.......เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดในรัฐสภาอีกหลายครั้งในวันที่ 20 สิงหาคม 2556
ถึงกับต้องระดมกำลังตำรวจประจำรัฐสภาเข้ามาหิ้วปีก สส.ประชาธิปัตย์
แน่นอนครับว่าภาพมันดูไม่งามเลย สร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐสภาไทย
.......ความผิดของสมาชิกฝ่ายประชาธิปัตย์และ สว.บางคน คือ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ยืนขึ้นประท้วงและส่งเสียงดังโววาย สร้างความโกลาหล
มีการใช้ถ้อยคำดูถูกผู้ทำหน้าที่ประธานว่า ขี้ข้า ขี้ข้า ขี้ข้า ขี้ข้า..............................
เป็น”ขี้ข้า”จริงหรือไม่?อันนี้สังคมก็กำลังเฝ้าติดตามพฤติกรรมอยู่
หลายคนก็ยอมรับคำว่า “ขี้ข้า” จนขึ้นใจ และไม่กระดากกับคำพูดนี้
.......ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ประธานก็ทำในสิ่งที่น่าผิดหวังไม่แพ้กัน
นั้นก็คือเป็นต้นเหตุแห่งความโกลาหล เพราะมีพฤติกรรมที่ชวนให้เชื่อว่าไม่เป็นกลาง
รู้ก็รู้อยู่แล้วว่า โหวตยังไงก็ชนะ แต่ทำไมไม่เปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้อภิปรายตามสิทธิ์
.......โดยระเบียบขั้นตอนการตรากฎหมายของรัฐสภาในขั้นตอนพิจารณาเรียงลำดับมาตรา
สมาชิกผู้ที่เสนอขอแปรญัตติสามารถขอสงวนคำแปรญัตติในส่วนของกรรมาธิการ
เพื่อนำมาอภิปรายในส่วนของรัฐสภาได้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์มีถึง 57 คน
กรรมาธิการอ้างว่าเป็นการแปรญัตติโดยผิดหลักการ ทำไมถึงไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างบ้าง?
การอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา 57 คน อาจไม่ถูกใจสมาชิกเสียงข้างมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ประชาชนผู้ซึ่งชมการอภิปรายมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ความเห็นแย้งดังกล่าว
อันที่จริงมันก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการรับรู้ความเป็นไปของประเทศ
.......สมาชิกรัฐสภามีสิทธิ์ที่จะทำหน้าที่นิติบัญญัติ แต่มาถูกริดรอนสิทธิ์ มันน่าเศร้าใจ
การทำหน้าประธานต้องมีความเป็นกลาง แม้ส่วนตัวจะไม่ได้เป็นกลางทางการเมือง
การรวบรัดตัดความ การใช้อำนาจที่ไม่อยู่ในทำนองคลองธรรม ไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน
.......มนุษย์เราสละอำนาจที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อให้พวกท่านได้ใช้ทำนุบำรุงบ้านเมือง
เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านลุแก่อำนาจ ด้วยการใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลไม่อยู่ในธรรม
มันคือสัญญาณแห่งความเสื่อม .........ซึ่งมันก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
ประชาธิปัตย์ทำผิดที่สร้างความโกลาหล
ถึงกับต้องระดมกำลังตำรวจประจำรัฐสภาเข้ามาหิ้วปีก สส.ประชาธิปัตย์
แน่นอนครับว่าภาพมันดูไม่งามเลย สร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐสภาไทย
.......ความผิดของสมาชิกฝ่ายประชาธิปัตย์และ สว.บางคน คือ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ยืนขึ้นประท้วงและส่งเสียงดังโววาย สร้างความโกลาหล
มีการใช้ถ้อยคำดูถูกผู้ทำหน้าที่ประธานว่า ขี้ข้า ขี้ข้า ขี้ข้า ขี้ข้า..............................
เป็น”ขี้ข้า”จริงหรือไม่?อันนี้สังคมก็กำลังเฝ้าติดตามพฤติกรรมอยู่
หลายคนก็ยอมรับคำว่า “ขี้ข้า” จนขึ้นใจ และไม่กระดากกับคำพูดนี้
.......ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ประธานก็ทำในสิ่งที่น่าผิดหวังไม่แพ้กัน
นั้นก็คือเป็นต้นเหตุแห่งความโกลาหล เพราะมีพฤติกรรมที่ชวนให้เชื่อว่าไม่เป็นกลาง
รู้ก็รู้อยู่แล้วว่า โหวตยังไงก็ชนะ แต่ทำไมไม่เปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยได้อภิปรายตามสิทธิ์
.......โดยระเบียบขั้นตอนการตรากฎหมายของรัฐสภาในขั้นตอนพิจารณาเรียงลำดับมาตรา
สมาชิกผู้ที่เสนอขอแปรญัตติสามารถขอสงวนคำแปรญัตติในส่วนของกรรมาธิการ
เพื่อนำมาอภิปรายในส่วนของรัฐสภาได้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์มีถึง 57 คน
กรรมาธิการอ้างว่าเป็นการแปรญัตติโดยผิดหลักการ ทำไมถึงไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างบ้าง?
การอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา 57 คน อาจไม่ถูกใจสมาชิกเสียงข้างมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ประชาชนผู้ซึ่งชมการอภิปรายมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ความเห็นแย้งดังกล่าว
อันที่จริงมันก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการรับรู้ความเป็นไปของประเทศ
.......สมาชิกรัฐสภามีสิทธิ์ที่จะทำหน้าที่นิติบัญญัติ แต่มาถูกริดรอนสิทธิ์ มันน่าเศร้าใจ
การทำหน้าประธานต้องมีความเป็นกลาง แม้ส่วนตัวจะไม่ได้เป็นกลางทางการเมือง
การรวบรัดตัดความ การใช้อำนาจที่ไม่อยู่ในทำนองคลองธรรม ไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน
.......มนุษย์เราสละอำนาจที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อให้พวกท่านได้ใช้ทำนุบำรุงบ้านเมือง
เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านลุแก่อำนาจ ด้วยการใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลไม่อยู่ในธรรม
มันคือสัญญาณแห่งความเสื่อม .........ซึ่งมันก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว