[นิยายแนววาย] เจ้าฟ้ามูรตี : บทที่ 3

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806

บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632


*****************


บทที่ 3


หลายมาสถัดมา...

เมื่อกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคแห่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู และองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดา เสด็จกลับถึงพระนคร

เพลานั้น พระอยู่หัวเจ้าทรงพระประชวรอย่างฉับพลันโดยพระโรคปัจจุบันจนเป็นที่โกลาหลกันไปทั่วทั้งพารา แลในไม่ช้า เมื่อขึ้นเดือนยี่ปีระกา แลดาวพฤหัสบดีเคลื่อนเข้าทาบทับดาวเสาร์ทางบูรพทิศา ท้องนภาแห่งเถมรูประเทศพลันหมองหม่นมืดทะมึนไปด้วยเมฆานิล เหล่าปักษิณบินทะยานชนกันเป็นที่สับสนสุดสังเวชเหลือประมาณนับ พระอยู่หัวเจ้าสวรรคต

เหล่าปวงประชาพากันโศกสลดรันทดเหลือจะต้าน แลไปยังแห่งหนตำบลใดก็ประสบได้แต่ทุกขาอาภรณ์ภัณฑ์อันหลากหลาย เสียงปี่กลองอันโหยหวนชวนอาดูรดังระงงมราวชีพจะดับสูญไปทั้งพระนครอยู่หลายราตรีกาลจึงสยบสงบซา

แลในอีกสองปีถัดมานับแต่นั้น...

เมื่อองค์หญิงสุบินสวรค์เจ้าทรงเจริญพระชนมายุได้ 19 พระชันษา เพลานี้ เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งมวลจึงเล็งเห็นเป็นที่ต้องกันว่า หาเป็นการมิบังควร ในอันที่จะปล่อยแผ่นดินเถมรูให้ว่างกษัตริย์ปกปักษ์พิทักษ์ผล

คราเมื่อถึงอุดมฤกษ์ดิถีเถลิง จึงร่วมอัญเชิญองค์องค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ ขึ้นเสวยสิริราชสมบัติพิพัฒน์มงคล เป็นที่ สมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานีศรีเถมรู ดำเนินพระราชกรณียกิจการงานทำนุบำรุงพระศาสนาแลอำนวยผลประชาราษฎร์เถมรูให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองสถาพรสงบสุขร่มเย็นสืบไป

มโหรีหลวงวงใหญ่แห่งราชสำนักเถมรูประโคมเพลงวิมานเมืองกระเดื่องแดนดินสามชั้น ต่อด้วยการรัวฉาบทอง ฉาบเงิน และสั่นกระดิ่งทองแดง 999 ครั้ง ท่ามกลางเหล่าขุนนางทั้งมวลที่เฝ้าแห่แหนอยู่ ณ ท้องพระโรงแห่งนี้

จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 70 ชันษา ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งราชสำนักค่อยๆขยับกายอย่างช้าๆนุ่มเนิบพลางอัญเชิญพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถาน อันประทับอยู่บนพานมหิศเตศวรสุวรรณ ก่อนจะสืบบาทเข้าใกล้องค์พระนางอยู่หัวเจ้า ซึ่งประทับนั่งอย่างสง่างามเต็มตามพระราชอิสริยยศอยู่ที่พระบรมราชบัลลังก์โมกขเฑียรราชอาสน์

ราชครูชราทูนพานมหิศเตศวรสุวรรณขึ้นเหนือเศียร ณ เบื้องพระพักตร์ ก่อนที่พระนางกษัตรียาจะทรงเอื้อมพระหัตถามาประคองพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถานองค์นั้นขึ้นสวมบนพระเศียร

มโหรีหลวงวงใหญ่แห่งราชสำนักเถมรูลั่นประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ พลางสั่นกระดิ่งอีก 999 ครั้ง ก่อนที่วงเครื่องสายจะครวญเพลง ปักษิณบินร่อนวอนองค์เทวาถวายชัย สามเที่ยวจบ เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพระราชพิธีหลวงในครั้งกระนั้น

- - - - - - - - -

ลุล่วงสู่เพลาเย็นย่ำ..

ปรากฏชายหนุ่มเรือนกายกำยำล่ำสัน ใบหน้าคมคายวัย 20 ปี ผู้หนึ่ง กำลังเดินมาตามเส้นทางเล็กๆ ภายในอุทยานกลางพระบรมมหาราชวังเถมรู บุรุษผู้องอาจสง่างามผู้นี้มีนามว่า ตรึงสมัย เป็นนายทหารคู่พระหทัยแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานี

ทันใดกันนั้นเอง...

