พูดหรือสอนแบบไหนให้เด็ก(วัยรุ่น)ฟังคุณ

ปัญหานึงที่เจนได้ยินจากผู้ปกครองมาไม่น้อยก็คือลูกตอนยังเป็นเด็กก็เป็นเด็กเรียบร้อย น่ารักว่านอนสอนง่าย แต่พอเข้าสู่วัยทีน(teenage)เริ่มเป็นวัยรุ่น คราวนี้พูดอะไรก็ไม่ฟัง สอนอะไรก็เอาแต่เถียงไปหมด
ยิ่งดุ ยิ่งว่า ยิ่งตี ยิ่งทำโทษ ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายขึ้นไปอีก "ทำไมลูกไม่ฟังเราเลย " "เราสอนไม่ดีหรือสอนผิดตรงไหน" “เกิดบ้าอะไรขึ้นกับลูกของเรา”  ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่เครื่องหมาย???ขึ้นมาเรื่อยๆเต็มไปหมด

เจนเชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความรัก ความปรารถนาดีให้กับเด็ก ปัญหาคือความหวังดีหลายอย่างนั้นถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดคำสอนในแบบที่เด็กไม่อยากฟัง  ฟังแล้วยิ่งไม่พอใจ หรือฟังแล้วยิ่งอยากจะพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามแทน อย่าลืมว่าเด็กวัยนี้นั้นอารมณ์ ความรู้สึกและวุฒิภาวะของพวกเขา อยู่ในช่วงเด็กก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง กล่าวคือเด็กยังอยากได้รับความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่เหมือนตอนยังเป็นเด็ก แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการอิสระ ต้องการได้รับการยอมรับว่าโตแล้ว มีความคิด ดูแลตัวเองได้ เหมือนเป็นผู้ใหญ่  

การสอนพวกเขาด้วยการชี้นำหรือตัดสินแทนว่าอะไรถูกหรือผิด ดีหรือเลว ควรทำหรือไม่ควรทำ เหมือนตอนพวกเขายังเป็นเด็กโดยไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้นไม่มีทางที่จะได้ผลอีกเหมือนตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กเล็กๆแน่ๆ

เอาละเรามาลองดูตัวอย่างกันไหมว่าคำพูดคำสอนประเภทไหนที่ยิ่งพูด ยิ่งนำมาใช้แล้วยิ่งทำให้พวกเขาไม่เชื่อฟังหรือทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามเข้าไปใหญ่แล้วควรจะปรับเปลี่ยนเป็นคำพูดแบบไหนนี่น่าจะได้ผลกว่า

==เป็นเด็กเป็นเล็ก.......==
เป็นเด็กเป็นเล็กใช้ของแพงๆได้ยังไง,เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพึ่งคิดมีแฟน,เป็นเด็กเป็นเล็ก.......

ประโยคนี้จากประสบการณ์บอกได้เลยว่าเป็นประโยคที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่จะทำให้พวกเขาไม่ฟังและไม่คิดตามคำสั่งสอนอะไรเลยของคุณหลังจากนั้น สำหรับพวกเขาการใช้ประโยคนี้ไม่ต่างกับการแสดงตัวว่าคุณดูถูกเขา เจตนาในสิ่งที่คุณต้องการจะให้เขาทำหรือไม่ทำไม่ใช่เพราะคุณรักหรือหวังดีแต่เป็นเพราะคุณอิจฉา ริษยาเขา เป็นเพราะคุณไม่มีเหมือนพวกเขาตอนคุณยังอายุเท่าเขา  คุณคิดว่าพวกเขามีสติปัญญาน้อยกว่า อ่อนด้อยกว่า ไม่มีความคิด เพราะประโยคนี้เป็นการโจมตีที่สถานะของเขา(ความเป็นเด็ก)อย่างชัดเจน (หลักสำคัญที่สุดคือถ้าเด็กมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์คุณต้องเน้นไปที่การกระทำของเขาไม่ใช่ตัวตนของเขา)

