ผมไม่ใช่ศิลปินและผมก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ทางศิลปะโดยตรง ตัวผมเลยไม่สามารถสรุปได้ว่าผลงานโดยรวมของอาจารย์ชลูด นิ่มเสมอนั้นเป็นผลงานศิลปะในแนวไหน? แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้และสัมผัสได้จากการได้ชมงานนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือความหมายอันลึกซึ้งในเรื่องของธรรมะที่อ.ชลูด แฝงไว้ในผลงานศิลปะในช่วงยุคหลังตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา
ถ้าจะอ้างถึงแรงบันดาลใจที่สะสมมาตลอดในช่วงชีวิตของท่าน อ.ชลูด นั้น เราต้องยกย่องท่านว่าเป็นศิลปินเอกที่เป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่กล่าวกันว่าในช่วงนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของงานศิลปะสมัยใหม่ของไทย อีกทั้งในช่วงแรกของการเป็นศิลปินนั้น ท่านอ.ชลูด ยังทันได้อยู่ร่วมสมัยกับท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นในการนำศิลปะมาใช้เป็นกุศโลบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังอีกด้วย
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เชื่อว่าศิลปะนั้นคือความสูงส่งทางพุทธิปัญญา(ปัญญาที่มีความฉลาด) ซึ่งสามารถขัดเกลาจิตใจมนุษย์ได้ อีกทั้งศิลปะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางด้านวัฒนธรรมซึ่งไม่อาจหยุดนิ่งอยู่ได้ตามสภาพเดิม กล่าวคือต้องแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ศิลปะจึงเป็นเครื่องแสดงถึงวัฒนธรรมอันเป็นลักษณะที่แท้จริงของชาติ ส่วนความเจริญทางด้านวัตถุต่าง ๆ นั้นไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมของไทยเลย แต่การดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี รวมทั้งการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมอันบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนาต่างหากที่เป็นวัฒนธรรมที่แท้จริงของไทยเรา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่แสดงความรู้สึกทางด้านวัฒนธรรมออกมาได้ดียิ่งกว่างานศิลปะอีกแล้ว
สำหรับท่านพระพุทธทาสภิกขุนั้น ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มใช้ศิลปะในเชิงธรรมศิลป์เข้ามาเป็นเครื่องมือในการช่วยอธิบายเรื่องราวทางพุทธศาสนา ซึ่งจริง ๆ แล้วการนำศิลปะมาใช้ในทางพุทธศาสนานั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยอดีตกาลแล้ว โดยส่วนมากจะออกมาในรูปแบบของพุทธศิลป์มากกว่า ซึ่งเป็นศิลปะที่ทำขึ้นเพื่อยกย่องพระพุทธเจ้าด้วยความศรัทธา งานศิลปะในเชิงพุทธศิลป์นั้นจะออกมาเป็นรูปธรรมต่าง ๆ ที่เราสามารถพบเห็นได้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร ศาลา ช่อฟ้า ใบระกา เป็นต้น แต่การใช้ธรรมศิลป์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นเป็นการตีความเรื่องราวของธรรมะที่เป็นหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก โดยจะสื่อออกมาจากจินตภาพในเชิงนามธรรมมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและกินใจเหล่าพุทธศาสนิกชนได้มากกว่า