พลันปรากฏบุรุษชาติอาชาไนยเรือนร่างกำยำยิ่งใหญ่ดุดันดุจคชสารสีหนาทวาดลำแขนโอบกระชากกายตรึงสมัยผู้กำยำน้อยกว่าเข้าพงป่าละเมาะข้างทางไปโดยอุกอาจ

ตรึงสมัยเงยหน้าจ้องมองเจ้าของเรือนกายอันยิ่งใหญ่อลังการกว่าพลางทำตาหวานซึ้ง

" สูเจ้า...? ไยฉุดกระชากลากเราเข้ามาในพงพนาเช่นนี้ "

" คิดหมายใจจะปลีกลี้หนีห่างร้างหทัยจากข้าฤา ตรึงสมัย "

ชายผู้นั้นตวาดก้องพลางพรมจุมพิตลงตรงซอกศอของตรึงสมัยอย่างหิวกระหายโดยพลัน

ตรึงสมัยเรือนกายอ่อนระทวยราวขี้ผึ้งต้องเพลิง ทั้งยังยินยอมพร้อมใจและปล่อยให้ชายฉกรรจ์ผู้เหิมเกริมกระทำการอุบาทว์เช่นนั้นได้โดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อยกระไรนี่ ผิว่าทั้งสองนั้นเป็นคู่รักอภิรมย์สมสวาทดังคาดหมายกันมาแต่เก่าก่อนกระนั้นเองแลนา

ตรึงสมัยบิดกายร่าพลางเงยหน้าหลับตาพริ้มพร้อมรำพัน

" อ๊ะ... อย่า อย่า สูเจ้า ข้าต้องรีบเร่งเข้าเฝ้าองค์พระนางอยู่หัวเจ้าสุบินสวรรค์ "

กามสวาทระหว่างชายทั้งคู่หยุดลงกลางครัน และบุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นก็หันมาทำตาขวางใส่ด้วยไม่พึงพอหทัยเท่าใดนัก

" นั่นปะไร... สงสัยครานี้เจ้าคงจะหลงเสน่ห์พระนางเสียแล้วกระมังหนอ "

ตรึงสมัยเชิดศอระหงพลางสะบัดกายตีจากก่อนกล่าวด้วยสุรเสียงแข็งกร้าว

" เพื่อก้าวสู่อำนาจสิมิอาจหวนคะนึงถึงอดีต "

" กรีดกรายกายไปให้ไกลเลย "

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นชี้หน้าด่า ก่อนที่ตรึงสมัยผู้งามสง่าจะจัดอาภรณ์อันยุ่งเหยิงและยับย่นให้เข้าที่ ก่อนจะยุรยาตรจากไปในทันทีโดยไม่ชักช้า

- - - - - - - - -

ภายในห้องพระบรรทมอันอลังการแห่งพระนางสุบินสวรรค์ราชินีเถมรู

เพลานั้น พระนางเจ้าทรงประทับนั่งอยู่หน้าพระคันฉ่องทองคำอร่ามตา ในชุดฉลองพระองค์ผ้าไหมสีขาว โดยมีเหล่านางข้าหลวงมากมายคอยถวายการปรณนิบัติอยู่มิห่าง บ้างก็อยู่งานสางพระเกศา บ้างก็อยู่งานซับพระพักตร์ บ้างก็อยู่งานชำระล้างสีพระนขา บ้างก็อยู่งานปลดพระกุณฑลทองคำประดับเพชร บ้างก็เตร็ดเตร่ไปหาพระวาลวิชนีมาอยู่งานพัด

ครู่หนึ่ง เสียงนางกำนัลน้อยก็กราบทูลขึ้นจากเบื้องหลัง

" ขอเดชะพระนางเจ้า ณ บัดนี้ ท่านตรึงสมัยกำลังรอขอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องพระบรรทมแล้วเพคะ "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงแย้มพระสรวลคราหนึ่งจึ่งทรงหันมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบแลดวงพระเนตรก็เป็นประกายวาววับระยิบระยับดุจดาราในนภากาศ ทรงพระดำรัสนุ่มนวลชวนฝันครากระนั้นว่า

" เชิญเขาเข้ามาข้างในสิจ๊ะ "

" เพคะพระองค์ "

เมื่อบุรุษหนุ่มเดินเข้าสู่ห้องพระบรรทมแห่งนั้น พระนางก็ทรงปรีดาล้นประมาณก่อนทรงมีพระบัณฑูรอีกครา

" เอาละ... พวกเจ้าทั้งหลาย จงออกไปกันได้แล้ว "

เหล่านางข้าหลวงทั้งมวลต่างคำนับ ก่อนจะกราบบังคมลากันออกไปจนภายในที่นั้นมีเพียงพระนางกับตรึงสมัยผู้สง่า

ในไม่ช้า ตรึงสมัยก็ขยับกายเข้าประชิดพลางอัญเชิญพระหัตถาแห่งองค์กษัตรียาขึ้นมาจุมพิตอย่างหลงใหลพร้อมทอดสายตาอันเยิ้มหยาดถวาย

พระนางสุบินสวรรค์ทรงสั่นพระวรกายระริกรัวพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงแช่มช้อยชะมดชม้อยน่าดูชม

" อุ๊ย... กระไรนี่ อย่ากระทำเช่นนี้สิหนอเจ้า "

" เชิญเสด็จเข้าพระแท่นบรรทมทองเถิดทูลกระหม่อม "

- - - - - - - - -

ณ กาลครั้งนั้น...

