สวัสดีนะคะทุกคน นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ผิดพลาดอะไรก็ขอโทษนะคะ
กระทู้เราอาจจะไม่ได้มีประโยชน์ ไม่ได้ก่อเกิดแรงบัลดาลใจ แต่เราก็อยากจะแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณที่คลิกเข้ามาดูค่ะ
.
..
เรา คือ คนๆ หนึ่งที่จากบ้านนอกไกลแสนไกลออกเดินทางตามหาความฝันในเมืองกรุง ตั้งแต่อายุ 15 เพียงเพราะเชื่อว่า การศึกษาที่ดีมีอยู่ที่นั่น ตั้งแต่มัธยมปลาย จนจบมหาลัยและชีวิตทำงานอีกสามปี นับ ๆ ดู ก็ 10 ปี พอดีที่จากบ้านมา
หลังจากเรียนจบรีบหางานทำ เงินเดือน ๆ แรกแบ่งให้พ่อกับแม่ตามสัดส่วนที่จัดสรรไว้ ส่วนที่เหลือก็ใช้ในการดำรงชีวิตของตัวเอง เดือนชนเดือน แทบจะไม่พอใช้ เงินเก็บไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหรอก งานก็เครียด ต้องรบรากับเพื่อนร่วมงานอีกสารพัด สุดท้ายทนไม่ไหวเลยออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ต้องรวย ต้องสำเร็จ นั่นคือความฝัน ขอเงินพ่อมาก้อนนึง จากนั้นก็เดินหน้าลุย ไม่ได้ดูทิศทาง ไม่ได้วางแผน…ออกตัวแรงเว่อร์ จากนั้นก็….โครม!! เจ้งไม่เป็นท่า ทำอยู่ประมาณเกือบปี สุดท้ายก็สูญเปล่า
กลับมาทำงานประจำอีกครั้งเมื่อต้นปี ทำได้แค่ 4 เดือนก็ขอยอมแพ้ งานยากเกินความสามารถที่มี ฝืนตัวเองแล้วเครียด ( เรียนจบด้านการออกแบบ แต่พอเข้าทำงานดันโดนย้ายแผนกกระทันหัน ไปทำด้านคำนวนต้นทุน ) เลยขอยกธงขาว บางทีก็เซ็งตัวเองที่ไม่มีความอดทน ไม่มีความพยามยาม ไม่รู้ว่าได้ทำเต็มที่หรือยัง รู้แต่เครียด อยากยอมแพ้….ออกจากงานมานั่งคิด นอนคิด ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ทำไมทำอะไรไม่เคยสำเร็จ ทำไมไม่มีความอดทน ทำไม ๆ พอทนกับสภาพตัวเองไม่ไหวก็เก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปหาพ่อกับแม่เพราะอยู่กับตัวเองไม่ไหวแล้ว
“กลับมาคราวนี้คล้ำลงนะ” แม่บอก คนเป็นแม่นี่ช่างสังเกตและจดจำจริง ๆ ส่วนตัวเราเองไม่ได้ช่างสังเกตหรอก แต่เห็นได้ชัดเจนว่าพ่อกับแม่แก่ขึ้นมาก กลับมาบ้านปีนี้ได้อยู่จนถึงวันเกิดพอดี ทุก ๆ ปี เดือนเกิดเราจะเป็นเดือนที่เปิดเทอม เราไม่เคยได้อยู่ที่บ้านหรอก ปีนี้ได้อยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ได้ฉลอง ไม่ได้ตักบาตร ตื่นเช้ามาก็พาแม่ไปโรงพยาบาลตามใบนัด ตรวจเช็คความดัน ระหว่างนั่งรอแม่ก็อัพเดตสเตตัสในเฟสว่า
“ ย้อนกลับไป 25 ปีที่แล้ว แม่พาเรามาเกิดที่นี่…. 25 ปี ต่อมา พาแม่มาหาหมอที่นี่…สลับหน้าที่กัน”
ปรกติไม่ค่อยอัพเดตสเตตัสเฟสบุ๊คหรอก แต่วันเกิดปีนี้รู้สึกดีมาก ๆ รู้สึกดีจนอยากจะบอกให้ใครหลาย ๆ คนรับรู้ จากนั้นก็มีเพื่อน ๆ มาอวยพรให้…แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราดีใจเท่ากับสิ่งที่ได้ทำในวันนี้ ในวันเกิดของเรา
