ปฐมบท
เบญจเพส
เป็นความเชื่อมาช้านาน ว่าเป็นช่วงวัยที่อาจมีเคราะห์ หรือมีเหตุสำคัญในชีวิต จึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเมื่อมีอายุ 25 ปี ฉันเองก็เป็นคนคนหนึ่งที่ชีวิตได้ดำเนินมาจนถึงช่วงวัยแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
ฉันชื่อ “เอมี่” อายุของฉันพวกคุณคงรู้แล้ว แต่ฉันอยากเล่าความเป็นมาของฉันสักเล็กน้อย ฉันก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงแสนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรักกับผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งมาห้าปี เราเจอกันที่ประเทศอเมริกาเมื่อครั้งที่ฉันและเขาเข้าร่วมโครงการ work and travel จากนั้นเราสองคนก็คบหากันอย่างจริงจัง จนกระทั่งฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย จึงได้เดินทางมาอยู่ประเทศออสเตรเลีย สิริรวมเวลาก็สามปีแล้ว
ฉันยังจำวันแรกที่เราสองคนเหยียบย่างบนแผ่นดินโลกใต้นี้ได้เป็นอย่างดี ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เรามีเงินติดตัวมาคนละ 1000 เหรียญและช่วยกันเก็บเล็กผสมน้อยทำมาหากินกันอย่างขยันขันแข็งจนชีวิตความเป็นอยู่ของเราเริ่มดีขึ้น
เราร่วมฝ่าฝันกัน โดยฉันยอมใช้เงินแค่เงินทิป วันละห้าเหรียญสิบเหรียญ เพียงเพื่อต้องการเก็บเงินสร้างตัวให้ได้โดยเร็ว เราแบกเครื่องดูดฝุ่นหนักๆเดินไปทำงานเลิกตีสามตีสี่ แล้วต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน อาจจะไม่ได้กัดก้อนเกลือกิน...แต่มันคือความลำบากที่เราสองคนร่วมฝ่าฟันกันมา
สามีของฉันชื่อ “เคน” เขาเป็นคนธรรมดาที่มีความสุขกับการทำงานหาเงิน เรามีความหวัง ความฝันและความทะเยอทะยานที่อยากมีบ้านมีครอบครัวมีเงินทองเยอะๆในขณะที่เรายังเด็ก เคนเป็นผู้ชายที่ดีมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเจอมา เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่เข้าผับ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เด่นชัดก็คือเขาเป็นคนประหยัดแบบที่ใครหลายคนเรียกว่า ‘งก’ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน เพราะฉันมองว่าการเก็บเงินเก็บทองนั้นดีกว่าจะเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ชีวิตของพวกเราราบเรียบ วันหยุดฉันจะพาเขาไปเที่ยวบ้าง บางครั้งเขาก็จะแค่หยุดอยู่บ้านเพราะเขาทำงานหนัก เขาต้องการพักผ่อน เขาทำงานเช้าเริ่มที่ 7 โมงและจะกลับมาทานข้าวที่บ้านในตอนเที่ยง จากนั้นจะออกไปทำงานที่สองประมาณช่วง บ่าย2 และกลับมาถึงบ้านเที่ยงคืนบ้างตีหนึ่งบ้างแล้วแต่ความยุ่งของร้าน ในขณะที่ฉันเหรอ สบายค่ะ ฉันทำธุรกิจบ้านเช่าคือค่าครองชีพที่นี่แพงมาก เมื่อเราเช่าห้องมาหนึ่งยูนิตเป็นลักษณะสองห้องนอนสองห้องน้ำ เราจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตู้เตียงและหาคนมาแชร์ บ้านหลังหนึ่งจะอยู่กัน 8 คนขึ้นไปเพื่อความประหยัด และเราจะได้กำไรจากส่วนนั้น นั่นคืองานของฉันฉันแค่ดูแลบ้านหลังต่างๆ เก็บเงิน เข้าไปจัดการเรื่องต่างๆน้ำ ไฟ เมื่อมีคนย้ายออกฉันก็ต้องจัดการหาคนมาอยู่แทน โดยที่สามีของฉันเป็นคนทำบัญชีค่ะ
ฟังดูแล้วชีวิตของเราก็ไม่มีอะไรใช่ไหมคะ
