เรื่องราวของนิสิตทุนของโครงการจุฬาฯ-ชนบท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา :
http://on.fb.me/19gNwvr

ถาม : แนะนำตัวหน่อย
ชื่อ พุฒสฎา ศรีเพชร ชื่อเล่น รุฒ บ้านเกิดอยู่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย จบมัธยมจากโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จบคณะเภสัชศาสตร์ ภาควิชาบริหารเภสัชกิจ จุฬาฯ-ชนบท รุ่นที่ 22 ที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะชอบการค้าขาย การทำธุรกิจ ส่วนความรู้เกี่ยวกับคลินิกก็พอใช้ ถู ๆ ไถ ๆ มาได้จนจบ
ถาม : รู้มาว่ามีธุรกิจอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล
ตอบ : ก่อนที่จะมาทำงานที่เกาะหลีเป๊ะ ก็เป็นเซลล์ยา หรือที่เรียกว่า ผู้แทนยา ของบริษัท Pfizer Pharmarlink และ บริษัท Sanofi Aventis ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก นับว่าเป็นความโชคดีที่ทำให้ได้ประสบการณ์ทางการขายติดตัวมาด้วย แต่พอทำได้ 3 ปี ก็รู้สึกอิ่มตัว รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก แต่ยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย อยากทำอะไรที่เรารัก แม้จะลำบากก็ไม่เป็นไร
มีอยู่ปีหนึ่งที่บังเอิญได้มาเที่ยวพักผ่อนประจำปีกับบริษัท Sanofi Aventis ที่เกาะหลีเป๊ะ เพื่อนที่มาด้วยเกิดไม่สบาย จะหาซื้อยาก็ไม่ได้เพราะไม่มีร้านขายยา เลยเกิดความคิดอยากลองมาเปิดร้านขายยาที่นี่ดูบ้าง ไม่อยากยึดติดกับเงินเดือนที่ได้อยู่ ซึ่งถามว่ากลัวมั้ยเพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์กับการลงมือทำธุรกิจของตัวเอง จริง ๆ ก็กลัวนะ เพราะถ้าลาออกแล้ว จะไม่มีรายได้ประจำ ภาระทางบ้านก็เยอะ มันก็เสี่ยงเหมือนกัน
พอใคร่ครวญดีแล้ว เลยตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักตั้ง ร้านขายยาแห่งแรกของเกาะหลีเป๊ะก็ถือกำเนิดขึ้น ตอนนี้ก็เกือบ 5 ปีแล้ว จากวันนั้น ผ่านไปสักพัก ธุรกิจเริ่มอยู่ตัว เลยตัดสินใจขยายสาขา 2 และได้ชักชวนครอบครัวจากหนองคายลงมาทำธุรกิจด้วยกันที่เกาะ เพราะมองเห็นช่องทางที่ยังสามารถเติบโตได้อีก ครอบครัวที่ลงมาก็มีทั้งแม่ พี่สาว น้องชาย น้า หลาน มาช่วยกันทำร้านขายของใช้สำหรับทำสปา ร้านนวด ร้านอาหาร และตอนนี้ผมเองก็กำลังทำรีสอร์ท ถือเป็นธุรกิจที่ 3 หลังจากมีร้านขายยาแล้ว 2 สาขา ใครที่มาเที่ยวที่นี่ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะครับ ชื่อร้าน Pharmacy House, Pharmacy House Extra และ สวรรค์ รีสอร์ท (Sawan Resort) จะเปิดในเดือนพฤศจิกายน 2556 นี้
ถาม : ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ
ตอบ : สัดส่วนของลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้าน ถ้าเป็นช่วงหน้าท่องเที่ยว หรือ High Season จะเป็นฝรั่งกว่า 80% ส่วนที่เหลือจะเป็นชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ และคนไทย ส่วนช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วง Low Season จะเป็นคนจีนซะส่วนใหญ่ น่าเสียดาย รู้ยังงี้น่าจะเรียนภาษาจีนมาด้วย เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นเศรษฐีใหม่ ใช้จ่ายง่าย ใครสื่อสารภาษาจีนได้ก็จะได้เปรียบ อยากให้น้อง ๆ ลองศึกษาภาษาจีนไว้นะครับ