ด้วยเหตุนี้คุณควรเลี่ยงไปใช้ประโยคอื่นตามแต่สถานการณ์ โดยเน้นไปที่เรื่องของช่วงเวลาแทนที่จะเป็นตัวเขา  เช่น มีครั้งนึงเด็กที่เจนดูแลแต่งหน้ามาเรียน เจนก็บอกเด็กว่า ด้วยวัยขนาดหนู ครูว่าไม่แต่งหน้าหนูก็ดูสวยก็ดูน่ารักมากอยู่แล้ว สิ่งที่หนูทำจริงๆมันก็ไม่ผิดหรอก แต่จะดีกว่าไหมถ้าตอนนี้หนูสวยแบบธรรมชาติไปก่อนแล้วพอถึงเข้ามหาวิทยาลัยถึงตอนนั้นหนูค่อยสวยแบบแต่งหน้าแทน

หลักๆก็คือ คุณต้องไม่โจมตีหรือต่อว่าที่ตัวตนของเขา  และถ้าสิ่งเหล่านั้นผู้ใหญ่ทำได้แต่ด้วยวัยแล้วพวกเขาไม่ควรทำ คุณต้องไม่บอกเด็ดขาดว่าสิ่งนั้นผิดหรือเลวร้าย(ไม่เช่นนั้นเด็กจะคิดแต่ว่าถ้ามันผิดถ้ามันเลวร้ายแล้วทีผู้ใหญ่ทำไมทำได้ละ) แต่ให้พยายามสื่อว่าตอนนี้อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น การแต่งงานแล้วตั้งครรภ์ถือว่าเป็นข่าวดี เป็นสิ่งที่นำความสุขมาสู่ทุกคนในครอบครัว แต่การตั้งครรภ์ขณะยังเรียนอยู่มัธยมปลาย หนูคิดว่ามันจะดีมันจะนำมาซึ่งความสุขเหมือนกันไหม ทำไมละในเมื่อมันก็เป็นการตั้งครรภ์เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจริงไหมเล่า

==(พ่อ,แม่,ครู)ไม่เข้าใจหนูเลยจริงๆ==

เมื่อไรก็ตามที่คุณแสดงออกอย่างชัดเจนว่า คุณไม่ต้องการเข้าใจไม่ต้องการทราบเหตุผลว่าเด็กทำสิ่งนั้นเพราะอะไร แล้วทำไมเด็กถึงจำเป็นต้องมาพยายามเหนื่อยทำให้คนที่ไม่คิดจะเข้าใจพวกเขาเข้าใจละ

ยกตัวอย่าง เช่น เด็กโดดเรียนเพื่อไปจองบัตรคอนเสิร์ต รอรับศิลปินที่ชื่นชอบหรืออะไรก็ตาม ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มีความคิดได้ถึงขนาดนี้ จริงอยู่เด็กอาจจะยอมรับผิด เด็กอาจจะยอมรับการถูกทำโทษแต่โดยดี แต่ในใจเด็กบอกได้เลยว่าจะวนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่า พวกคุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าโอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีกันทุกวัน  แก่ๆอย่างคุณจะไปรู้เรื่องอะไร

ทางเลือกที่ดีกว่าคือบอกเด็กว่าคุณเข้าใจความรู้สึกของเขา  บอกพวกเขาว่าเหตุผลของพวกเขานั้นน่าเห็นใจ  แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาทำนั้นก็ยังไม่ถูกต้องอยู่ดี “เหตุผลของหนูทำให้ครูตัดสินใจได้ว่า ครูจะทำโทษหนูสถานเบาที่สุดในความผิดนี้ แต่หนูก็ต้องยอมรับว่าเหตุผลในการทำผิดไม่ว่าจะดีแค่ไหนมันก็ทำได้แค่ทำให้น่าเห็นใจแต่มันไม่สามารถกลับสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นถูกได้” และบอกพวกเขาว่าความถูกต้องกับความถูกใจนั้นหลายครั้งมันไปด้วยกันไม่ได้ แต่เราก็ต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าถูกใจ  และอาจเสนอแนะทางอื่นที่ดีกว่าในครั้งหน้า  เช่น ลองหาทางจ้างคนที่มีเวลาว่างไปจองบัตรคอนเสิร์ตแทน

หรืออย่างอีกกรณี   ครั้งนึงเด็กที่เจนดูแล เธอยืนอยู่ดีๆก็โดนรุ่นน้องวิ่งเล่นไม่ระวังชนโครมจนแก้วน้ำในมือหกเปียกไปหมด เธอโมโหมากเลยผลักรุ่นน้องคนนั้นลงไปกองกับพื้น

แน่นอนการกระทำของเด็กผิด ถ้าคุณเริ่มด้วยการดุด่าเด็กว่าทำไมถึงทำพฤติกรรมแย่ๆแบบนี้ เด็กจะคิดแต่ว่าคุณเข้าข้างรุ่นน้อง ครูลองมาโดนกับตัวเองแล้วจะไม่โมโหหรือไง ความผิดหนูเหรอไงถามหน่อยถ้ารุ่นน้องคนนั้นระมัดระวังเรื่องบ้าๆนี้มันจะเกิดขึ้นไหม

ทางเลือกที่ดีกว่าคือบอกเด็กว่า คุณเข้าใจความรู้สึกของเขา บอกเขาว่าถ้าเป็นคุณแล้วโดนแบบนั้นคุณก็คงจะโกรธเหมือนกัน อย่างไรก็ตามการที่เด็กผลักรุ่นน้องลงไปกองกับพื้นนั้นเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ “ครูเข้าใจในสิ่งที่หนูโกรธ หนูมีสิทธิอย่างเต็มที่ๆจะโกรธ หนูไม่ผิดที่จะโกรธ แต่ครูรับไม่ได้กับวิธีการที่หนูใช้ตอบโต้  และครูก็ยังเชื่อมั่นว่าหนูไม่ใช่เด็กไม่ดีเพียงแต่ที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และเมื่อหนูหายโมโหเมื่อไหร่หนูก็จะคิดได้ว่าวิธีการตอบโต้ของหนูนั้นมันผิด”

คุณต้องชี้ให้เด็กเห็นว่าถ้าเราถูกละเมิด ถูกกระทำอย่างไม่ถูกต้อง เรามีสิทธิที่จะลุกขึ้นปกป้องสิทธิของเรา แต่จะต้องไม่ใช้วิธีการที่ผิดเหมือนกัน เหมือนกับความมืดนั้นทำลายความมืดด้วยกันไม่ได้มีแต่ความสว่างเท่านั้นที่จะทำลายความมืดได้ และสังคมที่ใช้ระบบตาต่อต่าฟันต่อฟัน สุดท้ายนั้นก็จะเหลือแต่คนตาบอด


==ชี้ให้เห็นผลลัพธ์ของการกระทำแทนที่จะบอกว่าอะไรถูกหรือผิดดีหรือเลว==

เด็กในวัยนี้นั้นเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มมีหลักการ มีเหตุผลและตรรกะในแบบของเขา การกระทำบางอย่างของเด็กนั้นอาจเป็นสีเทาๆ มันอาจจะไม่ผิดเลยด้วยมุมมองด้วยวุฒิภาวะของพวกเขาแต่ในความคิดของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามันอาจดูแล้วไม่เหมาะสมหรือว่าไม่ควรกระทำ

เช่น เด็กอาจจะโกรธเพื่อนที่ชอบนินทา ว่าลับหลังหรือเอาตัวเขาไปพูดในทางที่เสียหายทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง เด็กต้องการที่จะด่าเพื่อนคนนั้นด้วยถ้อยคำหยาบคายที่สุดเท่าที่เขาคิดได้ผ่านทางหน้าเฟสบุ๊คของตัวเขา ในความคิดของเด็กเขาคิดว่าเขาไม่ผิดเพราะเขาเป็นฝ่ายโดนกระทำก่อนแถมเรื่องที่โดนกล่าวหาก็ไม่จริงแล้วเฟสบุ๊คก็ยังถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา

ถ้าคุณบอกเด็กว่าสิ่งที่เขาคิดจะทำมันเลวร้าย มันไม่ถูกต้อง เขาจะมองแต่ว่าคุณไม่เข้าใจความรู้สึกเขาเพราะคุณไม่ได้เจอกับตัวเองหรืออาจมองว่าคุณเข้าข้างแต่ทุกคนที่ไม่ใช่เขาซึ่งจะยิ่งไปกันใหญ่

