่งประทับนั่งอย่างสง่างามเต็มตามพระราชอิสริยยศอยู่ที่พระบรมราชบัลลังก์โมกขเฑียรราชอาสน์
ราชครูชราทูนพานมหิศเตศวรสุวรรณขึ้นเหนือเศียร ณ เบื้องพระพักตร์ ก่อนที่พระนางกษัตรียาจะทรงเอื้อมพระหัตถามาประคองพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถานองค์นั้นขึ้นสวมบนพระเศียร
มโหรีหลวงวงใหญ่แห่งราชสำนักเถมรูลั่นประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ พลางสั่นกระดิ่งอีก 999 ครั้ง ก่อนที่วงเครื่องสายจะครวญเพลง ปักษิณบินร่อนวอนองค์เทวาถวายชัย สามเที่ยวจบ เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพระราชพิธีหลวงในครั้งกระนั้น
- - - - - - - - -
ลุล่วงสู่เพลาเย็นย่ำ..
ปรากฏชายหนุ่มเรือนกายกำยำล่ำสัน ใบหน้าคมคายวัย 20 ปี ผู้หนึ่ง กำลังเดินมาตามเส้นทางเล็กๆ ภายในอุทยานกลางพระบรมมหาราชวังเถมรู บุรุษผู้องอาจสง่างามผู้นี้มีนามว่า ตรึงสมัย เป็นนายทหารคู่พระหทัยแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานี
ทันใดกันนั้นเอง...
พลันปรากฏบุรุษชาติอาชาไนยเรือนร่างกำยำยิ่งใหญ่ดุดันดุจคชสารสีหนาทวาดลำแขนโอบกระชากกายตรึงสมัยผู้กำยำน้อยกว่าเข้าพงป่าละเมาะข้างทางไปโดยอุกอาจ
ตรึงสมัยเงยหน้าจ้องมองเจ้าของเรือนกายอันยิ่งใหญ่อลังการกว่าพลางทำตาหวานซึ้ง
" สูเจ้า...? ไยฉุดกระชากลากเราเข้ามาในพงพนาเช่นนี้ "
" คิดหมายใจจะปลีกลี้หนีห่างร้างหทัยจากข้าฤา ตรึงสมัย "
ชายผู้นั้นตวาดก้องพลางพรมจุมพิตลงตรงซอกศอของตรึงสมัยอย่างหิวกระหายโดยพลัน
ตรึงสมัยเรือนกายอ่อนระทวยราวขี้ผึ้งต้องเพลิง ทั้งยังยินยอมพร้อมใจและปล่อยให้ชายฉกรรจ์ผู้เหิมเกริมกระทำการอุบาทว์เช่นนั้นได้โดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อยกระไรนี่ ผิว่าทั้งสองนั้นเป็นคู่รักอภิรมย์สมสวาทดังคาดหมายกันมาแต่เก่าก่อนกระนั้นเองแลนา
ตรึงสมัยบิดกายร่าพลางเงยหน้าหลับตาพริ้มพร้อมรำพัน
" อ๊ะ... อย่า อย่า สูเจ้า ข้าต้องรีบเร่งเข้าเฝ้าองค์พระนางอยู่หัวเจ้าสุบินสวรรค์ "
กามสวาทระหว่างชายทั้งคู่หยุดลงกลางครัน และบุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นก็หันมาทำตาขวางใส่ด้วยไม่พึงพอหทัยเท่าใดนัก
" นั่นปะไร... สงสัยครานี้เจ้าคงจะหลงเสน่ห์พระนางเสียแล้วกระมังหนอ "
ตรึงสมัยเชิดศอระหงพลางสะบัดกายตีจากก่อนกล่าวด้วยสุรเสียงแข็งกร้าว
" เพื่อก้าวสู่อำนาจสิมิอาจหวนคะนึงถึงอดีต "
" กรีดกรายกายไปให้ไกลเลย "
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นชี้หน้าด่า ก่อนที่ตรึงสมัยผู้งามสง่าจะจัดอาภรณ์อันยุ่งเหยิงและยับย่นให้เข้าที่ ก่อนจะยุรยาตรจากไปในทันทีโดยไม่ชักช้า
- - - - - - - - -
ภายในห้องพระบรรทมอันอลังการแห่งพระนางสุบินสวรรค์ราชินีเถมรู