ตรึงสมัยพลันประคององค์กษัตรียาสุบินสวรรค์ไปยังพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดารา อันมีพระวิสูตรสีทองอร่ามตากางกั้นอยู่อย่างมิดชิด

เมื่อสองกายชายหญิงค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้าสู่แท่นบรรทมภิรมย์สวาทแห่งนั้น โดยพลัน เพลิงหฤหรรษ์ที่สุมหทัยให้ระอุก็เผาผลาญกายินทรีย์ที่ระทึกระทวยให้สั่นสะท้านปานพสุธาสะเทือน

ดาวเดือนอันพร่างพรายส่องประกายระยิบระยับประดับไปทั่วท้องนภากาศ ราวอัญมณีสูงค่าบนอาภรณ์แห่งเทวาและเทวีที่ชี้ชวนกันจรลีมาเริงเล่นมหาสมุทรอันไพศาล

เกลียวคลื่นอันโอฬารโถมทะยานโหมกระหน่ำสาดซัดเข้าสู่ฝั่งเป็นระลอกๆ ราวกับจะกัดเซาะเนินทรายอันเนียนละเอียดให้สูญสลายหายไปในพริบตา

เพลานั้น กลุ่มเมฆสีนิลค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมไปทั่วท้องนภาเหนือผืนมหาสมุทร จนเหล่าเดือนดาราที่ลอยละล่องส่องประกายระยิบระยับจับตาพลันถูกบดบังด้วยหมอกทะมึนอันน่าหวาดกลัว เสียงคำรามกู่ก้องแห่งองค์เทวาพลันกังวาลไกลไปทั่วผืนพสุธาแลมหาสมุทรแห่งนั้นจนสุดที่จะสรรหาสรรพเสียงใดๆมาเปรียบได้

ในไม่ช้า เมื่อเกลียวพายุสวาทที่พัดหวนนั้นทวีทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งฝั่งฝัน เรือนกายอันสั่นสะท้านแห่งหญิงชายก็รับรู้ได้ถึงดวงหทัยอันพึงปรารถนาที่ค่อยๆคืบคลานผ่านบันไดสวรรค์ขึ้นมาจนใกล้สรรพางค์

แลเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสืบประสานกันเป็นครรลองจนสอดคล้องต้องกัน ท้องนภาอันระทวยระทึกก็พลันปลดปล่อยหยาดพิรุณอันฉ่ำชื่นให้โปรยปรายอาบชะโลมไปทั่วแผ่นพื้นโลกาธาตุอันร้อนเร่าดุจเถ้าธุลีเพลิงอันแดงฉาน

บทพิศวาสอันตระการรำพันพร่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เคล้าคลอกับเสียงมโหรีแห่งคนธรรพ์บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า แลเมื่อท้องนภาอันแปดเปื้อนไปด้วยปรอยพิรุณนั้นเริ่มสร่างซา แสงระยิบระยับจับตาอันโอฬาริกแห่งดวงดาวก็พราวพร่างส่องประกายฉาดฉายแจ่มจรัสไปทั่วผืนปฐพีอีกครั้ง

ตรึงสมัยพลันประคององค์พระนางสุบินสงรรค์ลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดารา ภายหลังจากที่บทพิศวาสอันหฤหรรษ์นั้นพ้นผ่าน

เส้นพระเกศาอันดับขลับแห่งองค์กษัตรียาผู้เลอโฉมได้รับการโลมไล้สางละเลียดด้วยหวีทองคำโดยฝีมือนายทหารหนุ่มผู้หาญกล้า

ในไม่ช้า มโหรีวงน้อยก็ค่อยๆเคลื่อนคล้อยเข้ามาในห้องบรรทมแล้วเริ่มประโคมขับกล่อมเป็นทำนองด้วยบทเพลงสองคู่ชู้ชื่นชีวาตม์ ซึ่งนายทหารผู้องอาจ และกษัตรียาผู้ยิ่งใหญ่ได้ร่วมร้องสลับกันไป ณ บัดนั้น

" งามราวเทพเจ้าสร้างสรรค์ "

" วาจาหวานปานน้ำอมฤต "

" คิดมีจิตปฏิพัทธ์ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว "

" มิแคล้วคงหมายสิ่งใดแน่ "

" อุแหม... ช่างรู้หทัยข้ายิ่ง "

" สิ่งใดที่เจ้าหวัง "

" รั้งตำแหน่งแม่ทัพกระนั้นเอง "

ตรึงสมัยร้องจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงเผยพระสรวลคราหนึ่งจึงทรงพะยักพระพักตร์ตอบรับ ก่อนที่ตรึงสมัยจะประคองพระองค์ลุกขึ้นไปยังพระแท่นบรรทมบรมพิมานสวรรค์หยาดพิลาสดาราอีกครา

- - - - - - - - -

เมื่อพระสุริยาทอรัศมีเจิดจ้าไปทั่วทั้งท้องนภาแห่งบูรพทิศาในอรุณทิวาวันรุ่งนั้น

ภายในท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังเถมรูกำลังเป็นมหาสมาคมที่เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งมวลต่างหมอบราบกราบถวายบังคมพระนางสุบินสวรรค์ ซึ่งทรงออกสนองราชกิจงานเมืองอยู่เป็นปฐม

ฉับพลันทันใด... สะขรุมจินห์ มหาดเล็กหญิงพลันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในท้องพระโรงพลางทรุดกายก้มหน้าลงกราบบังคมทูล

" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระนางเจ้าชาวเถมรู ณ บัดเพลานี้ ม้าเร็วได้รายงานมาว่าทางฝ่ายกรุงละวิรัฐ ริอาจสร้างเขื่อนปิดกั้นลำสวรรค์ธารามหานที ชะรอยหมายคบคิดเก็บกักวารีไว้ใช้เฉพาะพระนครตนจนสร้างความเดือดร้อนสับสนอลหม่านร้าวรานแร้นแค้นต่อเนื่องถึงดินแดนเถมรูเราแล้วพระเจ้าข้า "

มโหรีกระหน่ำฉาบสามครา ตามด้วยการรัวฆ้องสองครั้ง

พระนางสุบินสวรรค์ จะติกะวะนาจิ และสะขรุมจินห์ ร่วมครวญเพลงเป็นลำดับขั้น

" สวรรค์เอย กระไรเลยกันหนอนี่ "

" เห็นทีเป็นฝีหัตถาฉกรรณราชาแน่แท้ "

" คิดหาหนทางแก้ไขเถิดพระนาง "

จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 70 ชันษา หันขวับขึ้นกราบบังคมทูลทันควันกระนั้น

" เดชะพระนางเจ้า หม่อมฉันขอขันอาสา นำทัพหน้าไปต่อกรเอาความกับองค์ฉกรรณราชามหาอุปราชแห่งละวิรัฐประเทศเองพระเจ้าข้า "

" ช้าก่อน... จะติกะวะนาจิเจ้าเอย "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงเผยพระหัตถ์ยับยั้งพลางตรัสอีกครา

" เห็นทีการครั้งนี้ฉกรรณราชาคงสำคัญผิด คิดว่าตนเป็นหนึ่งในเกวลทวีป จึงอวดศักดาแสดงแสนยานุภาพให้เถมรูประจักษ์แจ้ง ประหนึ่งเป็นการทดสอบกำลังแห่งเรา กระนั้น ครานี้เราจึงควรแสดงท่าทีโอนอ่อนผ่อนปรณเพื่อลวงล่อละวิรัฐให้หลงระเริงไปก่อนจึงค่อยกรีฑาทัพในเบื้องหน้าก็ยังมิสาย "

เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างฉงนสนเท่ห์เป็นที่ยิ่ง สรรพเสียงอึงอลระงมไปทั่วท้องพระโรงแห่งนั้นอยู่คราหนึ่งจะติกะวะนาจิจึงกล่าว

" ทรงหมายพระราชหฤทัยเช่นใดกันเพคะพระนาง "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นตรัสด้วยพระสุรสีหนาทว่า

" บัดเพลานี้มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น "

" สิ่งใดกันพระจงแถลงให้แจ้งแจ่ม "

" เบิกแม้ทัพคนใหม่ให้ประจักษ์ "

จบพระดำรัส โดยพลัน... เหล่านายทวารต่างกุลีกุจอช่วยกันแง้มบานประตูท้องพระโรงอันโอ่อ่าตระการตาให้เปิดเข้ามา ซึ่งเพลานั้น มีบุรุษชาติอาชาไนยในชุดเกราะอย่างขุนศึกชั้นสูงแห่งเถมรูได้ก้าวย่างเข้ามาภายในมหาสมาคมแห่งนั้นอย่างสง่างามดุจเทพบุตรจากสรวงสวรรค์

ทหารหนุ่มผู้นั้นก็คือ ตรึงสมัย นั่นเอง ซึ่งบัดนี้ใบหน้าอันงดงามคมคายอีกทั้งวรกายอันกำยำล่ำสันทรงเสน่ห์ของเขาได้กลายเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาอิสตรีทั้งหลายในท้องพระโรงแห่งนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่