คนเราเรียนรู้จากการผลลัพธ์ของการกระทำมากกว่าหนังสือหรือคำสั่งสอนเป็นร้อยเป็นพันเท่าจริงไหมละ

เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีกว่าคือไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่เขาคิดจะทำถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว

แต่บอกให้เขาลองคิดว่าถ้าเขาทำแบบนี้ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร จริงอยู่เพื่อนคนที่เขาไม่ชอบคงเข้ามาอ่านแน่ๆแล้วคงได้เห็นคำด่าที่เขาเขียนไว้ แน่นอนว่าเขาคงบรรลุวัตถุประสงค์ที่จะทำให้เพื่อนคนนั้น โกรธ เจ็บปวด หรือโมโหได้

แต่ผลข้างเคียงที่จะตามละ เพื่อนคนอื่นๆ ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ที่เป็นเพื่อนกับตัวเขาในเฟสจะรู้สึกยังไง ใช่เลยที่เขาอาจโน้มน้าวให้คนอื่นๆเห็นความไม่ดีของเพื่อนคนนั้นได้ แต่สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือเพื่อนๆในเฟสทั้งหลายย่อมเสียความรู้สึกกับตัวเขาไปด้วยเหมือนกัน “หลานเราเวลาโมโหแล้วเป็นขนาดนี้เลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ” “ลูกศิษย์ฉันทำไมโพสอะไรได้หยาบคายไร้การศึกษาแบบนี้”
“ตอนแรกก็ว่าน้องคนนี้น่ารักดีนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะแรงได้ถึงขนาดนี้ ” ลองชั่งน้ำหนักดูว่าเพื่อนที่เธอด่าหรือตัวเธอใครเสียมากกว่ากัน แล้วคนที่เขารู้จักแต่กับเธอแต่ไม่รุ้จักเพื่อนคนที่เธอด่าละ  เขาย่อมเสียความรู้สึกดีๆกับเธอ ส่วนกับเพื่อนคนนั้นต่อให้พวกเขาเชื่อที่เธอโพสแล้วรุมรังเกียจ แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อคนเหล่านั้นรู้จักแต่กับเธอไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรในชีวิตเพื่อนคนที่เธอเกลียดสักหน่อย

แล้วอีกอย่างสิ่งที่เพื่อนคนนั้นว่าเธอ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ ไม่เคยสนใจ หรือเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด แต่เมื่อเธอตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราดขนาดนี้ แน่นอนคนที่รู้จักเธอดียังคงเชื่อเธอ  แต่คนบางคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่ามันมีมูลอะไรหรือเปล่า  มีควันมันจะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่มีไฟ ส่วนที่เธอบอกว่าเฟสบุ๊กเป็นพื้นที่ส่วนตัวเธอๆอยากจะทำอะไรก็ได้ ลองคิดดูแล้วกัน เวลาแม่มายืนข้างหลังเวลาเธอเล่นโทรศัพท์ เธอไลน์ เธอยังบอกเธอไม่ชอบเพราะเสียความเป็นส่วนตัวแล้วการที่เธอโพสอะไรๆแล้วเพื่อนๆเป็นร้อยเป็นพันทั้งสนิทไม่สนิทแถมบางคนก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเป็นเพื่อนของเพื่อนคนไหนสามารถเห็นสิ่งที่เธอโพสได้โดยแทบจะไม่ต้องค้นหาหรือใช่ความพยายามอะไร นี่นะหรือที่เธอเรียกมันว่าพื้นที่ส่วนตัว

สิ่งที่เจนเขียนๆขึ้นจากประสบการณ์และสิ่งที่สนใจศึกษา ซึ่งก็ยอมรับว่าเด็กที่เจนดูแลอาจเป็นแค่กลุ่มตัวอย่างของเด็กจากสังคมๆหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ได้เป็นภาพสะท้อนของเด็กทุกคน หรือทุกกลุ่มได้ อย่างไรก็ตามเจนหวังว่าบทความนี้คงจะพอเป็นประโยชน์ได้บ้าง

เจน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่