แนวคิดของการปรับพอร์ต

กระทู้สนทนา
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376

แนวคิดของการปรับพอร์ตคล้ายกับแนวคิดในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น นั่นคือวิเคราะห์ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของการลงทุน แล้วค้นหาทางเลือกของการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงสุดโดยที่ความเสี่ยงน้อยที่สุดในช่วงเวลานั้น

เมื่อนักลงทุนมีการประเมินมูลค่ามาอย่างรอบคอบโดยยืนอยู่บนพื้นฐานของความจริง เมื่อราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่ามาก...เป็นช่วงเวลาที่น่าเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยง เมื่อหุ...้นแพงกว่ามูลค่าไปมากเป็นช่วงเวลาที่น่าจะขายหุ้นออกไป เนื่องจากโอกาสที่ได้ผลตอบแทนจากนี้จะลดลงแต่ความเสี่ยงกลับเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงที่ตลาดหุ้นและราคาหุ้นมีความผันผวนขึ้นลง หรือตลาดขาลง การปรับพอร์ตย่อมใช้หลักการเดียวกันคือ ประเมินมูลค่าของหุ้น ประเมินผลตอบแทนที่ได้จากการซื้อหุ้นที่ราคาปัจจุบันเมื่อเทียบกับมูลค่า ประเมินความเสี่ยงที่ได้จากการซื้อหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่า แล้วประเมินว่าทางเลือกใดคุ้มค่าที่สุด...ซื้อหุ้นในมือเพิ่ม ขายหุ้นออกเพื่อถือเงินสด ขายหุ้นในมือออกเพื่อซื้อหุ้นตัวอื่นที่คุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า เป็นต้น
...
เมื่อราคาหุ้นเกิดการเคลื่อนไหว...ถ้าเราประเมินมูลค่าได้"เท่าเดิม" การที่ราคาหุ้นลงย่อมมี Upside มากขึ้น ราคาห่างจากมูลค่ามากขึ้น ความเสี่ยงน้อยลง การที่ราคาหุ้นขึ้นย่อมมี Upside ที่น้อยลง (หรืออาจจะถึงขึ้นติดลบได้ถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่า...นักลงทุนจะไม่ได้อะไรจากการลงทุนระยะยาวเลย) ดังนั้น เมื่อราคาหุ้นทั้งตลาดลดลง...อาจจะมีหุ้นบางตัวที่ราคาลงหนักโดยที่มูลค่ายังสูงกว่าราคาหุ้นในขณะนั้น ทำให้นักลงทุนมีโอกาสในการเปลี่ยนหุ้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น และเมื่อราคาหุ้นทั้งตลาดสูงขึ้น...อาจจะมีหุ้นบางตัวที่ราคายังขึ้นไม่มากโดยที่มูลค่ายังสูงกว่าราคาหุ้นในขณะนั้น ทำให้นักลงทุนมีโอกาสในการเปลี่ยนหุ้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น

รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดในกรณีที่หาหุ้นลงทุนได้ยาก ผลตอบแทนของการลงทุนน้อยกว่าฝากแบงค์ (เช่น PE 30 - 40 ในกรณีที่คิดรวมการเติบโตในอนาคตไปแล้ว) ผลตอบแทนการลงทุนติดลบ (ราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าของบริษัทที่คำนวณจากจุดอิ่มตัวในอนาคต ที่เติบโตอย่างเต็มที่แล้ว) และการเพิ่มสัดส่วนของการลงทุนในหุ้นเมื่อหุ้นมีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ (ซึ่งมักจะเป็นช่วงตลาดขาลง)

แต่อย่างไรก็ตาม มูลค่าของบริษัทเป็น Dynamic เราต้องคอยติดตามปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อมูลค่าของบริษัท เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจปรับพอร์ตได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ว่าราคาหุ้นลงกว่าตลาดเพราะพื้นฐานบริษัทระยะยาวแย่ลง มูลค่าลดลงแล้วนักลงทุนดันไปยึดติดกับข้อมูลเดิม ใช้มูลค่าเดิมเป็นหลักคิดแล้วตัดสินใจปรับพอร์ตตาม ขายหุ้นมาเข้าช้อนซื้อ...ช้อนอาจจะหักได้ครับ! ถ้าอย่างนี้ควรจะ Cut loss ดีกว่า

ถ้าไม่รู้จะปรับพอร์ตอย่างไร...การอยู่นิ่งๆการอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับ

credit: Thailand Investment Forum

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่