ลองอ่านกระทู้ต่างๆ ดูก็ให้ข้อคิดที่ดีกับเราได้นะครับ
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
........................................................................................
Post subject: Re: พอร์ตจากกำไรกลายเป็นขาดทุน vi ยังชิวๆกันรึเปล่าครับ
.....................................................
ตอบโดย: มานะ: Posted: Thu Aug 29, 2013 12:07 pm
ตอบในฐานะนักลงทุนใน "หุ้น" นะครับ
ตอนนี้พอร์ตผมแดงอยู่ครับ ผมกำลัง"ขาดทุน"จาก cap gain ของ"ราคาหุ้น" แต่ผมก็ยังคงกินอิ่ม นอนหลับ มีความสุขกับการลงทุนครับ เนื่องด้วยผมเชื่อว่าปัจจัยลบจากข่าวสารวันนี้เยอะมาก แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ร้ายแรงกับเศรษฐกิจไม่ได้มากในระดับเดียวกับข่าว แต่ถึงปัจจัยเสี่ยงนั้นเป็นจริง ผมก็คงจะวางมือจากการปรับพอร์ต สัก 3 ปี 5 ปี เพื่อรอให้วิกฤติผ่านไป และหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาบริษัทที่เราลงทุนอย่างต่อเนื่องครับ และหวังว่าวันหนึ่งผลประกอบการของบริษัทที่เราเลือกมาอย่างดี จะพิสูจน์ทุกอย่างครับ ซึ่งถ้าผลประกอบการในอนาคตไม่ดีอย่างที่คิด ผมก็จะกลับมาศึกษาวิธีการประเมินกิจการอีกครั้งว่าผมได้พลาดในประเด็นใดไปบ้าง
ตอบในฐานะนักธุรกิจ ที่กำลังลงทุนในกิจการใดกิจการหนึ่ง
นึ่เป็นโอกาสที่น่าสนใจในระดับหนึ่งเลยนะครับ ที่คุณจะได้เป็นเจ้าของกิจการในระดับราคาที่ยุติธรรมกว่าเดิมมาก (ขอไม่ใช้คำว่าถูกครับ เพราะหลายกิจการยังคงไม่ถูก) และใน 500 กิจการที่มีการเสนอขายผ่าน Mr.market นั้น ส่วนใหญ่ต่างก็ยังเป็นกิจการที่ "ทำกำไร" ให้กับผู้ถือหุ้นอยู่เสมอๆ ซึ่งถ้ามองในมุมของนักธุรกิจแล้วอในขณะที่บริษัทของคุณยังคงขายดี มีกำไร แล้วจู่ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าบริษัทของคุณห่วยแตก ผมลงทุนกับคุณแล้วขาดทุนเฉยเลย ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของกิจการเราคงจะงงๆ นะครับ เพราะมองไปที่ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ยังคง "กำไร" อยู่ สิ่งที่จะทำให้ขาดทุนก็คือความขาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อ cap gain ของหุ้นมากกว่าครับ ซึ่งมันก็ผันผวนอยู่ตลอด และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในการซื้อได้ในจุดที่ต่ำที่สุดครับ ซึ่งถ้าคุณจขกท.มีความสามารถจะทำแบบนั้นได้ ผมก็รู้สึกชื่นชมในพรสวรรค์ที่พิเศษนั้นครับ
ผมไม่เคยหลอกตัวเองว่าไม่ขาดทุนนะครับ เปิดจอมาก็เห็นตัวแดงแล้ว จะไม่ขาดทุนได้ไงครับ 55 แต่ที่ผมเชื่อก็คือ แม้ผมจะขาดทุนใน cap gain ของราคาหุ้นในตอนนี้ แต่ผมไม่เห็นว่าธุรกิจที่ผมลงทุนอยู่มันจะขาดทุนตรงไหน ผมกลับมองเห็นความผิดพลาดของตัวเองที่พลาดจากการลงทุนในกิจการที่มี MOS น้อยเกินไป และสำหรับผมการลงทุนในช่วงที่ผันผวนในขณะนี้ (ขอไม่ใช้คำว่าวิกฤตินะครับ เพราะยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าใช่หรือไม่) เป็นเสมือนบทเรียนที่ย้ำเตือนผมอีกครั้งว่า "กิจการที่ดี ในราคาที่แพงเกินไป" อาจไม่ใช่การลงทุนคุณค่า และเหมือน Mr.market กำลังสอนผมว่า "โอกาส" จะมาถึงสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทนอยู่เสมอ และนี่คือบทเรียนราคาย่อมเยาว์ ที่นายตลาดได้สอนผมในครั้งนี้ครับ
.....................................................................