จนเมื่อฉันเริ่มเข้าสู่วัยเบญจเพส ความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างได้เกิดขึ้นกับชีวิตฉัน เริ่มจากการที่พ่อแม่ของฉันและสามี ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของพิธีแต่งงาน คือเราสองคนจดทะเบียนสมรสที่ออสเตรเลียโดยที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายรับรู้ จนเมื่อเวลาล่วงเลยมาสู่ปีที่สามของการอยู่ด้วยกัน แม่ของฉันที่เป็นฝ่ายหญิง และแม่ของสามีก็เริ่มพูดคุยกันถึงความจริงจังในการใช้ชีวิตคู่ของเรา ท่านต้องการให้เรากลับไทยมาจัดพิธีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่เรารู้ว่าเรายังไม่พร้อม
ฉันเองก็ยังสนุกกับการใช้ชีวิต ยังอยากจะทำในหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นเดียวกับตัวเขาที่ยังสนุกกับการทำงานหาเงิน เราจึงได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้กับทางผู้ใหญ่มาโดยตลอด เพราะฉันเองก็เคยบอกไว้ว่า อยากจัดงานแต่งงานเมื่อวันที่เราพร้อม ไม่ต้องปากกัดตีนถีบ ไม่ใช่แต่งงานมีลูกแล้วต้องหาเช้ากินค่ำให้มีเงินผ่านไปเป็นมื้อๆ ควรมีความมั่นคงกว่านี้สักหน่อย และเราก็ควรเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ เพราะฉันเองก็ไมใช่คนดีนักเราต่างยังมีข้อเสียที่ต้องแก้ไข
ฉันติดเที่ยวค่ะ
ฉันติดการเข้าสังคม มีเพื่อนฝูง ไปงานวันเกิดเพื่อน ไปดูคอนเสิร์ต ในขณะที่สามีแทบไม่เคยจะเข้าผับเลย เขาไม่ชอบที่เห็นฉันออกไปเที่ยว แต่ฉันก็ให้เหตุผลเขาว่าฉันต้องมีสังคมเพื่อนฝูง การออกไปเที่ยวฉันไม่เคยเมาหัวราน้ำ ทุกครั้งฉันกลับมาถึงบ้านในสภาพที่ปกติดีมากๆ ฉันรู้ตัวนะว่าฉันดื่มแค่ไหนจะเมา ฉันจึงเป็นคนที่มีสติในการดื่ม เน้นไปทางไปเต้นไปสนุกกับเพื่อนฝูงเสียมากกว่า
เขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ เขาไม่ชอบผู้หญิงเที่ยว ฉันก็ยอมลดการเที่ยวเล่นลงไป กลายเป็นสองสามเดือนครั้ง แต่มันก็ยังทำให้เขาไม่พอใจและฉันเองก็ไม่พอใจที่เขาทำไมถึงรับไม่ได้ ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องเสียหาย ฉันไม่เคยไปเที่ยวแล้วนอนกับผู้ชายคนอื่น แค่ไปกับเพื่อนฝูงเท่านั้น
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเราหรอกค่ะ
เราก็มีทะเลาะกันในบางครั้งที่ฉันไปเที่ยวแต่เราก็กลับมาดีกันทุกครั้ง ไม่เคยทะเลาะกันหนักๆจนถึงขั้นขอเลิก เราก็ยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติดี
จนกระทั่งมีคนรู้จักมาชวนสามีของฉันไปเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร...
เราสองคนตื่นเต้นและอยากทำเพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะมีช่องทางทำมาหากิน และอาจมีโอกาสยื่นเรื่องขอเป็นคนทีมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในประเทศนี้แบบถาวรผ่านทางการทำธุรกิจ เรามองว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีจึงตัดสินใจจะถือหุ้นส่วนหนึ่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของอาถรรพ์เบญจเพส
ร้านอาหารเล็กๆของเรามีพนักงานไม่กี่คน หุ้นส่วนจะแบ่งกันเข้ามาทำในขณะที่สามีและฉันดูแลในครัวเรามีเด็กเสริ์ฟหลักหนึ่งคนชื่อ ปุ้ย เธอดูแลหน้าร้านและทำงานอย่างดีไม่มีบกพร่อง และมีพนักงานส่งโฮมดิลิเวอรี่ที่ชื่อ พี่ตั้ม เราทั้งสี่ทำงานปะสานกันเป็นทีมเวิร์คได้อย่างดี จนกระทั่งปัญหาเริ่มเกิดเมื่อฉันตัดสินใจบินกลับไทยไปทำธุระ...ในขณะเดียวกันปุ้ยเองก็ต้องลาออกเพราะย้ายบ้านหลังใหม่แล้วไม่มีใครเลี้ยงลูก เราประกาศรับเด็กเสิร์ฟใหม่ และในตอนนั้นเองที่เราได้รู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อ “จีจี้”