ท่านพระพุทธทาสภิกขุเคยได้ศึกษาเรื่องราวศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาของอินเดียโบราณ ในยุคพ.ศ. 300-700 โดยท่านได้ทำการจำลองงานศิลปะของอินเดียโบราณบางส่วนมาไว้ที่ส่วนโมกขพลาราม ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ปี พ.ศ.2505) ซึ่งงานศิลปะที่จำลองมานั้นส่วนใหญ่เป็นรูปสลักหินทราย ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธประวัติตั้งแต่การประสูติ ตรัสรู้ และปริพาน รวมทั้งเรื่องราวการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในช่วงหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว งานศิลปะเหล่านั้นได้มีการสื่อออกมาเป็นภาพสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่แสดงความหมายในเชิงนามธรรม โดยไม่มีการแสดงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่มีสัญลักษณ์แห่ง “ความว่าง” เอาไว้แทน เพื่อเป็นสิ่งแสดงให้รู้และเข้าใจได้ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ในความหมายนั้นด้วย ซึ่งรูปสัญลักษณ์ในเชิงนามธรรมทั้งหลายนั้นได้มีการตีความหมายเอาไว้ อาทิเช่น รูปของวงกลมแสดงความหมายถึงความว่าง ซึ่งอาจจะหมายถึงจิตที่สงบนิ่งด้วยความระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ รูปของดอกบัวแทนความหมายถึงการประสูติ รูปของต้นโพธิ์และพระแท่นโพธิบัลลังก์แทนความหมายถึงการตรัสรู้ รูปของสถูปทรงบาตรคว่ำและเสาหินทรงกลมสูงแทนความหมายถึงการปรินิพพาน รูปวิหารและรูปรอยพระพุทธบาทแทนความหมายถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ส่วนการที่ไม่ยอมทำรูปเหมือนพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ว่าจะจนปัญญาหรือไร้ฝีมือในการทำพระพุทธรูป แต่การทำรูปสัญลักษณ์นั้นยากกว่าการทำพระพุทธรูปหลายเท่านัก เพราะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่สูงส่งกว่า เป็นอุดมคติมากกว่า รวมทั้งเข้าถึงพระธรรมที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าด้วย
เวลาที่ศิลปินจะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะขึ้นมาชิ้นหนึ่งนั้น ศิลปินจะต้องมีจินตนาการ (Imagination) ซึ่งก็คือพลังของจิตที่คิดสร้างภาพขึ้นภายในใจ หลังจากนั้นจินตนาการจะก่อให้เกิดภาพขึ้นภายในจิตสำนึก ที่เรียกว่า “จินตภาพ” (Image) ซึ่งภาพที่แสดงอยู่ในใจนั้นยังเป็นภาพที่เห็นไม่ชัดและจับต้องไม่ได้ ดังนั้นศิลปินจึงต้องใช้แรงบันดาลใจที่มีอยู่ในการดันภาพที่อยู่ในใจนั้นออกเป็นจิตนภาพภายนอก ซึ่งสุดท้ายก็แสดงออกมาในรูปของผลงานศิลปะนั้นเอง
ในเรื่องจินตนาการแห่งธรรมของท่าน อ.ชลูด นั้น ได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดในผลงานชุดธรรมศิลป์ (พ.ศ. 2530-2539) จะเห็นได้ว่าท่าน อ.ชลูด ได้มีการนำรูปสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาเข้ามาใช้ประกอบอยู่ในภาพต่าง ๆ ด้วย ถึงแม้ว่าท่านอ.ชลูด จะบอกว่าไม่ได้มีเจตนาเพื่อสื่อความหมายทางธรรมะในพระพุทธศาสนาโดยตรงก็ตาม แต่ก็เป็นการสื่อนำความคิดของผู้ชมให้โน้มน้าวไปสู่ความรู้สึกดีงามตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่าน อ.ชลูด ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ผลงานในชุดนี้ถ่ายทอดออกมาจากสภาวะจิตใจที่มีธรรมะเป็นเครื่องกล่อมเกลา เป็นการสร้างผลงานศิลปะออกมาจากจินตนาการทางธรรมอย่างแท้จริง โดยถ้ามองเข้าไปให้ลึกซึ้งในเนื้องานแล้วจะเห็นแรงบันดาลใจอันเกิดจากความเข้าใจในธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