ตอบโดย: Tibular Posted: Thu Aug 29, 2013 12:25 pm
หลัก VI สี่ข้อคับ
1. ต้องลงทุนด้วยมุมมองการร่วมทำธุรกิจ
ทัศนคตินี้คือต้องลงทุนระยะยาวหน่อย เพราะกว่าธุรกิจจะเห็นผลในโครงการต่างๆ
ต้องการเวลา ไม่ได้สำเร็จแบบทันใจ เหมือนมาม่า
อย่างน้อยๆก็มองยาว 1-3 ปีขึ้นไป ถ้าให้ดี 5 ปีขึ้นไป ดีสุด 10 ปีขึ้นไป
2. ประเมินธุรกิจทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ และประเมินมูลค่าที่เหมาะสมออกมาก่อน
วิธีการประเมินและตรวจสอบมีมากมายตามหลักวิชาในแง่มุมต่างๆ
3. ลงทุนหุ้นของธุรกิจนั้นในราคาที่มี MoS ไม่น้อยกว่า 20-30% ขึ้นไป
แล้วแต่ความเสี่ยงของธุรกิจ หรือมุมมองของนักลงทุนแต่ละท่าน
4. เข้าใจ Mr.Market รวมถึงพฤติกรรมและอารมณ์ของเรา
ราคาหุ้นในตลาด เป็นผลสะท้อนจากมูลค่าในอนาคตของกิจการ ออกมาให้เห็นเป็นราคา ณ.ปัจจุบัน
ซึ่งมีตัวแปรเกี่ยวข้องมากมาย มันจึงแกว่งไปมา เหมาะสมบ้าง ไม่เหมาะสมบ้าง
บางครั้งราคาต่ำไป บางครั้งราคาสูงไป
(อันที่จริงใจเราเองที่ดูหุ้นนั่นแหละแกว่งไปมามากที่สุด เพราะอยากเห็นผลของอนาคตเร็วๆเป็นวินาที)
เพราะฉะนั้น พอร์ตจากกำไรกลายเป็นขาดทุนหรือจากขาดทุนเป็นกำไร ก็คงต้องวัดกันยาวหน่อย
เราควบคุมราคาหุ้นในตลาดไม่ได้ แต่เราควบคุมตัวเองได้
เราจะลงมือต่อเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม และเราจะรอคอยจนกว่าจะมีโอกาสที่เหมาะ
credit:
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=56370
พอร์ตจากกำไรกลายเป็นขาดทุน vi ยังชิวๆกันรึเปล่าครับ
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
........................................................................................
Post subject: Re: พอร์ตจากกำไรกลายเป็นขาดทุน vi ยังชิวๆกันรึเปล่าครับ
.....................................................
ตอบโดย: มานะ: Posted: Thu Aug 29, 2013 12:07 pm
ตอบในฐานะนักลงทุนใน "หุ้น" นะครับ
ตอนนี้พอร์ตผมแดงอยู่ครับ ผมกำลัง"ขาดทุน"จาก cap gain ของ"ราคาหุ้น" แต่ผมก็ยังคงกินอิ่ม นอนหลับ มีความสุขกับการลงทุนครับ เนื่องด้วยผมเชื่อว่าปัจจัยลบจากข่าวสารวันนี้เยอะมาก แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ร้ายแรงกับเศรษฐกิจไม่ได้มากในระดับเดียวกับข่าว แต่ถึงปัจจัยเสี่ยงนั้นเป็นจริง ผมก็คงจะวางมือจากการปรับพอร์ต สัก 3 ปี 5 ปี เพื่อรอให้วิกฤติผ่านไป และหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาบริษัทที่เราลงทุนอย่างต่อเนื่องครับ และหวังว่าวันหนึ่งผลประกอบการของบริษัทที่เราเลือกมาอย่างดี จะพิสูจน์ทุกอย่างครับ ซึ่งถ้าผลประกอบการในอนาคตไม่ดีอย่างที่คิด ผมก็จะกลับมาศึกษาวิธีการประเมินกิจการอีกครั้งว่าผมได้พลาดในประเด็นใดไปบ้าง
ตอบในฐานะนักธุรกิจ ที่กำลังลงทุนในกิจการใดกิจการหนึ่ง