เพลานั้น พระนางเจ้าทรงประทับนั่งอยู่หน้าพระคันฉ่องทองคำอร่ามตา ในชุดฉลองพระองค์ผ้าไหมสีขาว โดยมีเหล่านางข้าหลวงมากมายคอยถวายการปรณนิบัติอยู่มิห่าง บ้างก็อยู่งานสางพระเกศา บ้างก็อยู่งานซับพระพักตร์ บ้างก็อยู่งานชำระล้างสีพระนขา บ้างก็อยู่งานปลดพระกุณฑลทองคำประดับเพชร บ้างก็เตร็ดเตร่ไปหาพระวาลวิชนีมาอยู่งานพัด
ครู่หนึ่ง เสียงนางกำนัลน้อยก็กราบทูลขึ้นจากเบื้องหลัง
" ขอเดชะพระนางเจ้า ณ บัดนี้ ท่านตรึงสมัยกำลังรอขอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องพระบรรทมแล้วเพคะ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงแย้มพระสรวลคราหนึ่งจึ่งทรงหันมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบแลดวงพระเนตรก็เป็นประกายวาววับระยิบระยับดุจดาราในนภากาศ ทรงพระดำรัสนุ่มนวลชวนฝันครากระนั้นว่า
" เชิญเขาเข้ามาข้างในสิจ๊ะ "
" เพคะพระองค์ "
เมื่อบุรุษหนุ่มเดินเข้าสู่ห้องพระบรรทมแห่งนั้น พระนางก็ทรงปรีดาล้นประมาณก่อนทรงมีพระบัณฑูรอีกครา
" เอาละ... พวกเจ้าทั้งหลาย จงออกไปกันได้แล้ว "
เหล่านางข้าหลวงทั้งมวลต่างคำนับ ก่อนจะกราบบังคมลากันออกไปจนภายในที่นั้นมีเพียงพระนางกับตรึงสมัยผู้สง่า
ในไม่ช้า ตรึงสมัยก็ขยับกายเข้าประชิดพลางอัญเชิญพระหัตถาแห่งองค์กษัตรียาขึ้นมาจุมพิตอย่างหลงใหลพร้อมทอดสายตาอันเยิ้มหยาดถวาย
พระนางสุบินสวรรค์ทรงสั่นพระวรกายระริกรัวพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงแช่มช้อยชะมดชม้อยน่าดูชม
" อุ๊ย... กระไรนี่ อย่ากระทำเช่นนี้สิหนอเจ้า "
" เชิญเสด็จเข้าพระแท่นบรรทมทองเถิดทูลกระหม่อม "
- - - - - - - - -
ณ กาลครั้งนั้น...
ตรึงสมัยพลันประคององค์กษัตรียาสุบินสวรรค์ไปยังพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดารา อันมีพระวิสูตรสีทองอร่ามตากางกั้นอยู่อย่างมิดชิด
เมื่อสองกายชายหญิงค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้าสู่แท่นบรรทมภิรมย์สวาทแห่งนั้น โดยพลัน เพลิงหฤหรรษ์ที่สุมหทัยให้ระอุก็เผาผลาญกายินทรีย์ที่ระทึกระทวยให้สั่นสะท้านปานพสุธาสะเทือน
ดาวเดือนอันพร่างพรายส่องประกายระยิบระยับประดับไปทั่วท้องนภากาศ ราวอัญมณีสูงค่าบนอาภรณ์แห่งเทวาและเทวีที่ชี้ชวนกันจรลีมาเริงเล่นมหาสมุทรอันไพศาล
เกลียวคลื่นอันโอฬารโถมทะยานโหมกระหน่ำสาดซัดเข้าสู่ฝั่งเป็นระลอกๆ ราวกับจะกัดเซาะเนินทรายอันเนียนละเอียดให้สูญสลายหายไปในพริบตา
เพลานั้น กลุ่มเมฆสีนิลค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมไปทั่วท้องนภาเหนือผืนมหาสมุทร จนเหล่าเดือนดาราที่ลอยละล่องส่องประกายระยิบระยับจับตาพลันถูกบดบังด้วยหมอกทะมึนอันน่าหวาดกลัว เสียงคำรามกู่ก้องแห่งองค์เทวาพลันกังวาลไกลไปทั่วผืนพสุธาแลมหาสมุทรแห่งนั้นจนสุดที่จะสรรหาสรรพเสียงใดๆมาเปรียบได้
ในไม่ช้า เมื่อเกลียวพายุสวาทที่พัดหวนนั้นทวีทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งฝั่งฝัน เรือนกายอันสั่นสะท้านแห่งหญิงชายก็รับรู้ได้ถึงดวงหทัยอันพึงปรารถนาที่ค่อยๆคืบคลานผ่านบันไดสวรรค์ขึ้นมาจนใกล้สรรพางค์
แลเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสืบประสานกันเป็นครรลองจนสอดคล้องต้องกัน ท้องนภาอันระทวยระทึกก็พลันปลดปล่อยหยาดพิรุณอันฉ่ำชื่นให้โปรยปรายอาบชะโลมไปทั่วแผ่นพื้นโลกาธาตุอันร้อนเร่าดุจเถ้าธุลีเพลิงอันแดงฉาน
บทพิศวาสอันตระการรำพันพร่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เคล้าคลอกับเสียงมโหรีแห่งคนธรรพ์บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า แลเมื่อท้องนภาอันแปดเปื้อนไปด้วยปรอยพิรุณนั้นเริ่มสร่างซา แสงระยิบระยับจับตาอันโอฬาริกแห่งดวงดาวก็พราวพร่างส่องประกายฉาดฉายแจ่มจรัสไปทั่วผืนปฐพีอีกครั้ง
ตรึงสมัยพลันประคององค์พระนางสุบินสงรรค์ลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดารา ภายหลังจากที่บทพิศวาสอันหฤหรรษ์นั้นพ้นผ่าน
เส้นพระเกศาอันดับขลับแห่งองค์กษัตรียาผู้เลอโฉมได้รับการโลมไล้สางละเลียดด้วยหวีทองคำโดยฝีมือนายทหารหนุ่มผู้หาญกล้า
ในไม่ช้า มโหรีวงน้อยก็ค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้ามาในห้องบรรทมแล้วเริ่มประโคมขับกล่อมเป็นทำนองด้วยบทเพลงสองคู่ชู้ชื่นชีวาตม์ ซึ่งนายทหารผู้องอาจ และกษัตรียาผู้ยิ่งใหญ่ได้ร่วมร้องสลับกันไป ณ บัดนั้น
" งามราวเทพเจ้าสร้างสรรค์ "
" วาจาหวานปานน้ำอมฤต "
" คิดมีจิตปฏิพัทธ์ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว "
" มิแคล้วคงหมายสิ่งใดแน่ "
" อุแหม... ช่างรู้หทัยข้ายิ่ง "
" สิ่งใดที่เจ้าหวัง "
" รั้งตำแหน่งแม่ทัพกระนั้นเอง "
ตรึงสมัยร้องจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงเผยพระสรวลคราหนึ่งจึงทรงพะยักพระพักตร์ตอบรับ ก่อนที่ตรึงสมัยจะประคองพระองค์ลุกขึ้นไปยังพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดาราอีกครา
- - - - - - - - -
เมื่อพระสุริยาทอรัศมีเจิดจ้าไปทั่วทั้งท้องนภาแห่งบูรพทิศาในอรุณทิวาวันรุ่งนั้น
ภายในท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังเถมรูกำลังเป็นมหาสมาคมที่เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งมวลต่างหมอบราบกราบถวายบังคมพระนางสุบินสวรรค์ ซึ่งทรงออกสนองราชกิจงานเมืองอยู่เป็นปฐม
ฉับพลันทันใด... สะขรุมจินห์ มหาดเล็กหญิงพลันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในท้องพระโรงพลางทรุดกายก้มหน้าลงกราบบังคมทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระนางเจ้าชาวเถมรู ณ บัดเพลานี้ ม้าเร็วได้รายงานมาว่าทางฝ่ายกรุงละวิรัฐ ริอาจสร้างเขื่อนปิดกั้นลำสวรรค์ธารามหานที ชะรอยหมายคบคิดเก็บกักวารีไว้ใช้เฉพาะพระนครตนจนสร้างความเดือดร้อนสับสนอลหม่านร้าวรานแร้นแค้นต่อเนื่องถึงดินแดนเถมรูเราแล้วพระเจ้าข้า "
มโหรีกระหน่ำฉาบสามครา ตามด้วยการรัวฆ้องสองครั้ง
พระนางสุบินสวรรค์ จะติกะวะนาจิ และสะขรุมจินห์ ร่วมครวญเพลงเป็นลำดับขั้น
" สวรรค์เอย กระไรเลยกันหนอนี่ "