การสื่อสารกับคนหลาย ๆ ประเทศ ตอนแรก ๆ ก็เกร็ง ๆ แต่พักหลัง ๆ ก็พยายามฟังเยอะ ๆ ต้องกล้าพูด อย่ากลัวผิด ยิ่งเป็นการอธิบายเรื่องการใช้ยา เรายิ่งต้องทำให้ลูกค้ามั่นใจในตัวเรา จริง ๆ ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้หมด คนญี่ปุ่น คนเกาหลี คนรัสเซีย หรือคนจีน เวลาสื่อสารก็ต้องพยายามทั้งภาษามือ แม้กระทั่งแปลผ่าน Google translate ก็มี พอเจอเยอะ ๆ เข้า เลยชินไปเอง
ถาม : พื้นฐานทางด้านภาษาอังกฤษสมัยเรียนเป็นยังไง
ตอบ : สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเลย เพราะเรียนเภสัชฯ ส่วนมากจะเป็นศัพท์เทคนิคมากกว่า ตอนเรียนเลยไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว ภาษาอังกฤษก็ถือว่าพอสื่อสารได้ แต่พอมาทำงาน ต้องใช้ทักษะการสื่อสารร่วมกับศัพท์เทคนิค มันก็ต้องใช้เวลารื้อฟื้นพอสมควร
ลูกค้าบางคนที่มาพักผ่อนที่เกาะอยู่นานพอสมควร จนเราสนิทด้วย เลยได้รู้ว่าคนมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาเก่งภาษาอังกฤษมาก เพียงแต่สำเนียงอาจจะออกจีน ๆ หน่อย ซึ่งถ้าเทียบกับคนไทย เรายังห่างกับเขามาก
ถาม : เริ่มสนใจเรื่องการทำธุรกิจเมื่อไหร่
ตอบ : ชอบทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าสมัยประถม มัธยม ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน ไปเปิดร้านขายของชำในตลาดให้แม่ อยู่เฝ้าร้านจนถึง 8 โมงเช้า ค่อยไปโรงเรียน เลยถูกปลูกฝังเรื่องการค้าขายตั้งแต่เด็ก หรือแม้แต่เป็นเด็กขายพวงมาลัยก็เคยทำมาแล้ว เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครอบครัวไปขับซาเล้งขายส้มตำที่ชายหาดภูเก็ต ผมกับน้องชายจะไปเดินขายพวงมาลัยหารายได้พิเศษในช่วงปิดเทอมที่นั่นด้วย
พอเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อน ๆ หอพักนิสิตชายตึกจำปีคงจำได้ ตอนนั้นอยู่ห้อง 1211 ก็ได้เปิดขายมาม่า โจ๊ก ขนม ขายแบบ Self-Service หิวเมื่อไหร่ต้องมาห้องนี้ ยิ่งเวลาที่หอพักมีงานขายของ ผมจะต้องไปร่วมด้วยทุกครั้ง นอกจากนี้ ยังรับบริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือด้วยนะ จำได้ว่า ถ้าเงินในโทรศัพท์มือถือของเพื่อนที่คณะหรือที่หอพักหมด จะต้องโทรให้ผมเติมเงินให้ทุกครั้ง นั่นยิ่งทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำเลย
ส่วนทำไมถึงตัดสินใจทำธุรกิจ คือผมถือคติว่า อยากทำต้องทำเลย อย่าไปคิดถึงอุปสรรคมากจนไม่กล้าทำ ถ้ามัวแต่กลัว ก็จะไม่ได้เริ่มทำสักที
ถาม : เหนื่อยมั้ยกับการมีกิจการเป็นของตัวเอง
ตอบ : ร้านของผมเปิดทุกวัน ไม่มีวันหยุด แต่สำคัญอยู่ที่ทีมงานและระบบจัดการมากกว่า ถ้าทั้ง 2 อย่าง มันดี มันก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ก็เหนื่อยน้อยลง แต่ทุกวันนี้ยังคิดว่าระบบจัดการของตัวเองยังไม่ดีเท่าที่ควร เลยต้องปรับปรุงตลอดเวลา คือจะคิดเสมอว่า เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา วันใดที่เราแค่ไม่เดินก้าวไปข้างหน้า ถึงแม้จะไม่ถอยหลัง แต่ก็ถือว่าเราตามหลังคนอื่นแล้ว เพราะคนอื่นเขาก้าวไปข้างหน้าเสมอ
ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็จะหาเวลามอบรางวัลให้กับชีวิต หรือเรียกง่าย ๆ ว่า หาเวลาใช้เงินนั่นแหล่ะครับ ส่วนตัวแล้วชอบเที่ยวแบบลุย ๆ จะคิดเสมอว่า พยายามจะไปเที่ยวในที่ที่อีก 5 ปี เราคงอาจจะไปไม่ได้ เพราะแก่ขึ้น หรือไม่มีแรง จนไปไม่ไหว ที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ตัดสินใจไปปีนเขาหิมาลัย ประทับใจจริง ๆ
ผมมองว่าการท่องเที่ยวเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เรามองโลกกว้างขึ้น ยิ่งชอบเรื่องธุรกิจ เวลาไปไหนมาไหนมักจะเอาสิ่งที่พบเห็นมาปรับปรุงธุรกิจของตัวเองด้วย
ถาม : ฝากอะไรถึงน้อง
ตอบ : สำหรับน้อง ๆ จุฬาฯ – ชนบท ทุกคน ผมเองยังถือว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมาก แต่อยากแนะนำให้น้อง ๆ ที่มีความฝันอยากทำธุรกิจ เบื่องานประจำ ชอบอะไรที่ท้าท้าย อยากให้ลองกล้าตัดสินใจทำไปเลย อยากทำอะไรที่เรารักก็ทำไปเลย อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ชีวิตมันสั้น แต่อย่าลืมว่า ก่อนจะได้อะไรมา มันต้องเป็น Step by step ถ้าเราก้าวข้าม Step ที่สูงเกินศักยภาพ เวลาตกลงมามันจะเจ็บมาก ค่อย ๆ ก้าวไปเป็นขั้น ๆ ดีกว่า ทำฐานล่างให้มั่นคง...ขอให้โชคดีครับ
เรื่องราวของนิสิตทุนของโครงการจุฬาฯ-ชนบท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา :
http://on.fb.me/19gNwvr
ลูกแม่ค้าขายส้มตำ เจ้าของร้านขายยาและรีสอร์ทที่เกาะหลีเป๊ะ
ที่มา : http://on.fb.me/19gNwvr
ถาม : แนะนำตัวหน่อย
ชื่อ พุฒสฎา ศรีเพชร ชื่อเล่น รุฒ บ้านเกิดอยู่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย จบมัธยมจากโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จบคณะเภสัชศาสตร์ ภาควิชาบริหารเภสัชกิจ จุฬาฯ-ชนบท รุ่นที่ 22 ที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะชอบการค้าขาย การทำธุรกิจ ส่วนความรู้เกี่ยวกับคลินิกก็พอใช้ ถู ๆ ไถ ๆ มาได้จนจบ
ถาม : รู้มาว่ามีธุรกิจอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล
ตอบ : ก่อนที่จะมาทำงานที่เกาะหลีเป๊ะ ก็เป็นเซลล์ยา หรือที่เรียกว่า ผู้แทนยา ของบริษัท Pfizer Pharmarlink และ บริษัท Sanofi Aventis ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก นับว่าเป็นความโชคดีที่ทำให้ได้ประสบการณ์ทางการขายติดตัวมาด้วย แต่พอทำได้ 3 ปี ก็รู้สึกอิ่มตัว รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก แต่ยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย อยากทำอะไรที่เรารัก แม้จะลำบากก็ไม่เป็นไร
มีอยู่ปีหนึ่งที่บังเอิญได้มาเที่ยวพักผ่อนประจำปีกับบริษัท Sanofi Aventis ที่เกาะหลีเป๊ะ เพื่อนที่มาด้วยเกิดไม่สบาย จะหาซื้อยาก็ไม่ได้เพราะไม่มีร้านขายยา เลยเกิดความคิดอยากลองมาเปิดร้านขายยาที่นี่ดูบ้าง ไม่อยากยึดติดกับเงินเดือนที่ได้อยู่ ซึ่งถามว่ากลัวมั้ยเพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์กับการลงมือทำธุรกิจของตัวเอง จริง ๆ ก็กลัวนะ เพราะถ้าลาออกแล้ว จะไม่มีรายได้ประจำ ภาระทางบ้านก็เยอะ มันก็เสี่ยงเหมือนกัน