สำหรับท่านที่ไม่เข้าใจความหมายของพระพุทธศาสนาก็อาจจะมองเห็นความงามของผลงานศิลปะชุดธรรมศิลป์ได้เพียงแต่เปลือกนอก แต่สำหรับผลงานศิลปะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการแห่งธรรมนั้น ท่านต้องมองให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงข้างในที่ถือว่าเป็นแก่นแท้ของงานศิลปะ เพ่งพินิจด้วยความรู้สึกแล้วท่านจะเห็นสัญลักษณ์ทางธรรมต่าง ๆ ที่ศิลปินนำมารวมไว้ เพื่อต้องการจะสื่อเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ อันเป็นจุดเริ่มต้นให้ท่านอยากจะค้นหาความหมายทางธรรมในลำดับต่อไป
จากภาพข้างต้นนี้ท่านอาจจะเห็นความงดงามในเชิงศิลปะ องค์ประกอบของภาพ ลายเส้นและโทนสีกลมกลืนสอดคล้องดูสวยงาม แต่ท่านอาจจะนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ทำไมต้องมีภาพหญิงสาวนอนอยู่ด้วย? ซึ่งถ้าท่านมองให้ลึกซึ้งเข้าถึงจินตนาการแห่งธรรมของศิลปินแล้ว ท่านก็จะทราบความหมายในเชิงนามธรรมที่แฝงอยู่ในภาพนี้ รูปสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่แสดงอยู่ในภาพนี้ได้แสดงถึงเรื่องราวของความซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ภาพของวิหารนั้นแสดงถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ภาพของต้นฉัตรโพธิ์ที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวานั้นหมายถึงการตรัสรู้ ภาพของเกลียวคลื่นที่เห็นเป็นน้ำนั้นสื่อความหมายของการรู้แจ้งแห่งธรรม ส่วนภาพหญิงสาวที่นอนอยู่นั้นหมายถึงสภาวะของจิตอันสงบของผู้ปฏิบัติธรรมที่มีสติสมบูรณ์แล้ว
ในภาพสลักหินทรายที่สวนโมกข์ฯ นั้น จะเห็นว่าในงานศิลปะบางภาพก็มีภาพของหญิงสาวหรือนางอัปสรนอนในลักษณะเดียวกันนี้ปรากฏอยู่เช่นกัน
ภาพแกะสลักหินทรายนี้เป็นภาพเทวดาประชุมกันทูลเชิญพระโพธิ์สัตว์บนแท่นว่างใต้ต้นโพธิ์จากสวรรค์ชั้นดุสิต จุติลงมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาซึ่งกำลังบรรทมท่าสีหไสยาสน์อันเป็นท่านอนของผู้ปฏิบัติธรรมที่มีจิตสมบูรณ์ ท่ามกลางเทวดาชายหญิงคอยปรนนิบัติพัดวีชิดพระบาท (ภาพและคำบรรยายภาพจาก สวนโมกข์ฯ กรุงเทพ)
สำหรับอีกหนึ่งจินตนาการแห่งธรรมที่ท่านอ.ชลูด ได้แสดงออกมาเป็นผลงานประติมากรรมสาธารณะนั้น ถือว่าเป็นเครื่องการันตรีได้ถึงความเข้าใจอย่างท้องแท้ในการศึกษาพระธรรม โดยผลงานชิ้นใหญ่สุดที่คนไทยรู้จักกันทั้งประเทศก็คือ ผลงานประติมากรรม “โลกุตระ” ซึ่งติดตั้งแสดงอยู่ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การที่ศิลปินตีความของพระธรรมออกมาเป็นผลงานรูปธรรมเพื่อสื่อให้เราย้อนกลับไปหาความหมายในเชิงนามธรรมได้นั้น ถือว่าเป็นผลงานที่มีแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เป็นผลงานที่มีแรงปะทะต่อความรู้สึกทางพุทธศาสนาอย่างแรง รวมทั้งเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนความหมายทางธรรมออกมาได้อย่างโดดเด่นมากที่สุดด้วย
“โลกุตระ” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้แรงบันดาลใจมาจากเปลวรัศมีของพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย โลกุตระนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น เปรียบเสมือนดอกบัวที่โผล่พ้นจากโคลนตม ก้านดอกบัวทั้งแปดเปรียบเสมอ มรรค ที่เป็นหนทางแห่งการดับทุกข์และพระอริยบุคคลทั้งแปดในพุทธศาสนา (คำอธิบายจากงานแสดงนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง)
