ความหมายของ อริยสาวก กับการดิ้นรน แถกแถ(ของใคร?) !

เมื่อได้เห็นการ "ตีฝีปาก" ดิ้นรน แถกๆ แถๆ  ของ นายคันโตนาซี  แล้วก็ได้แต่รู้สึก  "สมเพช" เวทนา จริงๆ
เนื่องจาก อยู่ดีๆ ไอ้หมอนี่ ก็เกิดมีปัญหาทางระบบประสาทสมอง ไปเสียดื้อๆ



ที่จริงแล้ว ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่สามารถทำให้ใคร เกิดอาการ สับสน ได้เลยนะครับ
เพราะแรกเริ่มเดิมที ก็เป็นนายคันโตนาซีนั่นเอง ที่ได้ทำการ "บิดเบือน" พุทธพจน์ ว่า อริยสาวก หมายถึง พระอริยะ
ทั้งๆ ที่คำว่า "อริยสาวก" จากพระสูตรที่นายคนนี้ยกขึ้นอ้าง มีความหมายที่แท้จริงว่า สาวกของพระอริยะ ต่างหาก !



หากถามว่า ทำไมผมจึงกล้าสรุปแบบนั้น ตอบตรงๆ แบบง่ายๆ ก็คือ ข้อความแวดล้อมในพระสูตรดังกล่าว
บ่งชี้ให้เห็นว่า อริยสาวก จากพระสูตรนี้ ต้องหมายถึง สาวกของพระอริยะ เนื่องจาก พระพุทธเจ้าตรัสถึง
ญาณ ที่ ๗ จากวิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งยังไม่ข้ามพ้นความเป็น "ปุถุชน" นั่นเอง !

ดังนั้น การที่ นายคันโตนาซี พยายามโต้แย้ง(อย่างโง่ๆ)ว่า เหตุใดในตอนแรกจึงกล่าวแต่เพียงว่า
อริยสาวก ต้องหมายถึง ปุถุชน ผู้เป็นสาวกของพระอริยะ เท่านั้น ข้อนี้ไม่เห็นแปลก เนื่องจาก
ความข้อนั้น อธิบายเฉพาะ สมุทยสูตร ที่ไอ้หมอนั่นยกขึ้นอ้าง น่ะสิ

ส่วนความข้อที่ ๒ ที่ผมกล่าวว่า ต่อให้มันสามารถหา พระสูตร ที่คำว่า อริยสาวก หมายถึง สาวกผู้เป็นอริยะ มาอ้างได้
มันก็ไม่สามารถทำให้ ความหมายของคำว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร เปลี่ยนความหมายไปได้
นี่ย่อมเป็นการกล่าวตามความเป็นจริงอย่างยิ่งแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้อง "งง" อะไรเลย

ทั้งนี้ก็เพราะ ผมได้อธิบายเอาไว้ในกระทู้อย่างชัดเจนแล้วนี่ครับว่า
คำว่า อริยสาวก ในพระไตรปิฎก มีอยู่ ๒ ความหมาย คือ (๑) สาวกผู้เป็นอริยะ และ (๒) สาวกของพระอริยะ
ซึ่งจะมีความหมายอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมในพระสูตรนั้นๆ

สรุป ก็คือ คนที่เมาน้ำหมักชีวภาพ หรืออาจเกิดอาการ "เมาหมัด"
เนื่องจาก แถกแถ จนเนื้อตัวถลอกปอกเปิก แต่ก็ยังเอาตัวไม่รอด
จึงน่าจะเป็น คันโตนาซี มากกว่ากระมัง ?

สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบ ข้อเท็จจริง ผมขออนุญาต อธิบายไปตามลำดับ ดังต่อไปนี้

๑) อรรถกถาจารย์อธิบายความว่า อริยสาวก คำนี้ อาจหมายถึง ...........

(๑) พระอริยะ ที่ไม่เป็นสาวก
(๒) สาวก ที่ไม่เป็นพระอริยะ
(๓) ไม่เป็นทั้ง สาวก และ พระอริยะ
(๔) เป็นทั้งพระอริยะ และ สาวก



และกล่าวอธิบายในท้ายที่สุดว่า .......

"แต่ในที่นี้จะเป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิตก็ตาม คนใดคนหนึ่ง ผู้สมบูรณ์ด้วยการศึกษา
ด้วยอำนาจแห่งเนื้อความที่กล่าวไว้แล้ว พึงทราบว่า ผู้นี้เป็นอริยสาวก ในบทว่า สุตวา นี้"

จึงเป็นอันว่า ผมมิได้กล่าวอะไรเอาเองเลยแม้แต่คำเดียว
คำอธิบายของผมข้างต้น ล้วนแล้วแต่เป็น "มติ" ของอรรถกถาจารย์ทั้งสิ้น !

หรือมิใช่ ?

๒) เพราะเหตุที่ อรรถกถาจารย์ อธิบายว่า อริยสาวก มีหลายความหมาย ดังนั้น การที่เราจะทราบว่า
อริยสาวก ในแต่ละพระสูตร มีความหมายว่าอย่างไร จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์เอาจาก "เนื้อความ" ของพระสูตรนั้น
ตัวอย่างเช่น คำว่า อริยสาวก จาก สัททสูตร



อรรถกถาจารย์ อธิบายว่า หมายถึง สาวกของพระอริยะ (มิได้หมายถึง สาวกผู้เป็นอริยะ)
เมื่อ "ข้อเท็จจริง" เป็นดังนี้ จึงหมายความว่า ต่อให้ คันโตนาซีและพวก สามารถหาพระสูตร
ซึ่งคำว่า อริยสาวก หมายถึง พระอริยบุคคล ได้ มันก็ไม่มีผลทำให้ คำว่า อริยสาวก จาก สัททสูตร เปลี่ยนความหมายไปอยู่ดี

นี่ย่อมเป็นหลักการเหตุผล "ง่ายๆ" ที่คนปกติ ไม่ควร "งง" หรือ "สับสน"  จริงไหม ?

คันโตนาซี ก็จงละเลิกการ แถกแถ อย่างหน้าด้านๆ ได้แล้วนะครับ !



๓) กล่าวโดยสรุป ก็คือ หาก คันโตนาซี ยังต้องการจะยืนยันว่าตนเองมิได้กล่าวตู่บิดเบือนพุทธพจน์จาก สมุทยสูตร
ก็จงอธิบายความให้ได้เถิดว่า พระบาลี ซึ่งอธิบาย ญาณที่ ๗ (จากวิปัสสนาญาณ ๙) จะเป็นการบ่งชี้ถึง อริยบุคคล ได้อย่างไร ?



เพราะถ้าไม่สามารถอธิบายความจนปราศจากข้อสงสัยได้ ก็จงยอมรับความจริงเสียเถิดว่า
แก ....... ล็อกอิน คันโตนาซี ได้กล่าวตู่บิดเบือนพุทธพจน์ ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
จงอย่าได้พยายาม ดิ้นรน แถกแถ ด้วยการ ตีฝีปาก อย่างโง่ๆ ให้สภาพมันน่าทุเรศ ยิ่งไปกว่านี้เลย



สิ่งที่ผมรู้สึกสงสัยมากที่สุด ก็คือ การที่ คันโตนาซี ดิ้นรนรนแถกแถ ไม่ยอมรับความจริง ด้วยความหน้าด้านอยู่อย่างนี้
มันเป็นการปกป้อง "พระพุทธศาสนา" หรือ เป็นการปกป้อง "หน้า-หนาๆ" ของตนเอง กันแน่ ?



คริคริ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่