พอใคร่ครวญดีแล้ว เลยตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักตั้ง ร้านขายยาแห่งแรกของเกาะหลีเป๊ะก็ถือกำเนิดขึ้น ตอนนี้ก็เกือบ 5 ปีแล้ว จากวันนั้น ผ่านไปสักพัก ธุรกิจเริ่มอยู่ตัว เลยตัดสินใจขยายสาขา 2 และได้ชักชวนครอบครัวจากหนองคายลงมาทำธุรกิจด้วยกันที่เกาะ เพราะมองเห็นช่องทางที่ยังสามารถเติบโตได้อีก ครอบครัวที่ลงมาก็มีทั้งแม่ พี่สาว น้องชาย น้า หลาน มาช่วยกันทำร้านขายของใช้สำหรับทำสปา ร้านนวด ร้านอาหาร และตอนนี้ผมเองก็กำลังทำรีสอร์ท ถือเป็นธุรกิจที่ 3 หลังจากมีร้านขายยาแล้ว 2 สาขา ใครที่มาเที่ยวที่นี่ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะครับ ชื่อร้าน Pharmacy House, Pharmacy House Extra และ สวรรค์ รีสอร์ท (Sawan Resort) จะเปิดในเดือนพฤศจิกายน 2556 นี้
ถาม : ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ
ตอบ : สัดส่วนของลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้าน ถ้าเป็นช่วงหน้าท่องเที่ยว หรือ High Season จะเป็นฝรั่งกว่า 80% ส่วนที่เหลือจะเป็นชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ และคนไทย ส่วนช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วง Low Season จะเป็นคนจีนซะส่วนใหญ่ น่าเสียดาย รู้ยังงี้น่าจะเรียนภาษาจีนมาด้วย เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นเศรษฐีใหม่ ใช้จ่ายง่าย ใครสื่อสารภาษาจีนได้ก็จะได้เปรียบ อยากให้น้อง ๆ ลองศึกษาภาษาจีนไว้นะครับ
การสื่อสารกับคนหลาย ๆ ประเทศ ตอนแรก ๆ ก็เกร็ง ๆ แต่พักหลัง ๆ ก็พยายามฟังเยอะ ๆ ต้องกล้าพูด อย่ากลัวผิด ยิ่งเป็นการอธิบายเรื่องการใช้ยา เรายิ่งต้องทำให้ลูกค้ามั่นใจในตัวเรา จริง ๆ ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้หมด คนญี่ปุ่น คนเกาหลี คนรัสเซีย หรือคนจีน เวลาสื่อสารก็ต้องพยายามทั้งภาษามือ แม้กระทั่งแปลผ่าน Google translate ก็มี พอเจอเยอะ ๆ เข้า เลยชินไปเอง
ถาม : พื้นฐานทางด้านภาษาอังกฤษสมัยเรียนเป็นยังไง
ตอบ : สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเลย เพราะเรียนเภสัชฯ ส่วนมากจะเป็นศัพท์เทคนิคมากกว่า ตอนเรียนเลยไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว ภาษาอังกฤษก็ถือว่าพอสื่อสารได้ แต่พอมาทำงาน ต้องใช้ทักษะการสื่อสารร่วมกับศัพท์เทคนิค มันก็ต้องใช้เวลารื้อฟื้นพอสมควร
ลูกค้าบางคนที่มาพักผ่อนที่เกาะอยู่นานพอสมควร จนเราสนิทด้วย เลยได้รู้ว่าคนมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาเก่งภาษาอังกฤษมาก เพียงแต่สำเนียงอาจจะออกจีน ๆ หน่อย ซึ่งถ้าเทียบกับคนไทย เรายังห่างกับเขามาก
ถาม : เริ่มสนใจเรื่องการทำธุรกิจเมื่อไหร่