จินตนาการแห่งธรรม ... บทสรุปสุดท้ายในผลงานของศิลปิน
ผมไม่ใช่ศิลปินและผมก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ทางศิลปะโดยตรง ตัวผมเลยไม่สามารถสรุปได้ว่าผลงานโดยรวมของอาจารย์ชลูด นิ่มเสมอนั้นเป็นผลงานศิลปะในแนวไหน? แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้และสัมผัสได้จากการได้ชมงานนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือความหมายอันลึกซึ้งในเรื่องของธรรมะที่อ.ชลูด แฝงไว้ในผลงานศิลปะในช่วงยุคหลังตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา
ถ้าจะอ้างถึงแรงบันดาลใจที่สะสมมาตลอดในช่วงชีวิตของท่าน อ.ชลูด นั้น เราต้องยกย่องท่านว่าเป็นศิลปินเอกที่เป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่กล่าวกันว่าในช่วงนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของงานศิลปะสมัยใหม่ของไทย อีกทั้งในช่วงแรกของการเป็นศิลปินนั้น ท่านอ.ชลูด ยังทันได้อยู่ร่วมสมัยกับท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นในการนำศิลปะมาใช้เป็นกุศโลบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังอีกด้วย
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เชื่อว่าศิลปะนั้นคือความสูงส่งทางพุทธิปัญญา(ปัญญาที่มีความฉลาด) ซึ่งสามารถขัดเกลาจิตใจมนุษย์ได้ อีกทั้งศิลปะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางด้านวัฒนธรรมซึ่งไม่อาจหยุดนิ่งอยู่ได้ตามสภาพเดิม กล่าวคือต้องแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ศิลปะจึงเป็นเครื่องแสดงถึงวัฒนธรรมอันเป็นลักษณะที่แท้จริงของชาติ ส่วนความเจริญทางด้านวัตถุต่าง ๆ นั้นไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมของไทยเลย แต่การดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี รวมทั้งการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมอันบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนาต่างหากที่เป็นวัฒนธรรมที่แท้จริงของไทยเรา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่แสดงความรู้สึกทางด้านวัฒนธรรมออกมาได้ดียิ่งกว่างานศิลปะอีกแล้ว
สำหรับท่านพระพุทธทาสภิกขุนั้น ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มใช้ศิลปะในเชิงธรรมศิลป์เข้ามาเป็นเครื่องมือในการช่วยอธิบายเรื่องราวทางพุทธศาสนา ซึ่งจริง ๆ แล้วการนำศิลปะมาใช้ในทางพุทธศาสนานั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยอดีตกาลแล้ว โดยส่วนมากจะออกมาในรูปแบบของพุทธศิลป์มากกว่า ซึ่งเป็นศิลปะที่ทำขึ้นเพื่อยกย่องพระพุทธเจ้าด้วยความศรัทธา งานศิลปะในเชิงพุทธศิลป์นั้นจะออกมาเป็นรูปธรรมต่าง ๆ ที่เราสามารถพบเห็นได้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร ศาลา ช่อฟ้า ใบระกา เป็นต้น แต่การใช้ธรรมศิลป์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นเป็นการตีความเรื่องราวของธรรมะที่เป็นหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก โดยจะสื่อออกมาจากจินตภาพในเชิงนามธรรมมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและกินใจเหล่าพุทธศาสนิกชนได้มากกว่า