" เห็นทีเป็นฝีหัตถาฉกรรณราชาแน่แท้ "
" คิดหาหนทางแก้ไขเถิดพระนาง "
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 70 ชันษา หันขวับขึ้นกราบบังคมทูลทันควันกระนั้น
" เดชะพระนางเจ้า หม่อมฉันขอขันอาสา นำทัพหน้าไปต่อกรเอาความกับองค์ฉกรรณราชามหาอุปราชแห่งละวิรัฐประเทศเองพระเจ้าข้า "
" ช้าก่อน... จะติกะวะนาจิเจ้าเอย "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงเผยพระหัตถ์ยับยั้งพลางตรัสอีกครา
" เห็นทีการครั้งนี้ฉกรรณราชาคงสำคัญผิด คิดว่าตนเป็นหนึ่งในเกวลทวีป จึงอวดศักดาแสดงแสนยานุภาพให้เถมรูประจักษ์แจ้ง ประหนึ่งเป็นการทดสอบกำลังแห่งเรา กระนั้น ครานี้เราจึงควรแสดงท่าทีโอนอ่อนผ่อนปรณเพื่อลวงล่อละวิรัฐให้หลงระเริงไปก่อนจึงค่อยกรีฑาทัพในเบื้องหน้าก็ยังมิสาย "
เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างฉงนสนเท่ห์เป็นที่ยิ่ง สรรพเสียงอึงอลระงมไปทั่วท้องพระโรงแห่งนั้นอยู่คราหนึ่งจะติกะวะนาจิจึงกล่าว
" ทรงหมายพระราชหฤทัยเช่นใดกันเพคะพระนาง "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นตรัสด้วยพระสุรสีหนาทว่า
" บัดเพลานี้มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น "
" สิ่งใดกันพระจงแถลงให้แจ้งแจ่ม "
" เบิกแม้ทัพคนใหม่ให้ประจักษ์ "
จบพระดำรัส โดยพลัน... เหล่านายทวารต่างกุลีกุจอช่วยกันแง้มบานประตูท้องพระโรงอันโอ่อ่าตระการตาให้เปิดเข้ามา ซึ่งเพลานั้น มีบุรุษชาติอาชาไนยในชุดเกราะอย่างขุนศึกชั้นสูงแห่งเถมรูได้ก้าวย่างเข้ามาภายในมหาสมาคมแห่งนั้นอย่างสง่างามดุจเทพบุตรจากสรวงสวรรค์
ทหารหนุ่มผู้นั้นก็คือ ตรึงสมัย นั่นเอง ซึ่งบัดนี้ใบหน้าอันงดงามคมคายอีกทั้งวรกายอันกำยำล่ำสันทรงเสน่ห์ของเขาได้กลายเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาอิสตรีทั้งหลายในท้องพระโรงแห่งนี้
[นิยายแนววาย] เจ้าฟ้ามูรตี : บทที่ 3
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
*****************
บทที่ 3
หลายมาสถัดมา...
เมื่อกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคแห่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู และองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดา เสด็จกลับถึงพระนคร
เพลานั้น พระอยู่หัวเจ้าทรงพระประชวรอย่างฉับพลันโดยพระโรคปัจจุบันจนเป็นที่โกลาหลกันไปทั่วทั้งพารา แลในไม่ช้า เมื่อขึ้นเดือนยี่ปีระกา แลดาวพฤหัสบดีเคลื่อนเข้าทาบทับดาวเสาร์ทางบูรพทิศา ท้องนภาแห่งเถมรูประเทศพลันหมองหม่นมืดทะมึนไปด้วยเมฆานิล เหล่าปักษิณบินทะยานชนกันเป็นที่สับสนสุดสังเวชเหลือประมาณนับ พระอยู่หัวเจ้าสวรรคต
เหล่าปวงประชาพากันโศกสลดรันทดเหลือจะต้าน แลไปยังแห่งหนตำบลใดก็ประสบได้แต่ทุกขาอาภรณ์ภัณฑ์อันหลากหลาย เสียงปี่กลองอันโหยหวนชวนอาดูรดังระงงมราวชีพจะดับสูญไปทั้งพระนครอยู่หลายราตรีกาลจึงสยบสงบซา
แลในอีกสองปีถัดมานับแต่นั้น...