ตอบ : ชอบทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าสมัยประถม มัธยม ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน ไปเปิดร้านขายของชำในตลาดให้แม่ อยู่เฝ้าร้านจนถึง 8 โมงเช้า ค่อยไปโรงเรียน เลยถูกปลูกฝังเรื่องการค้าขายตั้งแต่เด็ก หรือแม้แต่เป็นเด็กขายพวงมาลัยก็เคยทำมาแล้ว เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครอบครัวไปขับซาเล้งขายส้มตำที่ชายหาดภูเก็ต ผมกับน้องชายจะไปเดินขายพวงมาลัยหารายได้พิเศษในช่วงปิดเทอมที่นั่นด้วย
พอเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อน ๆ หอพักนิสิตชายตึกจำปีคงจำได้ ตอนนั้นอยู่ห้อง 1211 ก็ได้เปิดขายมาม่า โจ๊ก ขนม ขายแบบ Self-Service หิวเมื่อไหร่ต้องมาห้องนี้ ยิ่งเวลาที่หอพักมีงานขายของ ผมจะต้องไปร่วมด้วยทุกครั้ง นอกจากนี้ ยังรับบริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือด้วยนะ จำได้ว่า ถ้าเงินในโทรศัพท์มือถือของเพื่อนที่คณะหรือที่หอพักหมด จะต้องโทรให้ผมเติมเงินให้ทุกครั้ง นั่นยิ่งทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำเลย
ส่วนทำไมถึงตัดสินใจทำธุรกิจ คือผมถือคติว่า อยากทำต้องทำเลย อย่าไปคิดถึงอุปสรรคมากจนไม่กล้าทำ ถ้ามัวแต่กลัว ก็จะไม่ได้เริ่มทำสักที
ถาม : เหนื่อยมั้ยกับการมีกิจการเป็นของตัวเอง
ตอบ : ร้านของผมเปิดทุกวัน ไม่มีวันหยุด แต่สำคัญอยู่ที่ทีมงานและระบบจัดการมากกว่า ถ้าทั้ง 2 อย่าง มันดี มันก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ก็เหนื่อยน้อยลง แต่ทุกวันนี้ยังคิดว่าระบบจัดการของตัวเองยังไม่ดีเท่าที่ควร เลยต้องปรับปรุงตลอดเวลา คือจะคิดเสมอว่า เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา วันใดที่เราแค่ไม่เดินก้าวไปข้างหน้า ถึงแม้จะไม่ถอยหลัง แต่ก็ถือว่าเราตามหลังคนอื่นแล้ว เพราะคนอื่นเขาก้าวไปข้างหน้าเสมอ
ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็จะหาเวลามอบรางวัลให้กับชีวิต หรือเรียกง่าย ๆ ว่า หาเวลาใช้เงินนั่นแหล่ะครับ ส่วนตัวแล้วชอบเที่ยวแบบลุย ๆ จะคิดเสมอว่า พยายามจะไปเที่ยวในที่ที่อีก 5 ปี เราคงอาจจะไปไม่ได้ เพราะแก่ขึ้น หรือไม่มีแรง จนไปไม่ไหว ที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ตัดสินใจไปปีนเขาหิมาลัย ประทับใจจริง ๆ
ผมมองว่าการท่องเที่ยวเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เรามองโลกกว้างขึ้น ยิ่งชอบเรื่องธุรกิจ เวลาไปไหนมาไหนมักจะเอาสิ่งที่พบเห็นมาปรับปรุงธุรกิจของตัวเองด้วย
ถาม : ฝากอะไรถึงน้อง
ตอบ : สำหรับน้อง ๆ จุฬาฯ – ชนบท ทุกคน ผมเองยังถือว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมาก แต่อยากแนะนำให้น้อง ๆ ที่มีความฝันอยากทำธุรกิจ เบื่องานประจำ ชอบอะไรที่ท้าท้าย อยากให้ลองกล้าตัดสินใจทำไปเลย อยากทำอะไรที่เรารักก็ทำไปเลย อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ชีวิตมันสั้น แต่อย่าลืมว่า ก่อนจะได้อะไรมา มันต้องเป็น Step by step ถ้าเราก้าวข้าม Step ที่สูงเกินศักยภาพ เวลาตกลงมามันจะเจ็บมาก ค่อย ๆ ก้าวไปเป็นขั้น ๆ ดีกว่า ทำฐานล่างให้มั่นคง...ขอให้โชคดีครับ
เรื่องราวของนิสิตทุนของโครงการจุฬาฯ-ชนบท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา : http://on.fb.me/19gNwvr