ท่านพระพุทธทาสภิกขุเคยได้ศึกษาเรื่องราวศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาของอินเดียโบราณ ในยุคพ.ศ. 300-700 โดยท่านได้ทำการจำลองงานศิลปะของอินเดียโบราณบางส่วนมาไว้ที่ส่วนโมกขพลาราม ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ปี พ.ศ.2505) ซึ่งงานศิลปะที่จำลองมานั้นส่วนใหญ่เป็นรูปสลักหินทราย ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธประวัติตั้งแต่การประสูติ ตรัสรู้ และปริพาน รวมทั้งเรื่องราวการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในช่วงหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว งานศิลปะเหล่านั้นได้มีการสื่อออกมาเป็นภาพสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่แสดงความหมายในเชิงนามธรรม โดยไม่มีการแสดงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่มีสัญลักษณ์แห่ง “ความว่าง” เอาไว้แทน เพื่อเป็นสิ่งแสดงให้รู้และเข้าใจได้ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ในความหมายนั้นด้วย ซึ่งรูปสัญลักษณ์ในเชิงนามธรรมทั้งหลายนั้นได้มีการตีความหมายเอาไว้ อาทิเช่น รูปของวงกลมแสดงความหมายถึงความว่าง ซึ่งอาจจะหมายถึงจิตที่สงบนิ่งด้วยความระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ รูปของดอกบัวแทนความหมายถึงการประสูติ รูปของต้นโพธิ์และพระแท่นโพธิบัลลังก์แทนความหมายถึงการตรัสรู้ รูปของสถูปทรงบาตรคว่ำและเสาหินทรงกลมสูงแทนความหมายถึงการปรินิพพาน รูปวิหารและรูปรอยพระพุทธบาทแทนความหมายถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ส่วนการที่ไม่ยอมทำรูปเหมือนพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ว่าจะจนปัญญาหรือไร้ฝีมือในการทำพระพุทธรูป แต่การทำรูปสัญลักษณ์นั้นยากกว่าการทำพระพุทธรูปหลายเท่านัก เพราะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่สูงส่งกว่า เป็นอุดมคติมากกว่า รวมทั้งเข้าถึงพระธรรมที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าด้วย
เวลาที่ศิลปินจะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะขึ้นมาชิ้นหนึ่งนั้น ศิลปินจะต้องมีจินตนาการ (Imagination) ซึ่งก็คือพลังของจิตที่คิดสร้างภาพขึ้นภายในใจ หลังจากนั้นจินตนาการจะก่อให้เกิดภาพขึ้นภายในจิตสำนึก ที่เรียกว่า “จินตภาพ” (Image) ซึ่งภาพที่แสดงอยู่ในใจนั้นยังเป็นภาพที่เห็นไม่ชัดและจับต้องไม่ได้ ดังนั้นศิลปินจึงต้องใช้แรงบันดาลใจที่มีอยู่ในการดันภาพที่อยู่ในใจนั้นออกเป็นจิตนภาพภายนอก ซึ่งสุดท้ายก็แสดงออกมาในรูปของผลงานศิลปะนั้นเอง
ในเรื่องจินตนาการแห่งธรรมของท่าน อ.ชลูด นั้น ได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดในผลงานชุดธรรมศิลป์ (พ.ศ. 2530-2539) จะเห็นได้ว่าท่าน อ.ชลูด ได้มีการนำรูปสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาเข้ามาใช้ประกอบอยู่ในภาพต่าง ๆ ด้วย ถึงแม้ว่าท่านอ.ชลูด จะบอกว่าไม่ได้มีเจตนาเพื่อสื่อความหมายทางธรรมะในพระพุทธศาสนาโดยตรงก็ตาม แต่ก็เป็นการสื่อนำความคิดของผู้ชมให้โน้มน้าวไปสู่ความรู้สึกดีงามตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่าน อ.ชลูด ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ผลงานในชุดนี้ถ่ายทอดออกมาจากสภาวะจิตใจที่มีธรรมะเป็นเครื่องกล่อมเกลา เป็นการสร้างผลงานศิลปะออกมาจากจินตนาการทางธรรมอย่างแท้จริง โดยถ้ามองเข้าไปให้ลึกซึ้งในเนื้องานแล้วจะเห็นแรงบันดาลใจอันเกิดจากความเข้าใจในธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