เมื่อองค์หญิงสุบินสวรค์เจ้าทรงเจริญพระชนมายุได้ 19 พระชันษา เพลานี้ เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งมวลจึงเล็งเห็นเป็นที่ต้องกันว่า หาเป็นการมิบังควร ในอันที่จะปล่อยแผ่นดินเถมรูให้ว่างกษัตริย์ปกปักษ์พิทักษ์ผล
คราเมื่อถึงอุดมฤกษ์ดิถีเถลิง จึงร่วมอัญเชิญองค์องค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ ขึ้นเสวยสิริราชสมบัติพิพัฒน์มงคล เป็นที่ สมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานีศรีเถมรู ดำเนินพระราชกรณียกิจการงานทำนุบำรุงพระศาสนาแลอำนวยผลประชาราษฎร์เถมรูให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองสถาพรสงบสุขร่มเย็นสืบไป
มโหรีหลวงวงใหญ่แห่งราชสำนักเถมรูประโคมเพลงวิมานเมืองกระเดื่องแดนดินสามชั้น ต่อด้วยการรัวฉาบทอง ฉาบเงิน และสั่นกระดิ่งทองแดง 999 ครั้ง ท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งมวลที่เฝ้าแห่แหนอยู่ ณ ท้องพระโรงแห่งนี้
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 70 ชันษา ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งราชสำนักค่อยๆขยับกายอย่างช้าๆนุ่มเนิบพลางอัญเชิญพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถาน อันประทับอยู่บนพานมหิศเตศวรสุวรรณ ก่อนจะสืบบาทเข้าใกล้องค์พระนางอยู่หัวเจ้า ซึ่งประทับนั่งอย่างสง่างามเต็มตามพระราชอิสริยยศอยู่ที่พระบรมราชบัลลังก์โมกขเฑียรราชอาสน์
ราชครูชราทูนพานมหิศเตศวรสุวรรณขึ้นเหนือเศียร ณ เบื้องพระพักตร์ ก่อนที่พระนางกษัตรียาจะทรงเอื้อมพระหัตถามาประคองพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถานองค์นั้นขึ้นสวมบนพระเศียร
มโหรีหลวงวงใหญ่แห่งราชสำนักเถมรูลั่นประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ พลางสั่นกระดิ่งอีก 999 ครั้ง ก่อนที่วงเครื่องสายจะครวญเพลง ปักษิณบินร่อนวอนองค์เทวาถวายชัย สามเที่ยวจบ เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพระราชพิธีหลวงในครั้งกระนั้น
- - - - - - - - -
ลุล่วงสู่เพลาเย็นย่ำ..
ปรากฏชายหนุ่มเรือนกายกำยำล่ำสัน ใบหน้าคมคายวัย 20 ปี ผู้หนึ่ง กำลังเดินมาตามเส้นทางเล็กๆ ภายในอุทยานกลางพระบรมมหาราชวังเถมรู บุรุษผู้องอาจสง่างามผู้นี้มีนามว่า ตรึงสมัย เป็นนายทหารคู่พระหทัยแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานี
ทันใดกันนั้นเอง...
พลันปรากฏบุรุษชาติอาชาไนยเรือนร่างกำยำยิ่งใหญ่ดุดันดุจคชสารสีหนาทวาดลำแขนโอบกระชากกายตรึงสมัยผู้กำยำน้อยกว่าเข้าพงป่าละเมาะข้างทางไปโดยอุกอาจ
ตรึงสมัยเงยหน้าจ้องมองเจ้าของเรือนกายอันยิ่งใหญ่อลังการกว่าพลางทำตาหวานซึ้ง
" สูเจ้า...? ไยฉุดกระชากลากเราเข้ามาในพงพนาเช่นนี้ "
" คิดหมายใจจะปลีกลี้หนีห่างร้างหทัยจากข้าฤา ตรึงสมัย "
ชายผู้นั้นตวาดก้องพลางพรมจุมพิตลงตรงซอกศอของตรึงสมัยอย่างหิวกระหายโดยพลัน