จีจี้ เข้ามาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟโดยที่เธอไม่เคยมีประสบการณ์เสิร์ฟมาก่อน แต่เธอบอกเราว่าเธอเคยไปอเมริกามาด้วยโครงการ work and travel และเธอก็มาที่นี่ด้วยวีซ่า working and holiday ซึ่งวีซ่าตัวนี้คนที่จะขอได้ต้องสอบไอเอลให้ได้ตามกำหนด เราจึงคิดว่าประสบการณ์นั้นสอนกันได้
“แม่ แม่ว่าจีจี้ทำงานเป็นยังไงบ้าง” ลืมบอกไปว่าช่วงนี้แม่ของฉันมาเยี่ยมที่ออสเตรเลียค่ะ และช่วยมาดูแลร้านในระหว่างที่หุ้นส่วนคนหนึ่งของเรากลับไทย
“ก็ยังใหม่นะ แม่ว่าผ่านไปสักพักคงดีขึ้น ตอนนี้แค่ยังนับเงินไม่คล่องแล้วก็ยังคุยกับลูกค้าไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้โอกาสเขาแล้วกันนะ”
ฉันพูดออกไปแบบนั้น ไม่คิดว่าการหวังดีของตัวเองจะทำให้ฉันเป็นชาวนา ที่สงสารและเลี้ยงดูให้โอกาสงูพิษ
ฉันกลับไทยไปโดยที่ในใจนั้นห่วงและกังวล ความรู้สึกเหมือนกับว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นเพียงแต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในวันที่ฉันกำลังเดินทาง สามีถามฉันว่า...เปลี่ยนใจไม่ได้เหรอ ม่กลับได้ไหม ฉันอยากเปลี่ยนใจนะแต่มันเหมือนเรากำลังจะขึ้นเครื่องในอีกไม่กี่ชม.ข้างหน้าแล้ว ฉันจึงบอกเขาว่า
“แค่สามอาทิตย์เอง เดี๋ยวน้องก็กลับมานะคะ”
สามอาทิตย์อาจดูเหมือนสั้นนะคะ แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาทิตย์แรกที่ฉันกลับไทยไปเคนบอกฉันว่าเขาได้งานคลีน(ทำความสะอาด) ทำหลังจากเลิกงาน เขาจะว่างอีกทีประมาณเที่ยงคืน ในใจฉันเป็นห่วงเขาไม่อยากให้เขาทำงานหนัก เพราะไว้ใจจึงไม่เคยระแวดระวังภัย ติดต่อสามีตัวเองไม่ได้สองวันเต็มๆไม่เคยคิดว่าเขาจะหายไปกับใคร...คิดเพียงว่าเกิดอะไรขึ้นเขาบาดเจ็บไหม
ฉันไม่รู้เลยว่าในระหว่างที่สามีหายไป...เขากำลังอยู่กับใครอีกคน
ฉันไม่มีความสุขเลยในเวลาที่อยู่ไทย ใจของฉันเป็นห่วงไม่อยากให้สามีทำงานหนัก
จนกระทั่ง สามวันก่อนที่ฉันจะบินกลับมายังซิดนี่ย์ เราคุยโทรศัพท์กันและเขาถามฉันว่า “น้องรู้สึกไหมว่าระหว่างเรามีบางสิ่งเปลี่ยนไป”
หัวใจของฉันหล่นไปอยู่ปลายเท้า ได้แต่ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในใจหนึ่งคิดว่า เขาล้อเล่น
แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้ล้อเล่น เขาบอกกับฉันว่าความรู้สึกที่มีมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาไม่ได้รักฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขารู้สึกเพียงว่าเราเป็น “พี่น้องกัน”
ฉันน้ำตาไหลพราก ได้แต่บอกเขาว่า เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่นะ
ฉันเข้าใจเลยว่าเสียใจจนกินอะไรไม่ลงเป็นอย่างไร ก่อนจะบินฉันไปค้างบ้านสามีที่กรุงเทพ ประโยคที่พ่อแม่เขาบอกฉันว่า
“ฝากดูแลลูกแม่หน่อยนะ”
“ค่ะ” ฉันยิ้ม มันเป็นคำเพียงคำเดียวที่กว่าจะกลั่นกรองออกมาได้ต้องใช้ความพยายามมากมาย พยายามห้ามไม่ให้น้ำตาไหล ไม่ให้เสียงที่เปล่งออกไปมันสั่นเครือ อยากบอกเหลือเกินว่า...ลูกชายแม่เขาคงไม่ต้องการให้หนูดูแลแล้ว