แม่บอกว่า ตั้งแต่เรากลับมาบ้าน พ่อดูสดใสขึ้นมาก มีเราคอยพูดคุยด้วย ปรกติจะซึน ๆ ตึง ๆ เราอยู่กับแม่อีก2-3วันก็กลับมากรุงเทพฯ จะเริ่มต้นหางานใหม่ จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ แต่ยังไม่ทันไร แม่ก็โทรมาบอกว่า ให้เรากลับไปอยู่บ้านเถอะ กลับมาก่อนค่อยคิดว่าจะทำอะไร ยังไม่มีงานก็อยู่บ้านไปก่อน ข้าวเราก็มีในยุ้ง อาหารเราก็หาได้ทั่วไป มีปลาในบ่อ มีไก่ในเล้า มีผักริมรั้ว ไม่อดตายหรอก จะทนใช้ชีวิตแบบนั้นทำไม วัน ๆ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม อยู่ในรถเมล์ อยู่บนถนน พอเถอะ กลับมาอยู่บ้านเราดีกว่า ฟังแล้วจะร้องไห้
พ่อแม่เรามีลูกทั้งหมด 3 คน แต่ไม่มีซักคนที่อยู่บ้าน ทุกคนต่างก็ออกเดินตามทางของตัวเอง เราเองไม่เคยคิดว่าจะกลับไปทำนา ไม่เคยคิดว่าจะกลับไปอยู่บ้าน เคยบอกแม่ว่า ไม่ต้องแบ่งที่นาให้เรานะ เราไม่เอา เราไม่ทำ เราชอบวิถีชีวิตคนเมือง ชอบที่มันสะดวก
เวลากลับบ้านนาน ๆ เราโค_ตรคิดถึงกรุงเทพฯเลย เพราะอะไรก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ชอบเดินห้าง นาน ๆ จะไปกินข้าว เดินเล่น สักที ไม่ได้ชอบเที่ยวกลางคืน ผับ บาร์ ร้านเหล้า ปีนึงไปมันสักครั้ง ไม่ชอบรถเมล์ รถไฟฟ้าที่แสนจะเบียดเสียด ไม่ชอบที่วัน ๆ หนึ่ง ต้องอาศัยอยู่บนรถ หลาย ๆ ชั่วโมง ในทางกลับกัน วันหยุดเราก็อยู่ในห้อง ทำกับข้าวกินเอง อ่านหนังสือ ดูละคร ดูเวบเกษตรไว้คุยกับแม่ ตอนเรียนก็ชอบไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปดูธรรมชาติ ชอบทุ่งนา ภูเขา ชอบบรรยากาศเงียบ ๆ บางทีก็สับสนกับระบบความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่าจริง ๆ ชอบอะไรกันแน่
แต่ตอนนี้เราตัดสินใจแล้วว่า สิ้นเดือนนี้ ( อาทิตย์หน้าแล้ว ) เราจะกลับไปอยู่บ้านอย่างถาวร เราเป็นลูกชาวนาโดยกำเนิด แต่ถ้าถามว่าทำนาเป็นไหม ตอบแบบโค_ตรอายว่า “ไม่เป็น” แต่เราจะกลับไปเรียนรู้การเป็นชาวนา เรียนรู้อาชีพที่ส่งเสียเราและพี่ให้เรียนจนจบปริญญา ที่สำคัญเราจะได้อยู่เป็นเพื่อน พ่อกับแม่ในยามที่ท่านแก่ชราลงทุกวัน
ตอนเด็ก ๆ พ่อกับแม่พร่ำบอกเสมอว่า ต้องตั้งใจเรียนนะ เรียนให้จบสูง ๆ ทำงานในห้องแอร์ มีเงินเดือนใช้ทุกเดือน อยากได้อะไรก็จะได้...ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำทำนาหน้าดำเหมือนพ่อกับแม่ แต่พอมองย้อนกลับไปดู อาชีพที่พ่อ กับ แม่บอกว่าเหน็ดเหนื่อยทำมาสี่สิบกว่าปี ไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อกับแม่บ่นว่าอยากเลิกทำนาไปทำอย่างอื่น แม่เราตื่นเช้ามาก็รีบไปนา พ่อเราเลิกจากงานประจำก็รีบไปนา ที่นั่น พ่อกับแม่จะมีรอยยิ้มเสมอ ในขณะที่เราทำงานในห้องแอร์เย็นสบาย แต่รอยยิ้มกับแห้ง ๆ เหี่ยว ๆ บางทีกลับบ้านมาร้องไห้ แต่เวลานี้รู้สึกดีใจนะ อีกไม่กี่วันเราจะได้กลับบ้านของเราแล้ว
อันนี้เป็นภาพจากบ้านเราที่ถ่ายมาเมื่อเดือนที่แล้ว

++ได้เวลากลับสู่รากเหง้า กลับไปเป็นชาวนา...ลาก่อนนะกรุงเทพฯ++
กระทู้เราอาจจะไม่ได้มีประโยชน์ ไม่ได้ก่อเกิดแรงบัลดาลใจ แต่เราก็อยากจะแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณที่คลิกเข้ามาดูค่ะ
.
