updated: 26 ส.ค. 2556 เวลา 15:51:37 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ต่างชาติหอบ เงินออกนอกประเทศ เทขายทิ้งทั้งหุ้น 1.1 แสนล้าน ฝั่งบอนด์ขายออก 5.7 หมื่นล้าน กดดันค่าเงินบาทอ่อนยวบ นักค้าเงินจับตาภายใน 1 เดือน บาทแตะ 33 บาท/ดอลลาร์ ด้าน ธปท.รับอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนเร็วขึ้น ค่ายโนมูระชี้ต่างชาติถือหุ้นไทยเหลือ 1.8 หมื่นล้าน นับจากวันที่สหรัฐเริ่มทำ QE คาดหุ้นไทยลงได้อีก 2%
จากเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ามาสู่ระดับ 32.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี ซึ่งนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เป็นการอ่อนค่าตามภูมิภาค เพราะมีเงินไหลออกจากภูมิภาคมาก และเป็นการอ่อนค่าในทิศทางเดียวกับตลาดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่ค่าความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจแตกต่างกันไป โดยถ้ามองในระยะกลางถือว่าค่าบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้น
เดือนหน้าแตะ 33 บาท/ดอลลาร์
นาง สาวปารีณา พ่วงศิริ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มจากนี้ค่าบาทจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่อง การลดหรือยกเลิกมาตรการคิวอี จากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ เนื่องจากที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาดี ตอกย้ำภาพเศรษฐกิจในเชิงบวก และคาดว่าหลังประชุม FOMC ในเดือน ก.ย. การเคลื่อนย้ายเงินทุนจะผันผวนมากขึ้น ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเวลานี้อยู่ในระดับอ่อนแอ จึงเป็นจังหวะให้นักลงทุนถอนเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ โดยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ดึงเงินกลับออกไปซื้อดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์นอกเอเชีย และอีกส่วนยังเป็นการถือเงินสด
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนน้อยกว่าสกุลเงินเพื่อนบ้าน อาทิ เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียอ่อนค่าราว 6% เงินรูปีของอินเดียที่อ่อนค่ามากกว่า 8% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 4.74% เทียบกับสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 30.60 บาท/ดอลลาร์
"ต้องจับตามองภายใน 1 เดือนข้างหน้า มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าหลุดไปอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หากนักลงทุนเกิดอาการวิตกในข่าวสารมาก และตัวเลขที่ออกมาในระยะนี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและทยอยขายสินทรัพย์ออกจากเอเชียได้" นางสาวปารีณากล่าว
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ คาดว่า ครึ่งปีหลัง เงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าในกรอบ 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีความเสี่ยงจากดุลบัญชีเดินสะพัดว่า หากขาดดุลเพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าแตะ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
แม้ปัจจุบันดุลบัญชี เดินสะพัดของไทยจะไม่ได้ขาดดุลมากนัก แต่ถ้าการส่งออกยังไม่ดีขึ้น การเคลื่อนย้ายของเงินทุนจากต่างประเทศยังมีอยู่ และดุลบริการหดตัว ย่อมมีผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลได้
ทุนนอกทิ้งบอนด์ 5.7 หมื่นล้าน
นาย สุชาติ ธนฐิติพันธ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.-กลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา (46 วัน) ต่างชาติถอนออกจากตลาดบอนด์รวม 5.7 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดต่างชาติยังถือครองตราสารหนี้ไทยคงค้างที่ 748,000 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/56 ที่มียอดคงค้าง 860,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงราว 1.2 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเพราะครบอายุ 9.1 หมื่นล้านบาท และเป็นส่วนที่ต่างชาติขายออก 2.9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิประมาณ 3 แสนล้านบาท
"ช่วงเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมาแรงเทขายของต่างชาติยังไม่ถือว่าเยอะมาก หากเทียบกับจำนวนตราสารหนี้ที่หมดอายุ แต่ที่น่าสังเกตคือ การกลับเข้ามาซื้อลดลง"
ส่วนปัจจัยที่กระทบตลาดบอนด์ไทยอยู่ที่การ เปรียบเทียบผลตอบแทน (ยีลด์) ในพันธบัตรระยะยาวของไทยกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยมียีลด์อยู่ที่ 4% เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ซึ่งอยู่ที่ 3.4% ส่วนยีลด์พันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐ (T-Bill) เกือบแตะ 3% เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ที่เคยอยู่ที่ 1.5% ดังนั้นจึงมีผลให้ต่างชาติหันไปสนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น
"ถ้า เฟดลดคิวอีในเร็ว ๆ นี้ คาดว่ายีลด์พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอีก และจะยิ่งสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนต่างชาติหันไปถือพันธบัตรสหรัฐด้วย ปัจจัยผลตอบแทนที่สูงและมีความมั่นคงกว่าได้" นายสุชาติกล่าว
ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่อง 1.1 แสน ล.