ตรึงสมัยเรือนกายอ่อนระทวยราวขี้ผึ้งต้องเพลิง ทั้งยังยินยอมพร้อมใจและปล่อยให้ชายฉกรรจ์ผู้เหิมเกริมกระทำการอุบาทว์เช่นนั้นได้โดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อยกระไรนี่ ผิว่าทั้งสองนั้นเป็นคู่รักอภิรมย์สมสวาทดังคาดหมายกันมาแต่เก่าก่อนกระนั้นเองแลนา
ตรึงสมัยบิดกายร่าพลางเงยหน้าหลับตาพริ้มพร้อมรำพัน
" อ๊ะ... อย่า อย่า สูเจ้า ข้าต้องรีบเร่งเข้าเฝ้าองค์พระนางอยู่หัวเจ้าสุบินสวรรค์ "
กามสวาทระหว่างชายทั้งคู่หยุดลงกลางครัน และบุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นก็หันมาทำตาขวางใส่ด้วยไม่พึงพอหทัยเท่าใดนัก
" นั่นปะไร... สงสัยครานี้เจ้าคงจะหลงเสน่ห์พระนางเสียแล้วกระมังหนอ "
ตรึงสมัยเชิดศอระหงพลางสะบัดกายตีจากก่อนกล่าวด้วยสุรเสียงแข็งกร้าว
" เพื่อก้าวสู่อำนาจสิมิอาจหวนคะนึงถึงอดีต "
" กรีดกรายกายไปให้ไกลเลย "
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นชี้หน้าด่า ก่อนที่ตรึงสมัยผู้งามสง่าจะจัดอาภรณ์อันยุ่งเหยิงและยับย่นให้เข้าที่ ก่อนจะยุรยาตรจากไปในทันทีโดยไม่ชักช้า
- - - - - - - - -
ภายในห้องพระบรรทมอันอลังการแห่งพระนางสุบินสวรรค์ราชินีเถมรู
เพลานั้น พระนางเจ้าทรงประทับนั่งอยู่หน้าพระคันฉ่องทองคำอร่ามตา ในชุดฉลองพระองค์ผ้าไหมสีขาว โดยมีเหล่านางข้าหลวงมากมายคอยถวายการปรณนิบัติอยู่มิห่าง บ้างก็อยู่งานสางพระเกศา บ้างก็อยู่งานซับพระพักตร์ บ้างก็อยู่งานชำระล้างสีพระนขา บ้างก็อยู่งานปลดพระกุณฑลทองคำประดับเพชร บ้างก็เตร็ดเตร่ไปหาพระวาลวิชนีมาอยู่งานพัด
ครู่หนึ่ง เสียงนางกำนัลน้อยก็กราบทูลขึ้นจากเบื้องหลัง
" ขอเดชะพระนางเจ้า ณ บัดนี้ ท่านตรึงสมัยกำลังรอขอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องพระบรรทมแล้วเพคะ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงแย้มพระสรวลคราหนึ่งจึ่งทรงหันมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบแลดวงพระเนตรก็เป็นประกายวาววับระยิบระยับดุจดาราในนภากาศ ทรงพระดำรัสนุ่มนวลชวนฝันครากระนั้นว่า
" เชิญเขาเข้ามาข้างในสิจ๊ะ "
" เพคะพระองค์ "
เมื่อบุรุษหนุ่มเดินเข้าสู่ห้องพระบรรทมแห่งนั้น พระนางก็ทรงปรีดาล้นประมาณก่อนทรงมีพระบัณฑูรอีกครา
" เอาละ... พวกเจ้าทั้งหลาย จงออกไปกันได้แล้ว "
เหล่านางข้าหลวงทั้งมวลต่างคำนับ ก่อนจะกราบบังคมลากันออกไปจนภายในที่นั้นมีเพียงพระนางกับตรึงสมัยผู้สง่า
ในไม่ช้า ตรึงสมัยก็ขยับกายเข้าประชิดพลางอัญเชิญพระหัตถาแห่งองค์กษัตรียาขึ้นมาจุมพิตอย่างหลงใหลพร้อมทอดสายตาอันเยิ้มหยาดถวาย
พระนางสุบินสวรรค์ทรงสั่นพระวรกายระริกรัวพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงแช่มช้อยชะมดชม้อยน่าดูชม
" อุ๊ย... กระไรนี่ อย่ากระทำเช่นนี้สิหนอเจ้า "
" เชิญเสด็จเข้าพระแท่นบรรทมทองเถิดทูลกระหม่อม "
- - - - - - - - -
ณ กาลครั้งนั้น...