นึ่เป็นโอกาสที่น่าสนใจในระดับหนึ่งเลยนะครับ ที่คุณจะได้เป็นเจ้าของกิจการในระดับราคาที่ยุติธรรมกว่าเดิมมาก (ขอไม่ใช้คำว่าถูกครับ เพราะหลายกิจการยังคงไม่ถูก) และใน 500 กิจการที่มีการเสนอขายผ่าน Mr.market นั้น ส่วนใหญ่ต่างก็ยังเป็นกิจการที่ "ทำกำไร" ให้กับผู้ถือหุ้นอยู่เสมอๆ ซึ่งถ้ามองในมุมของนักธุรกิจแล้วอในขณะที่บริษัทของคุณยังคงขายดี มีกำไร แล้วจู่ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าบริษัทของคุณห่วยแตก ผมลงทุนกับคุณแล้วขาดทุนเฉยเลย ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของกิจการเราคงจะงงๆ นะครับ เพราะมองไปที่ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ยังคง "กำไร" อยู่ สิ่งที่จะทำให้ขาดทุนก็คือความขาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อ cap gain ของหุ้นมากกว่าครับ ซึ่งมันก็ผันผวนอยู่ตลอด และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในการซื้อได้ในจุดที่ต่ำที่สุดครับ ซึ่งถ้าคุณจขกท.มีความสามารถจะทำแบบนั้นได้ ผมก็รู้สึกชื่นชมในพรสวรรค์ที่พิเศษนั้นครับ
ผมไม่เคยหลอกตัวเองว่าไม่ขาดทุนนะครับ เปิดจอมาก็เห็นตัวแดงแล้ว จะไม่ขาดทุนได้ไงครับ 55 แต่ที่ผมเชื่อก็คือ แม้ผมจะขาดทุนใน cap gain ของราคาหุ้นในตอนนี้ แต่ผมไม่เห็นว่าธุรกิจที่ผมลงทุนอยู่มันจะขาดทุนตรงไหน ผมกลับมองเห็นความผิดพลาดของตัวเองที่พลาดจากการลงทุนในกิจการที่มี MOS น้อยเกินไป และสำหรับผมการลงทุนในช่วงที่ผันผวนในขณะนี้ (ขอไม่ใช้คำว่าวิกฤตินะครับ เพราะยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าใช่หรือไม่) เป็นเสมือนบทเรียนที่ย้ำเตือนผมอีกครั้งว่า "กิจการที่ดี ในราคาที่แพงเกินไป" อาจไม่ใช่การลงทุนคุณค่า และเหมือน Mr.market กำลังสอนผมว่า "โอกาส" จะมาถึงสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทนอยู่เสมอ และนี่คือบทเรียนราคาย่อมเยาว์ ที่นายตลาดได้สอนผมในครั้งนี้ครับ
.....................................................................
ตอบโดย: Tibular Posted: Thu Aug 29, 2013 12:25 pm
หลัก VI สี่ข้อคับ
1. ต้องลงทุนด้วยมุมมองการร่วมทำธุรกิจ
ทัศนคตินี้คือต้องลงทุนระยะยาวหน่อย เพราะกว่าธุรกิจจะเห็นผลในโครงการต่างๆ
ต้องการเวลา ไม่ได้สำเร็จแบบทันใจ เหมือนมาม่า
อย่างน้อยๆก็มองยาว 1-3 ปีขึ้นไป ถ้าให้ดี 5 ปีขึ้นไป ดีสุด 10 ปีขึ้นไป
2. ประเมินธุรกิจทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ และประเมินมูลค่าที่เหมาะสมออกมาก่อน
วิธีการประเมินและตรวจสอบมีมากมายตามหลักวิชาในแง่มุมต่างๆ
3. ลงทุนหุ้นของธุรกิจนั้นในราคาที่มี MoS ไม่น้อยกว่า 20-30% ขึ้นไป
แล้วแต่ความเสี่ยงของธุรกิจ หรือมุมมองของนักลงทุนแต่ละท่าน
4. เข้าใจ Mr.Market รวมถึงพฤติกรรมและอารมณ์ของเรา
ราคาหุ้นในตลาด เป็นผลสะท้อนจากมูลค่าในอนาคตของกิจการ ออกมาให้เห็นเป็นราคา ณ.ปัจจุบัน
ซึ่งมีตัวแปรเกี่ยวข้องมากมาย มันจึงแกว่งไปมา เหมาะสมบ้าง ไม่เหมาะสมบ้าง
บางครั้งราคาต่ำไป บางครั้งราคาสูงไป
(อันที่จริงใจเราเองที่ดูหุ้นนั่นแหละแกว่งไปมามากที่สุด เพราะอยากเห็นผลของอนาคตเร็วๆเป็นวินาที)
เพราะฉะนั้น พอร์ตจากกำไรกลายเป็นขาดทุนหรือจากขาดทุนเป็นกำไร ก็คงต้องวัดกันยาวหน่อย
เราควบคุมราคาหุ้นในตลาดไม่ได้ แต่เราควบคุมตัวเองได้
เราจะลงมือต่อเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม และเราจะรอคอยจนกว่าจะมีโอกาสที่เหมาะ
credit: http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=56370