นาย กรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะกังวลการชะลอมาตรการ QE ของเฟด ซึ่งอาจส่งผลให้สภาพคล่องทั่วโลกไหลกลับเข้าสู่ตลาดเดิม และทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ประกอบกับความผิดหวังกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2556 และการปรับลดคาดการณ์ปีนี้ที่จะเติบโตเหลือ 4% ซึ่งลดลงเกือบ 1% จากที่เคยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะโต 4% ปลาย ๆ เกือบ 5% ส่งผลให้ต่างชาติลดความเชื่อมั่นและเกิดอัตราเร่งขายหุ้นออกมาปริมาณมาก ซึ่งเป็นการปรับพอร์ตครั้งใหญ่เพื่อหาโอกาสลงทุนต่อในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ ดีกว่า
ทั้งนี้ นับจากสหรัฐเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE 2 ตั้งแต่ 3 พ.ย. 2010-ต้นเดือน ก.พ. 2013 เป็นรอบที่นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสะสมหุ้นไทยรวม 1.41 แสนล้านบาท โดยมีต้นทุนเฉลี่ยที่ระดับดัชนี 1,165 จุด ก่อนที่จะมีการปรับพอร์ตขายต่อเนื่องหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน (23 ส.ค.) ประมาณ 120,282 ล้านบาท กดดันให้ตลาดหุ้นปรับฐานจากจุดสูงสุดราว 18.8% (1,650-1,340 จุด) และทำให้ยอดซื้อสะสมคงเหลือประมาณ 8 พันล้านบาท แรงขายเริ่มเบาบาง
"ปัจจุบันต่างชาติขายออกมาแล้วราว 87% ของยอดซื้อในช่วงก่อนหน้า กรณียังขายต่อเนื่องถึง 80-100% ของยอดซื้อ จะทำให้ตลาดหุ้นมีดาวน์ไซด์ในกรอบ 1,310-1,225 จุด ลงได้อีกราว 2.25-8.5%"
นายกรภัทรกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่าง ชาติได้เทขายหุ้นออกเพราะเห็นทิศทางค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงอีก ซึ่งในช่วงก่อนหน้าที่ขายจะได้กำไร 2 เด้ง ทั้งหุ้นและค่าเงินบาท แต่ว่าในขณะนี้ค่าเงินบาทอ่อนลงมาอยู่ที่ 32 บาทเศษ/ดอลลาร์ ทางโนมูระคาดการณ์ว่าปีนี้บาทจะอ่อนค่าสุดที่ 32.80 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะเห็นว่ามีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีกเล็กน้อย
"ถ้าเทียบกับค่าเงิน บาทที่ตอนนี้อยู่ 32 บาท/ดอลลาร์ ถือว่าใกล้เคียงกับช่วงที่ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยเมื่อตอนสหรัฐออก QE 2 ที่อยู่ประมาณ 32 บาท/ดอลลาร์ ดังนั้นตอนนี้ต่างชาติขายก็จะได้กำไรแต่หุ้น ได้แค่เด้งเดียว ส่วนค่าเงินบาท ต่างชาติขายเอาเงินออกตอนนี้ก็ไม่ได้กำไรแล้ว"
อย่างไรก็ตาม นายกรภัทรคาดว่า มีโอกาสที่แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งได้ ในช่วงต้นไตรมาส 4/2556 หลังจากมีความชัดเจนของการถอนมาตรการ QE ในการประชุมเฟด วันที่ 17-18 ก.ย. ประกอบกับน่าจะเห็นสัญญาณตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. ที่จะเห็นทิศทางดีขึ้นจากค่าบาทอ่อนตัว น่าจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาได้ระดับหนึ่ง
เพราะ ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน มีพื้นฐานที่ดี และปัจจุบัน P/E ของตลาดอยู่ที่ระดับ 13 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดในภูมิภาค เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ค่าพี/อีสูง 19 เท่า มาเลเซียอยู่ที่ 16 เท่า และอินโดนีเซียอยู่ที่ 14 เท่า
ต่างชาติทิ้งหุ้น-บอนด์หนีขาดทุนค่าบาทผวาทะลุ 33บาท/ดอลลาร์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ต่างชาติหอบ เงินออกนอกประเทศ เทขายทิ้งทั้งหุ้น 1.1 แสนล้าน ฝั่งบอนด์ขายออก 5.7 หมื่นล้าน กดดันค่าเงินบาทอ่อนยวบ นักค้าเงินจับตาภายใน 1 เดือน บาทแตะ 33 บาท/ดอลลาร์ ด้าน ธปท.รับอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนเร็วขึ้น ค่ายโนมูระชี้ต่างชาติถือหุ้นไทยเหลือ 1.8 หมื่นล้าน นับจากวันที่สหรัฐเริ่มทำ QE คาดหุ้นไทยลงได้อีก 2%
จากเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ามาสู่ระดับ 32.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี ซึ่งนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เป็นการอ่อนค่าตามภูมิภาค เพราะมีเงินไหลออกจากภูมิภาคมาก และเป็นการอ่อนค่าในทิศทางเดียวกับตลาดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่ค่าความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจแตกต่างกันไป โดยถ้ามองในระยะกลางถือว่าค่าบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้น