ตรึงสมัยพลันประคององค์กษัตรียาสุบินสวรรค์ไปยังพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดารา อันมีพระวิสูตรสีทองอร่ามตากางกั้นอยู่อย่างมิดชิด
เมื่อสองกายชายหญิงค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้าสู่แท่นบรรทมภิรมย์สวาทแห่งนั้น โดยพลัน เพลิงหฤหรรษ์ที่สุมหทัยให้ระอุก็เผาผลาญกายินทรีย์ที่ระทึกระทวยให้สั่นสะท้านปานพสุธาสะเทือน
ดาวเดือนอันพร่างพรายส่องประกายระยิบระยับประดับไปทั่วท้องนภากาศ ราวอัญมณีสูงค่าบนอาภรณ์แห่งเทวาและเทวีที่ชี้ชวนกันจรลีมาเริงเล่นมหาสมุทรอันไพศาล
เกลียวคลื่นอันโอฬารโถมทะยานโหมกระหน่ำสาดซัดเข้าสู่ฝั่งเป็นระลอกๆ ราวกับจะกัดเซาะเนินทรายอันเนียนละเอียดให้สูญสลายหายไปในพริบตา
เพลานั้น กลุ่มเมฆสีนิลค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมไปทั่วท้องนภาเหนือผืนมหาสมุทร จนเหล่าเดือนดาราที่ลอยละล่องส่องประกายระยิบระยับจับตาพลันถูกบดบังด้วยหมอกทะมึนอันน่าหวาดกลัว เสียงคำรามกู่ก้องแห่งองค์เทวาพลันกังวาลไกลไปทั่วผืนพสุธาแลมหาสมุทรแห่งนั้นจนสุดที่จะสรรหาสรรพเสียงใดๆมาเปรียบได้
ในไม่ช้า เมื่อเกลียวพายุสวาทที่พัดหวนนั้นทวีทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งฝั่งฝัน เรือนกายอันสั่นสะท้านแห่งหญิงชายก็รับรู้ได้ถึงดวงหทัยอันพึงปรารถนาที่ค่อยๆคืบคลานผ่านบันไดสวรรค์ขึ้นมาจนใกล้สรรพางค์
แลเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสืบประสานกันเป็นครรลองจนสอดคล้องต้องกัน ท้องนภาอันระทวยระทึกก็พลันปลดปล่อยหยาดพิรุณอันฉ่ำชื่นให้โปรยปรายอาบชะโลมไปทั่วแผ่นพื้นโลกาธาตุอันร้อนเร่าดุจเถ้าธุลีเพลิงอันแดงฉาน
บทพิศวาสอันตระการรำพันพร่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เคล้าคลอกับเสียงมโหรีแห่งคนธรรพ์บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า แลเมื่อท้องนภาอันแปดเปื้อนไปด้วยปรอยพิรุณนั้นเริ่มสร่างซา แสงระยิบระยับจับตาอันโอฬาริกแห่งดวงดาวก็พราวพร่างส่องประกายฉาดฉายแจ่มจรัสไปทั่วผืนปฐพีอีกครั้ง
ตรึงสมัยพลันประคององค์พระนางสุบินสงรรค์ลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดารา ภายหลังจากที่บทพิศวาสอันหฤหรรษ์นั้นพ้นผ่าน
เส้นพระเกศาอันดับขลับแห่งองค์กษัตรียาผู้เลอโฉมได้รับการโลมไล้สางละเลียดด้วยหวีทองคำโดยฝีมือนายทหารหนุ่มผู้หาญกล้า
ในไม่ช้า มโหรีวงน้อยก็ค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้ามาในห้องบรรทมแล้วเริ่มประโคมขับกล่อมเป็นทำนองด้วยบทเพลงสองคู่ชู้ชื่นชีวาตม์ ซึ่งนายทหารผู้องอาจ และกษัตรียาผู้ยิ่งใหญ่ได้ร่วมร้องสลับกันไป ณ บัดนั้น
" งามราวเทพเจ้าสร้างสรรค์ "
" วาจาหวานปานน้ำอมฤต "
" คิดมีจิตปฏิพัทธ์ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว "
" มิแคล้วคงหมายสิ่งใดแน่ "
" อุแหม... ช่างรู้หทัยข้ายิ่ง "
" สิ่งใดที่เจ้าหวัง "
" รั้งตำแหน่งแม่ทัพกระนั้นเอง "
ตรึงสมัยร้องจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงเผยพระสรวลคราหนึ่งจึงทรงพะยักพระพักตร์ตอบรับ ก่อนที่ตรึงสมัยจะประคองพระองค์ลุกขึ้นไปยังพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดาราอีกครา
- - - - - - - - -
เมื่อพระสุริยาทอรัศมีเจิดจ้าไปทั่วทั้งท้องนภาแห่งบูรพทิศาในอรุณทิวาวันรุ่งนั้น
ภายในท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังเถมรูกำลังเป็นมหาสมาคมที่เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งมวลต่างหมอบราบกราบถวายบังคมพระนางสุบินสวรรค์ ซึ่งทรงออกสนองราชกิจงานเมืองอยู่เป็นปฐม
ฉับพลันทันใด... สะขรุมจินห์ มหาดเล็กหญิงพลันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในท้องพระโรงพลางทรุดกายก้มหน้าลงกราบบังคมทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระนางเจ้าชาวเถมรู ณ บัดเพลานี้ ม้าเร็วได้รายงานมาว่าทางฝ่ายกรุงละวิรัฐ ริอาจสร้างเขื่อนปิดกั้นลำสวรรค์ธารามหานที ชะรอยหมายคบคิดเก็บกักวารีไว้ใช้เฉพาะพระนครตนจนสร้างความเดือดร้อนสับสนอลหม่านร้าวรานแร้นแค้นต่อเนื่องถึงดินแดนเถมรูเราแล้วพระเจ้าข้า "
มโหรีกระหน่ำฉาบสามครา ตามด้วยการรัวฆ้องสองครั้ง
พระนางสุบินสวรรค์ จะติกะวะนาจิ และสะขรุมจินห์ ร่วมครวญเพลงเป็นลำดับขั้น
" สวรรค์เอย กระไรเลยกันหนอนี่ "
" เห็นทีเป็นฝีหัตถาฉกรรณราชาแน่แท้ "
" คิดหาหนทางแก้ไขเถิดพระนาง "
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 70 ชันษา หันขวับขึ้นกราบบังคมทูลทันควันกระนั้น
" เดชะพระนางเจ้า หม่อมฉันขอขันอาสา นำทัพหน้าไปต่อกรเอาความกับองค์ฉกรรณราชามหาอุปราชแห่งละวิรัฐประเทศเองพระเจ้าข้า "
" ช้าก่อน... จะติกะวะนาจิเจ้าเอย "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงเผยพระหัตถ์ยับยั้งพลางตรัสอีกครา
" เห็นทีการครั้งนี้ฉกรรณราชาคงสำคัญผิด คิดว่าตนเป็นหนึ่งในเกวลทวีป จึงอวดศักดาแสดงแสนยานุภาพให้เถมรูประจักษ์แจ้ง ประหนึ่งเป็นการทดสอบกำลังแห่งเรา กระนั้น ครานี้เราจึงควรแสดงท่าทีโอนอ่อนผ่อนปรณเพื่อลวงล่อละวิรัฐให้หลงระเริงไปก่อนจึงค่อยกรีฑาทัพในเบื้องหน้าก็ยังมิสาย "
เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างฉงนสนเท่ห์เป็นที่ยิ่ง สรรพเสียงอึงอลระงมไปทั่วท้องพระโรงแห่งนั้นอยู่คราหนึ่งจะติกะวะนาจิจึงกล่าว
" ทรงหมายพระราชหฤทัยเช่นใดกันเพคะพระนาง "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นตรัสด้วยพระสุรสีหนาทว่า
" บัดเพลานี้มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น "
" สิ่งใดกันพระจงแถลงให้แจ้งแจ่ม "
" เบิกแม้ทัพคนใหม่ให้ประจักษ์ "
จบพระดำรัส โดยพลัน... เหล่านายทวารต่างกุลีกุจอช่วยกันแง้มบานประตูท้องพระโรงอันโอ่อ่าตระการตาให้เปิดเข้ามา ซึ่งเพลานั้น มีบุรุษชาติอาชาไนยในชุดเกราะอย่างขุนศึกชั้นสูงแห่งเถมรูได้ก้าวย่างเข้ามาภายในมหาสมาคมแห่งนั้นอย่างสง่างามดุจเทพบุตรจากสรวงสวรรค์
ทหารหนุ่มผู้นั้นก็คือ ตรึงสมัย นั่นเอง ซึ่งบัดนี้ใบหน้าอันงดงามคมคายอีกทั้งวรกายอันกำยำล่ำสันทรงเสน่ห์ของเขาได้กลายเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาอิสตรีทั้งหลายในท้องพระโรงแห่งนี้