TikTok กินรวบตลาด ขายสินค้า-ขนส่ง “จีน” หวังกลืนธุรกิจ “ไทย”

“เอกชน” จับตา TikTok ผูกขาดอีคอมเมิร์ซ หลังพบขายสินค้า-เลือกขนส่ง “จีน” ซ้ำดิ้นหนีภาษีสหรัฐฯ ลุยส่งสินค้าไร้มาตรฐานทะลัก “ไทย” ส่วน “ผู้ค้า” ร้องโดนแพลตฟอร์มปรับเกณฑ์ บีบจ่ายค่าโฆษณา-ค่าคอมฯ จนไร้กำไร


วันนี้ (6 ส.ค.68) นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้เชี่ยวชาญด้าน อีคอมเมิร์ซ และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการอีคอมเมิร์ซไทย ผู้ก่อตั้ง TARAD.com และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ ภาษีทรัมป์ จะส่งผลให้สินค้าจีนที่ไม่มีคุณภาพทะลักเข้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ และยอมรับว่าตลาดอีคอมเมิร์ซถูกผูกขาดโดยแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง แ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงขนส่งไทยอย่าง ไปรษณีย์ไทย ด้วย

นายภาวุธกล่าวว่า ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา TikTok เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยใช้กลยุทธ์การดึงดูดผู้ใช้ด้วยคอนเทนต์และวิดีโอสั้น เมื่อผู้คนเข้าดูเนื้อหาในแพลตฟอร์มดังกล่าวมากขึ้น TikTok ก็สอดแทรกคอมเมิร์ซเข้ามา ทำให้เกิดการค้าขึ้น ทำให้ได้เปรียบ Lazada และ Shopee เนื่องจากมี “ทราฟฟิก” หรือการเข้าชม ที่ผู้คนเข้ามาดูอยู่แล้วทุกวัน

TikTok มีการใช้ Affiliate Marketing ด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์ ช่วยขายสินค้า และได้รับส่วนแบ่งในการขาย เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ ขายของได้และ TikTok เติบโตขึ้น ก็เริ่มมีมาตรการควบคุมจัดการเจ้าของร้านมากขึ้น ทำให้คนไทยหรือผู้ค้ารายย่อยที่อาศัยแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นช่องทางขายหลักต้องยอมรับเงื่อนไขที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถปฎิเสธได้ เพราะมีรายได้จากช่องทางนี้

“ผู้ค้าจำนวนมากขายของจนไม่มีกำไร เนื่องจากต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น ค่าโฆษณา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” นายภาวุธ กล่าว

นอกจากนี้ TikTok ยังเริ่มผูกขาดการขนส่งกับ J&T จากเดิมที่มีขนส่งหลายเจ้า ซึ่งไม่แน่ใจว่าดีลนี้เกิดขึ้นเพราะราคาถูกกว่า หรือเป็นบริษัทจีนด้วยกัน ส่งผลให้บริษัทขนส่งในไทย เช่น ไปรษณีย์ไทย ได้รับผลกระทบ

นายภาวุธ กล่าวว่า TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่สินค้าจีนหลั่งไหลเข้ามามหาศาล และเพื่อต้องการขายสินค้าจีน ให้ได้มากที่สุด การเลือกใช้ อินฟลูเอนเซอร์ คนไทยในการโปรโมท โดยเสนอคอมมิชชั่นในราคาสูง ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์ หันไปโปรโมทสินค้าจีนเป็นหลัก ส่งผลให้ผู้ขายคนไทยที่นำเข้าหรือผลิตสินค้าเองไม่สามารถแข่งขันได้ อีกทั้งยังเริ่มพบปัญหาเรื่องมาตรฐานสินค้าจำนวนมากที่มาจากจีนอีกด้วย

นอกจากนี้ TikTok ยังมีการปิดกั้นข้อมูลลูกค้าของผู้ขาย เช่น ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ โดยอ้างว่ากลัวลูกค้าจะย้ายหนี หรือร้านค้าจะคัดลอกข้อมูลลูกค้าไปใช้ส่วนตัว ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิทธิ์ของเจ้าของร้านค้า และยังอ้างเรื่อง PDPA ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับผู้ค้ารายย่อย

“TikTok กำลังเริ่มเข้าสู่เกมการผูกขาดและเพิ่มค่าบริการขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ภาครัฐยังไม่ได้เข้ามาสอดส่องดูแลอย่างเต็มที่ นอกจากสินค้าจีนที่หลั่งไหลเข้ามามากแล้ว ระบบ Supply Chain และการขนส่งก็เลือกบริษัทจีนด้วยกันเอง ซึ่งถือเป็นการเข้าข่ายเอาเปรียบและการใช้อำนาจเหนือตลาดในการควบคุม” นายภาวุธ กล่าว

ดังนั้น ผู้ประกอบการรายย่อย จึงไม่ควรผูกขาดอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว ควรกระจายการขายไปยังหลายแพลตฟอร์มเพื่อสร้างความสมดุล ต้องสร้างช่องทางของตัวเอง เช่น มีเว็บไซต์ของตัวเอง มีระบบแชทหรือเซลล์เพจ เพื่อดึงลูกค้าใหม่จาก Marketplace แล้วขายซ้ำลูกค้าเก่าในช่องทางของตนเอง

นายภาวุธ กล่าวว่า การที่สินค้าต่างชาติเข้ามาขายและนำเงินออกไป โดยไม่มีกฎหมายที่เข้มแข็งมารองรับ ทำให้ไทยอาจกลายเป็นเพียงทางผ่าน และถูกมองว่าเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุดในเรื่องกฎหมาย เมื่อเทียบกับอินโดนีเซียหรือมาเลเซียที่มีกฎหมายป้องกันที่ดีกว่า

ภาครัฐยังขาดตัวกลางที่จะมาจัดการเรื่องนี้ หน่วยงานภาครัฐแต่ละแห่งทำงานแบบไร้ทิศทางและกระจัดกระจาย โดยไม่มีใครเป็นเจ้าภาพหลัก ดังนั้น ควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน), หน่วยงานที่ทำเกี่ยวกับกฎหมายแพลตฟอร์ม ซึ่งมีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เข้ามาควบคุมการให้บริการเหล่านี้ และควรทำงานร่วมกับหน่วยงานเอกชน

“รวมถึงผู้ประกอบการ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องมีการควบคุมสินค้าจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐานไม่ให้เข้ามาในประเทศ และบังคับจดทะเบียนในประเทศไทยอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้ใช้ช่องว่างทางกฎหมายนำเงินออกไปนอกประเทศ”นายภาวุธ กล่าว


ที่มา : อีจัน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่