สำหรับท่านที่ไม่เข้าใจความหมายของพระพุทธศาสนาก็อาจจะมองเห็นความงามของผลงานศิลปะชุดธรรมศิลป์ได้เพียงแต่เปลือกนอก แต่สำหรับผลงานศิลปะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการแห่งธรรมนั้น ท่านต้องมองให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงข้างในที่ถือว่าเป็นแก่นแท้ของงานศิลปะ เพ่งพินิจด้วยความรู้สึกแล้วท่านจะเห็นสัญลักษณ์ทางธรรมต่าง ๆ ที่ศิลปินนำมารวมไว้ เพื่อต้องการจะสื่อเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ อันเป็นจุดเริ่มต้นให้ท่านอยากจะค้นหาความหมายทางธรรมในลำดับต่อไป
จากภาพข้างต้นนี้ท่านอาจจะเห็นความงดงามในเชิงศิลปะ องค์ประกอบของภาพ ลายเส้นและโทนสีกลมกลืนสอดคล้องดูสวยงาม แต่ท่านอาจจะนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ทำไมต้องมีภาพหญิงสาวนอนอยู่ด้วย? ซึ่งถ้าท่านมองให้ลึกซึ้งเข้าถึงจินตนาการแห่งธรรมของศิลปินแล้ว ท่านก็จะทราบความหมายในเชิงนามธรรมที่แฝงอยู่ในภาพนี้ รูปสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่แสดงอยู่ในภาพนี้ได้แสดงถึงเรื่องราวของความซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ภาพของวิหารนั้นแสดงถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ภาพของต้นฉัตรโพธิ์ที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวานั้นหมายถึงการตรัสรู้ ภาพของเกลียวคลื่นที่เห็นเป็นน้ำนั้นสื่อความหมายของการรู้แจ้งแห่งธรรม ส่วนภาพหญิงสาวที่นอนอยู่นั้นหมายถึงสภาวะของจิตอันสงบของผู้ปฏิบัติธรรมที่มีสติสมบูรณ์แล้ว
ในภาพสลักหินทรายที่สวนโมกข์ฯ นั้น จะเห็นว่าในงานศิลปะบางภาพก็มีภาพของหญิงสาวหรือนางอัปสรนอนในลักษณะเดียวกันนี้ปรากฏอยู่เช่นกัน
ภาพแกะสลักหินทรายนี้เป็นภาพเทวดาประชุมกันทูลเชิญพระโพธิ์สัตว์บนแท่นว่างใต้ต้นโพธิ์จากสวรรค์ชั้นดุสิต จุติลงมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาซึ่งกำลังบรรทมท่าสีหไสยาสน์อันเป็นท่านอนของผู้ปฏิบัติธรรมที่มีจิตสมบูรณ์ ท่ามกลางเทวดาชายหญิงคอยปรนนิบัติพัดวีชิดพระบาท (ภาพและคำบรรยายภาพจาก สวนโมกข์ฯ กรุงเทพ)
สำหรับอีกหนึ่งจินตนาการแห่งธรรมที่ท่านอ.ชลูด ได้แสดงออกมาเป็นผลงานประติมากรรมสาธารณะนั้น ถือว่าเป็นเครื่องการันตรีได้ถึงความเข้าใจอย่างท้องแท้ในการศึกษาพระธรรม โดยผลงานชิ้นใหญ่สุดที่คนไทยรู้จักกันทั้งประเทศก็คือ ผลงานประติมากรรม “โลกุตระ” ซึ่งติดตั้งแสดงอยู่ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การที่ศิลปินตีความของพระธรรมออกมาเป็นผลงานรูปธรรมเพื่อสื่อให้เราย้อนกลับไปหาความหมายในเชิงนามธรรมได้นั้น ถือว่าเป็นผลงานที่มีแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เป็นผลงานที่มีแรงปะทะต่อความรู้สึกทางพุทธศาสนาอย่างแรง รวมทั้งเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนความหมายทางธรรมออกมาได้อย่างโดดเด่นมากที่สุดด้วย
“โลกุตระ” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้แรงบันดาลใจมาจากเปลวรัศมีของพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย โลกุตระนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น เปรียบเสมือนดอกบัวที่โผล่พ้นจากโคลนตม ก้านดอกบัวทั้งแปดเปรียบเสมอ มรรค ที่เป็นหนทางแห่งการดับทุกข์และพระอริยบุคคลทั้งแปดในพุทธศาสนา (คำอธิบายจากงานแสดงนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง)