จะมาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากลาออก 1 เดือนให้ฟัง
-ช่วงแรกๆ ก็แอบใจหายน่ะครับ หยิบอะไรขึ้นมาแล้วเจอโลโก้ที่ทำงาน ก็มานั่งถอนหายใจ อืม...เราเคยไปมา 5 ปี แต่หลังจากนี้ มันก็ไม่ต้องไปอีกแล้วอะไรแบบนี้
-สบายขึ้น ไม่ต้องได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ไม่ต้องฝืนใจตื่น นอนได้ดึกขึ้น ตี 3 - 4 ตื่นสายได้ตามใจชอบ แรกๆ ก็ ตื่นเที่ยงวันเลย (ช่วงนี้ นอนไวขึ้น ไม่ถึงเที่ยงคืนก็ง่วงแล้ว รู้สึกตัว 7 โมง แล้วก็ตื่น 9-10 โมง)
-เวลาไปไหนสบายๆ ไม่เครียด กับรถติด เพราะไม่มีเรื่องของเวลา เป็นตัวกำกับ และ กรุงเทพเวลาไม่มีรถคิดนี่สวรรค์ชัดๆ อยู่มา 5 ปี เพิ่งนั่งรถสาย 62 ไปสาธุฯ เฮ้ย ถนนแถวนี้สวยจัง (โซนสถานทูตน่ะ)
-ไม่ต้องเครียดว่า จะทำงานส่งไม่ทัน ไม่ต้องทะเลาะกับใคร เรื่องความเห็นไม่ตรงกัน คือผมไฟท์หมด ถ้าเราไม่ตรงกัน เรื่องนี้แหละเลยคิดออกจากงาน เพราะ มันไม่เป็นผลดีต่อองค์กร เราไม่มีสัมมาคารวะ
-เข้าใจเลยว่า ที่เราทำงานเงินเดือน 20000 กว่า เงินหายไปไหน มันหมดกับค่ากินและเดินทางเยอะจริงๆ เพราะตั้งแต่อยู่บ้านทำกับข้าวเอง ประหยัดเงินสุดๆ เข้าใจเลยว่า ทำไมคนที่เขาออกไปอยู่แบบพอเพียง ถึงอยู่กันได้
-มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ช่วงนี้ อ่านหนังสือธรรมะหรือพัฒนาจิตใจ มองโลกในแง่บอกมากขึ้น จากเมื่อก่อนมองในแง่ร้ายตลอด เดี๋ยวนี้เริ่มคิดได้ อย่าเพิ่งตัดสินอะไร ถ้ายังไม่รู้ความจริง ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน พยายามฝึกเรื่อง ขันธ์ 5 ( รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ) อยู่
-อยากช่วยเหลือผู้อื่น อยากเป็นจิตอาสาบ้าง เพราะ ถ้าอ่านจากข้างบน ถ้าทำไปเรื่อยๆ มันจะทำให้ตนเองฝ่อ สังคมแคบลง เคยคิดน่ะ ว่า ต้องรวยเหลือกินเหลือใช้ ถึงจะช่วยคนอื่น แต่ตอนที่ใจมันว่าง มันก็คิดได้ว่า การช่วยเหลือ ทำได้ทันทีในที่เราทำได้
อ่อ ผมมีธุรกิจส่วนที่ทำเล็กๆ น้อย สองอย่างคือ
-ขายสินค้าทางเน็ต
-สั่งสินค้าอิเล็กตามออเดอร์ครับ (ได้ดีลใหญ่ แต่ ไม่แน่นอนครับ แต่อยู่ได้เพราะไม่มีภาระหนี้)
แต่ตั้งแต่ลาออกมา ยังไม่ได้สั่งอะไรมาขายเลย มีแค่ clear ของที่ค้าง stock นิดๆหน่อยๆเองครับ หน้า low ของการขายของด้วยแหละ เลยอยาก พักสมอง ตอนนี้คิดได้ ไม่อยากแสวงหาความร่ำรวยแบบสุดโต่งอีกเลย เอาแค่ ทำแล้วสบายใจ มีเงินใช้ไม่ลำบาก และ เป็นทีพึ่งของคนอื่นได้พอ (แต่ถ้ามันได้ ก็ยินดี)
1 เดือน หลังจากลาออกจากการเป็นลูกจ้าง
-ช่วงแรกๆ ก็แอบใจหายน่ะครับ หยิบอะไรขึ้นมาแล้วเจอโลโก้ที่ทำงาน ก็มานั่งถอนหายใจ อืม...เราเคยไปมา 5 ปี แต่หลังจากนี้ มันก็ไม่ต้องไปอีกแล้วอะไรแบบนี้
-สบายขึ้น ไม่ต้องได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ไม่ต้องฝืนใจตื่น นอนได้ดึกขึ้น ตี 3 - 4 ตื่นสายได้ตามใจชอบ แรกๆ ก็ ตื่นเที่ยงวันเลย (ช่วงนี้ นอนไวขึ้น ไม่ถึงเที่ยงคืนก็ง่วงแล้ว รู้สึกตัว 7 โมง แล้วก็ตื่น 9-10 โมง)
-เวลาไปไหนสบายๆ ไม่เครียด กับรถติด เพราะไม่มีเรื่องของเวลา เป็นตัวกำกับ และ กรุงเทพเวลาไม่มีรถคิดนี่สวรรค์ชัดๆ อยู่มา 5 ปี เพิ่งนั่งรถสาย 62 ไปสาธุฯ เฮ้ย ถนนแถวนี้สวยจัง (โซนสถานทูตน่ะ)
-ไม่ต้องเครียดว่า จะทำงานส่งไม่ทัน ไม่ต้องทะเลาะกับใคร เรื่องความเห็นไม่ตรงกัน คือผมไฟท์หมด ถ้าเราไม่ตรงกัน เรื่องนี้แหละเลยคิดออกจากงาน เพราะ มันไม่เป็นผลดีต่อองค์กร เราไม่มีสัมมาคารวะ
-เข้าใจเลยว่า ที่เราทำงานเงินเดือน 20000 กว่า เงินหายไปไหน มันหมดกับค่ากินและเดินทางเยอะจริงๆ เพราะตั้งแต่อยู่บ้านทำกับข้าวเอง ประหยัดเงินสุดๆ เข้าใจเลยว่า ทำไมคนที่เขาออกไปอยู่แบบพอเพียง ถึงอยู่กันได้
-มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ช่วงนี้ อ่านหนังสือธรรมะหรือพัฒนาจิตใจ มองโลกในแง่บอกมากขึ้น จากเมื่อก่อนมองในแง่ร้ายตลอด เดี๋ยวนี้เริ่มคิดได้ อย่าเพิ่งตัดสินอะไร ถ้ายังไม่รู้ความจริง ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน พยายามฝึกเรื่อง ขันธ์ 5 ( รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ) อยู่
-อยากช่วยเหลือผู้อื่น อยากเป็นจิตอาสาบ้าง เพราะ ถ้าอ่านจากข้างบน ถ้าทำไปเรื่อยๆ มันจะทำให้ตนเองฝ่อ สังคมแคบลง เคยคิดน่ะ ว่า ต้องรวยเหลือกินเหลือใช้ ถึงจะช่วยคนอื่น แต่ตอนที่ใจมันว่าง มันก็คิดได้ว่า การช่วยเหลือ ทำได้ทันทีในที่เราทำได้
อ่อ ผมมีธุรกิจส่วนที่ทำเล็กๆ น้อย สองอย่างคือ
-ขายสินค้าทางเน็ต
-สั่งสินค้าอิเล็กตามออเดอร์ครับ (ได้ดีลใหญ่ แต่ ไม่แน่นอนครับ แต่อยู่ได้เพราะไม่มีภาระหนี้)
แต่ตั้งแต่ลาออกมา ยังไม่ได้สั่งอะไรมาขายเลย มีแค่ clear ของที่ค้าง stock นิดๆหน่อยๆเองครับ หน้า low ของการขายของด้วยแหละ เลยอยาก พักสมอง ตอนนี้คิดได้ ไม่อยากแสวงหาความร่ำรวยแบบสุดโต่งอีกเลย เอาแค่ ทำแล้วสบายใจ มีเงินใช้ไม่ลำบาก และ เป็นทีพึ่งของคนอื่นได้พอ (แต่ถ้ามันได้ ก็ยินดี)