..
เรา คือ คนๆ หนึ่งที่จากบ้านนอกไกลแสนไกลออกเดินทางตามหาความฝันในเมืองกรุง ตั้งแต่อายุ 15 เพียงเพราะเชื่อว่า การศึกษาที่ดีมีอยู่ที่นั่น ตั้งแต่มัธยมปลาย จนจบมหาลัยและชีวิตทำงานอีกสามปี นับ ๆ ดู ก็ 10 ปี พอดีที่จากบ้านมา
หลังจากเรียนจบรีบหางานทำ เงินเดือน ๆ แรกแบ่งให้พ่อกับแม่ตามสัดส่วนที่จัดสรรไว้ ส่วนที่เหลือก็ใช้ในการดำรงชีวิตของตัวเอง เดือนชนเดือน แทบจะไม่พอใช้ เงินเก็บไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหรอก งานก็เครียด ต้องรบรากับเพื่อนร่วมงานอีกสารพัด สุดท้ายทนไม่ไหวเลยออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ต้องรวย ต้องสำเร็จ นั่นคือความฝัน ขอเงินพ่อมาก้อนนึง จากนั้นก็เดินหน้าลุย ไม่ได้ดูทิศทาง ไม่ได้วางแผน…ออกตัวแรงเว่อร์ จากนั้นก็….โครม!! เจ้งไม่เป็นท่า ทำอยู่ประมาณเกือบปี สุดท้ายก็สูญเปล่า
กลับมาทำงานประจำอีกครั้งเมื่อต้นปี ทำได้แค่ 4 เดือนก็ขอยอมแพ้ งานยากเกินความสามารถที่มี ฝืนตัวเองแล้วเครียด ( เรียนจบด้านการออกแบบ แต่พอเข้าทำงานดันโดนย้ายแผนกกระทันหัน ไปทำด้านคำนวนต้นทุน ) เลยขอยกธงขาว บางทีก็เซ็งตัวเองที่ไม่มีความอดทน ไม่มีความพยามยาม ไม่รู้ว่าได้ทำเต็มที่หรือยัง รู้แต่เครียด อยากยอมแพ้….ออกจากงานมานั่งคิด นอนคิด ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ทำไมทำอะไรไม่เคยสำเร็จ ทำไมไม่มีความอดทน ทำไม ๆ พอทนกับสภาพตัวเองไม่ไหวก็เก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปหาพ่อกับแม่เพราะอยู่กับตัวเองไม่ไหวแล้ว
“กลับมาคราวนี้คล้ำลงนะ” แม่บอก คนเป็นแม่นี่ช่างสังเกตและจดจำจริง ๆ ส่วนตัวเราเองไม่ได้ช่างสังเกตหรอก แต่เห็นได้ชัดเจนว่าพ่อกับแม่แก่ขึ้นมาก กลับมาบ้านปีนี้ได้อยู่จนถึงวันเกิดพอดี ทุก ๆ ปี เดือนเกิดเราจะเป็นเดือนที่เปิดเทอม เราไม่เคยได้อยู่ที่บ้านหรอก ปีนี้ได้อยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ได้ฉลอง ไม่ได้ตักบาตร ตื่นเช้ามาก็พาแม่ไปโรงพยาบาลตามใบนัด ตรวจเช็คความดัน ระหว่างนั่งรอแม่ก็อัพเดตสเตตัสในเฟสว่า
“ ย้อนกลับไป 25 ปีที่แล้ว แม่พาเรามาเกิดที่นี่…. 25 ปี ต่อมา พาแม่มาหาหมอที่นี่…สลับหน้าที่กัน”
ปรกติไม่ค่อยอัพเดตสเตตัสเฟสบุ๊คหรอก แต่วันเกิดปีนี้รู้สึกดีมาก ๆ รู้สึกดีจนอยากจะบอกให้ใครหลาย ๆ คนรับรู้ จากนั้นก็มีเพื่อน ๆ มาอวยพรให้…แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราดีใจเท่ากับสิ่งที่ได้ทำในวันนี้ ในวันเกิดของเรา