เดือนหน้าแตะ 33 บาท/ดอลลาร์
นาง สาวปารีณา พ่วงศิริ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มจากนี้ค่าบาทจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่อง การลดหรือยกเลิกมาตรการคิวอี จากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ เนื่องจากที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาดี ตอกย้ำภาพเศรษฐกิจในเชิงบวก และคาดว่าหลังประชุม FOMC ในเดือน ก.ย. การเคลื่อนย้ายเงินทุนจะผันผวนมากขึ้น ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเวลานี้อยู่ในระดับอ่อนแอ จึงเป็นจังหวะให้นักลงทุนถอนเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ โดยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ดึงเงินกลับออกไปซื้อดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์นอกเอเชีย และอีกส่วนยังเป็นการถือเงินสด
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนน้อยกว่าสกุลเงินเพื่อนบ้าน อาทิ เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียอ่อนค่าราว 6% เงินรูปีของอินเดียที่อ่อนค่ามากกว่า 8% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 4.74% เทียบกับสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 30.60 บาท/ดอลลาร์
"ต้องจับตามองภายใน 1 เดือนข้างหน้า มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าหลุดไปอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หากนักลงทุนเกิดอาการวิตกในข่าวสารมาก และตัวเลขที่ออกมาในระยะนี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและทยอยขายสินทรัพย์ออกจากเอเชียได้" นางสาวปารีณากล่าว
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ คาดว่า ครึ่งปีหลัง เงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าในกรอบ 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีความเสี่ยงจากดุลบัญชีเดินสะพัดว่า หากขาดดุลเพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าแตะ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
แม้ปัจจุบันดุลบัญชี เดินสะพัดของไทยจะไม่ได้ขาดดุลมากนัก แต่ถ้าการส่งออกยังไม่ดีขึ้น การเคลื่อนย้ายของเงินทุนจากต่างประเทศยังมีอยู่ และดุลบริการหดตัว ย่อมมีผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลได้
ทุนนอกทิ้งบอนด์ 5.7 หมื่นล้าน
นาย สุชาติ ธนฐิติพันธ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.-กลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา (46 วัน) ต่างชาติถอนออกจากตลาดบอนด์รวม 5.7 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดต่างชาติยังถือครองตราสารหนี้ไทยคงค้างที่ 748,000 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/56 ที่มียอดคงค้าง 860,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงราว 1.2 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเพราะครบอายุ 9.1 หมื่นล้านบาท และเป็นส่วนที่ต่างชาติขายออก 2.9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิประมาณ 3 แสนล้านบาท
"ช่วงเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมาแรงเทขายของต่างชาติยังไม่ถือว่าเยอะมาก หากเทียบกับจำนวนตราสารหนี้ที่หมดอายุ แต่ที่น่าสังเกตคือ การกลับเข้ามาซื้อลดลง"
ส่วนปัจจัยที่กระทบตลาดบอนด์ไทยอยู่ที่การ เปรียบเทียบผลตอบแทน (ยีลด์) ในพันธบัตรระยะยาวของไทยกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยมียีลด์อยู่ที่ 4% เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ซึ่งอยู่ที่ 3.4% ส่วนยีลด์พันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐ (T-Bill) เกือบแตะ 3% เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ที่เคยอยู่ที่ 1.5% ดังนั้นจึงมีผลให้ต่างชาติหันไปสนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น
"ถ้า เฟดลดคิวอีในเร็ว ๆ นี้ คาดว่ายีลด์พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอีก และจะยิ่งสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนต่างชาติหันไปถือพันธบัตรสหรัฐด้วย ปัจจัยผลตอบแทนที่สูงและมีความมั่นคงกว่าได้" นายสุชาติกล่าว
ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่อง 1.1 แสน ล.