แม่บอกว่า ตั้งแต่เรากลับมาบ้าน พ่อดูสดใสขึ้นมาก มีเราคอยพูดคุยด้วย ปรกติจะซึน ๆ ตึง ๆ เราอยู่กับแม่อีก2-3วันก็กลับมากรุงเทพฯ จะเริ่มต้นหางานใหม่ จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ แต่ยังไม่ทันไร แม่ก็โทรมาบอกว่า ให้เรากลับไปอยู่บ้านเถอะ กลับมาก่อนค่อยคิดว่าจะทำอะไร ยังไม่มีงานก็อยู่บ้านไปก่อน ข้าวเราก็มีในยุ้ง อาหารเราก็หาได้ทั่วไป มีปลาในบ่อ มีไก่ในเล้า มีผักริมรั้ว ไม่อดตายหรอก จะทนใช้ชีวิตแบบนั้นทำไม วัน ๆ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม อยู่ในรถเมล์ อยู่บนถนน พอเถอะ กลับมาอยู่บ้านเราดีกว่า ฟังแล้วจะร้องไห้
พ่อแม่เรามีลูกทั้งหมด 3 คน แต่ไม่มีซักคนที่อยู่บ้าน ทุกคนต่างก็ออกเดินตามทางของตัวเอง เราเองไม่เคยคิดว่าจะกลับไปทำนา ไม่เคยคิดว่าจะกลับไปอยู่บ้าน เคยบอกแม่ว่า ไม่ต้องแบ่งที่นาให้เรานะ เราไม่เอา เราไม่ทำ เราชอบวิถีชีวิตคนเมือง ชอบที่มันสะดวก
เวลากลับบ้านนาน ๆ เราโค_ตรคิดถึงกรุงเทพฯเลย เพราะอะไรก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ชอบเดินห้าง นาน ๆ จะไปกินข้าว เดินเล่น สักที ไม่ได้ชอบเที่ยวกลางคืน ผับ บาร์ ร้านเหล้า ปีนึงไปมันสักครั้ง ไม่ชอบรถเมล์ รถไฟฟ้าที่แสนจะเบียดเสียด ไม่ชอบที่วัน ๆ หนึ่ง ต้องอาศัยอยู่บนรถ หลาย ๆ ชั่วโมง ในทางกลับกัน วันหยุดเราก็อยู่ในห้อง ทำกับข้าวกินเอง อ่านหนังสือ ดูละคร ดูเวบเกษตรไว้คุยกับแม่ ตอนเรียนก็ชอบไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปดูธรรมชาติ ชอบทุ่งนา ภูเขา ชอบบรรยากาศเงียบ ๆ บางทีก็สับสนกับระบบความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่าจริง ๆ ชอบอะไรกันแน่
แต่ตอนนี้เราตัดสินใจแล้วว่า สิ้นเดือนนี้ ( อาทิตย์หน้าแล้ว ) เราจะกลับไปอยู่บ้านอย่างถาวร เราเป็นลูกชาวนาโดยกำเนิด แต่ถ้าถามว่าทำนาเป็นไหม ตอบแบบโค_ตรอายว่า “ไม่เป็น” แต่เราจะกลับไปเรียนรู้การเป็นชาวนา เรียนรู้อาชีพที่ส่งเสียเราและพี่ให้เรียนจนจบปริญญา ที่สำคัญเราจะได้อยู่เป็นเพื่อน พ่อกับแม่ในยามที่ท่านแก่ชราลงทุกวัน
ตอนเด็ก ๆ พ่อกับแม่พร่ำบอกเสมอว่า ต้องตั้งใจเรียนนะ เรียนให้จบสูง ๆ ทำงานในห้องแอร์ มีเงินเดือนใช้ทุกเดือน อยากได้อะไรก็จะได้...ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำทำนาหน้าดำเหมือนพ่อกับแม่ แต่พอมองย้อนกลับไปดู อาชีพที่พ่อ กับ แม่บอกว่าเหน็ดเหนื่อยทำมาสี่สิบกว่าปี ไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อกับแม่บ่นว่าอยากเลิกทำนาไปทำอย่างอื่น แม่เราตื่นเช้ามาก็รีบไปนา พ่อเราเลิกจากงานประจำก็รีบไปนา ที่นั่น พ่อกับแม่จะมีรอยยิ้มเสมอ ในขณะที่เราทำงานในห้องแอร์เย็นสบาย แต่รอยยิ้มกับแห้ง ๆ เหี่ยว ๆ บางทีกลับบ้านมาร้องไห้ แต่เวลานี้รู้สึกดีใจนะ อีกไม่กี่วันเราจะได้กลับบ้านของเราแล้ว
อันนี้เป็นภาพจากบ้านเราที่ถ่ายมาเมื่อเดือนที่แล้ว