นาย กรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะกังวลการชะลอมาตรการ QE ของเฟด ซึ่งอาจส่งผลให้สภาพคล่องทั่วโลกไหลกลับเข้าสู่ตลาดเดิม และทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ประกอบกับความผิดหวังกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2556 และการปรับลดคาดการณ์ปีนี้ที่จะเติบโตเหลือ 4% ซึ่งลดลงเกือบ 1% จากที่เคยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะโต 4% ปลาย ๆ เกือบ 5% ส่งผลให้ต่างชาติลดความเชื่อมั่นและเกิดอัตราเร่งขายหุ้นออกมาปริมาณมาก ซึ่งเป็นการปรับพอร์ตครั้งใหญ่เพื่อหาโอกาสลงทุนต่อในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ ดีกว่า
ทั้งนี้ นับจากสหรัฐเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE 2 ตั้งแต่ 3 พ.ย. 2010-ต้นเดือน ก.พ. 2013 เป็นรอบที่นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสะสมหุ้นไทยรวม 1.41 แสนล้านบาท โดยมีต้นทุนเฉลี่ยที่ระดับดัชนี 1,165 จุด ก่อนที่จะมีการปรับพอร์ตขายต่อเนื่องหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน (23 ส.ค.) ประมาณ 120,282 ล้านบาท กดดันให้ตลาดหุ้นปรับฐานจากจุดสูงสุดราว 18.8% (1,650-1,340 จุด) และทำให้ยอดซื้อสะสมคงเหลือประมาณ 8 พันล้านบาท แรงขายเริ่มเบาบาง
"ปัจจุบันต่างชาติขายออกมาแล้วราว 87% ของยอดซื้อในช่วงก่อนหน้า กรณียังขายต่อเนื่องถึง 80-100% ของยอดซื้อ จะทำให้ตลาดหุ้นมีดาวน์ไซด์ในกรอบ 1,310-1,225 จุด ลงได้อีกราว 2.25-8.5%"
นายกรภัทรกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่าง ชาติได้เทขายหุ้นออกเพราะเห็นทิศทางค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงอีก ซึ่งในช่วงก่อนหน้าที่ขายจะได้กำไร 2 เด้ง ทั้งหุ้นและค่าเงินบาท แต่ว่าในขณะนี้ค่าเงินบาทอ่อนลงมาอยู่ที่ 32 บาทเศษ/ดอลลาร์ ทางโนมูระคาดการณ์ว่าปีนี้บาทจะอ่อนค่าสุดที่ 32.80 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะเห็นว่ามีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีกเล็กน้อย
"ถ้าเทียบกับค่าเงิน บาทที่ตอนนี้อยู่ 32 บาท/ดอลลาร์ ถือว่าใกล้เคียงกับช่วงที่ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยเมื่อตอนสหรัฐออก QE 2 ที่อยู่ประมาณ 32 บาท/ดอลลาร์ ดังนั้นตอนนี้ต่างชาติขายก็จะได้กำไรแต่หุ้น ได้แค่เด้งเดียว ส่วนค่าเงินบาท ต่างชาติขายเอาเงินออกตอนนี้ก็ไม่ได้กำไรแล้ว"
อย่างไรก็ตาม นายกรภัทรคาดว่า มีโอกาสที่แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งได้ ในช่วงต้นไตรมาส 4/2556 หลังจากมีความชัดเจนของการถอนมาตรการ QE ในการประชุมเฟด วันที่ 17-18 ก.ย. ประกอบกับน่าจะเห็นสัญญาณตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. ที่จะเห็นทิศทางดีขึ้นจากค่าบาทอ่อนตัว น่าจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาได้ระดับหนึ่ง
เพราะ ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน มีพื้นฐานที่ดี และปัจจุบัน P/E ของตลาดอยู่ที่ระดับ 13 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดในภูมิภาค เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ค่าพี/อีสูง 19 เท่า มาเลเซียอยู่ที่ 16 เท่า และอินโดนีเซียอยู่ที่ 14 เท่า