จนกระทั่งฉันบินกลับมาถึงซิดนี่ย์...ภาพทุกภาพถาโถมเข้าหาฉัน ช่วงเวลาเก่าๆสามปีเต็มๆที่เราใช้ถนนเส้นนี้ เปิดประตูเข้ามาในบ้าน มันเป็นความรู้สึกเดิมที่เคยมีกันทุกวัน แต่วันนี้บ้านมันไม่เหมือนเก่ามันน่าเศร้า เพราะจะไม่มีคำว่าเราอีกแล้ว ฉันร้องไห้ตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งห้าทุ่ม
เป็นเวลาที่เขากลับมา
เรานั่งเคลีย์กัน เขายืนยันเพียงแค่ว่าเขาไม่ได้รักฉันแล้ว แต่เขาจะยังอยู่บ้าน เราจะยังดูแลกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน แต่วันเสาร์เขาต้องไปนอนค้างบ้านเพื่อน เพราะเขาจะไปทำงานร้านขนมปัง ฉันพยายามจะอ่อนข้อให้ได้มากที่สุด พยายามยื้อเขาไว้เพราะแม่สามีบอกว่าช่วงนี้ฉันดวงตก...ให้ผ่านพ้นเดือนเกิดไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
สักพักมีเสียงไลน์เข้ามา เป็นการเอะใจอีกครั้ง แต่ฉันก็นิ่งเงียบและรอให้เขาหลับ ความสงสัยทั้งหมดกระจ่างชัดเมื่อฉันเปิดดูข้อความของเขาคุยติดต่อกับผู้หญิงที่ใช้อีเมลล์
“ll-lil-(ชื่อของมัน)-lil-ll@msn.com”
***ติดตามตอนต่อไป***
****ใครมีวิธีรับมือเมียน้อยร้อย(ล้าน)เล่มเกวียนแบบนี้บ้าง***
เบญจเพส
เป็นความเชื่อมาช้านาน ว่าเป็นช่วงวัยที่อาจมีเคราะห์ หรือมีเหตุสำคัญในชีวิต จึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเมื่อมีอายุ 25 ปี ฉันเองก็เป็นคนคนหนึ่งที่ชีวิตได้ดำเนินมาจนถึงช่วงวัยแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
ฉันชื่อ “เอมี่” อายุของฉันพวกคุณคงรู้แล้ว แต่ฉันอยากเล่าความเป็นมาของฉันสักเล็กน้อย ฉันก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงแสนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรักกับผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งมาห้าปี เราเจอกันที่ประเทศอเมริกาเมื่อครั้งที่ฉันและเขาเข้าร่วมโครงการ work and travel จากนั้นเราสองคนก็คบหากันอย่างจริงจัง จนกระทั่งฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย จึงได้เดินทางมาอยู่ประเทศออสเตรเลีย สิริรวมเวลาก็สามปีแล้ว
ฉันยังจำวันแรกที่เราสองคนเหยียบย่างบนแผ่นดินโลกใต้นี้ได้เป็นอย่างดี ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เรามีเงินติดตัวมาคนละ 1000 เหรียญและช่วยกันเก็บเล็กผสมน้อยทำมาหากินกันอย่างขยันขันแข็งจนชีวิตความเป็นอยู่ของเราเริ่มดีขึ้น
เราร่วมฝ่าฝันกัน โดยฉันยอมใช้เงินแค่เงินทิป วันละห้าเหรียญสิบเหรียญ เพียงเพื่อต้องการเก็บเงินสร้างตัวให้ได้โดยเร็ว เราแบกเครื่องดูดฝุ่นหนักๆเดินไปทำงานเลิกตีสามตีสี่ แล้วต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน อาจจะไม่ได้กัดก้อนเกลือกิน...แต่มันคือความลำบากที่เราสองคนร่วมฝ่าฟันกันมา
สามีของฉันชื่อ “เคน” เขาเป็นคนธรรมดาที่มีความสุขกับการทำงานหาเงิน เรามีความหวัง ความฝันและความทะเยอทะยานที่อยากมีบ้านมีครอบครัวมีเงินทองเยอะๆในขณะที่เรายังเด็ก เคนเป็นผู้ชายที่ดีมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเจอมา เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่เข้าผับ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เด่นชัดก็คือเขาเป็นคนประหยัดแบบที่ใครหลายคนเรียกว่า ‘งก’ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน เพราะฉันมองว่าการเก็บเงินเก็บทองนั้นดีกว่าจะเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ชีวิตของพวกเราราบเรียบ วันหยุดฉันจะพาเขาไปเที่ยวบ้าง บางครั้งเขาก็จะแค่หยุดอยู่บ้านเพราะเขาทำงานหนัก เขาต้องการพักผ่อน เขาทำงานเช้าเริ่มที่ 7 โมงและจะกลับมาทานข้าวที่บ้านในตอนเที่ยง จากนั้นจะออกไปทำงานที่สองประมาณช่วง บ่าย2 และกลับมาถึงบ้านเที่ยงคืนบ้างตีหนึ่งบ้างแล้วแต่ความยุ่งของร้าน ในขณะที่ฉันเหรอ สบายค่ะ ฉันทำธุรกิจบ้านเช่าคือค่าครองชีพที่นี่แพงมาก เมื่อเราเช่าห้องมาหนึ่งยูนิตเป็นลักษณะสองห้องนอนสองห้องน้ำ เราจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตู้เตียงและหาคนมาแชร์ บ้านหลังหนึ่งจะอยู่กัน 8 คนขึ้นไปเพื่อความประหยัด และเราจะได้กำไรจากส่วนนั้น นั่นคืองานของฉันฉันแค่ดูแลบ้านหลังต่างๆ เก็บเงิน เข้าไปจัดการเรื่องต่างๆน้ำ ไฟ เมื่อมีคนย้ายออกฉันก็ต้องจัดการหาคนมาอยู่แทน โดยที่สามีของฉันเป็นคนทำบัญชีค่ะ
ฟังดูแล้วชีวิตของเราก็ไม่มีอะไรใช่ไหมคะ
จนเมื่อฉันเริ่มเข้าสู่วัยเบญจเพส ความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างได้เกิดขึ้นกับชีวิตฉัน เริ่มจากการที่พ่อแม่ของฉันและสามี ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของพิธีแต่งงาน คือเราสองคนจดทะเบียนสมรสที่ออสเตรเลียโดยที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายรับรู้ จนเมื่อเวลาล่วงเลยมาสู่ปีที่สามของการอยู่ด้วยกัน แม่ของฉันที่เป็นฝ่ายหญิง และแม่ของสามีก็เริ่มพูดคุยกันถึงความจริงจังในการใช้ชีวิตคู่ของเรา ท่านต้องการให้เรากลับไทยมาจัดพิธีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่เรารู้ว่าเรายังไม่พร้อม
ฉันเองก็ยังสนุกกับการใช้ชีวิต ยังอยากจะทำในหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นเดียวกับตัวเขาที่ยังสนุกกับการทำงานหาเงิน เราจึงได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้กับทางผู้ใหญ่มาโดยตลอด เพราะฉันเองก็เคยบอกไว้ว่า อยากจัดงานแต่งงานเมื่อวันที่เราพร้อม ไม่ต้องปากกัดตีนถีบ ไม่ใช่แต่งงานมีลูกแล้วต้องหาเช้ากินค่ำให้มีเงินผ่านไปเป็นมื้อๆ ควรมีความมั่นคงกว่านี้สักหน่อย และเราก็ควรเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ เพราะฉันเองก็ไมใช่คนดีนักเราต่างยังมีข้อเสียที่ต้องแก้ไข
ฉันติดเที่ยวค่ะ
ฉันติดการเข้าสังคม มีเพื่อนฝูง ไปงานวันเกิดเพื่อน ไปดูคอนเสิร์ต ในขณะที่สามีแทบไม่เคยจะเข้าผับเลย เขาไม่ชอบที่เห็นฉันออกไปเที่ยว แต่ฉันก็ให้เหตุผลเขาว่าฉันต้องมีสังคมเพื่อนฝูง การออกไปเที่ยวฉันไม่เคยเมาหัวราน้ำ ทุกครั้งฉันกลับมาถึงบ้านในสภาพที่ปกติดีมากๆ ฉันรู้ตัวนะว่าฉันดื่มแค่ไหนจะเมา ฉันจึงเป็นคนที่มีสติในการดื่ม เน้นไปทางไปเต้นไปสนุกกับเพื่อนฝูงเสียมากกว่า
เขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ เขาไม่ชอบผู้หญิงเที่ยว ฉันก็ยอมลดการเที่ยวเล่นลงไป กลายเป็นสองสามเดือนครั้ง แต่มันก็ยังทำให้เขาไม่พอใจและฉันเองก็ไม่พอใจที่เขาทำไมถึงรับไม่ได้ ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องเสียหาย ฉันไม่เคยไปเที่ยวแล้วนอนกับผู้ชายคนอื่น แค่ไปกับเพื่อนฝูงเท่านั้น
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเราหรอกค่ะ
เราก็มีทะเลาะกันในบางครั้งที่ฉันไปเที่ยวแต่เราก็กลับมาดีกันทุกครั้ง ไม่เคยทะเลาะกันหนักๆจนถึงขั้นขอเลิก เราก็ยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติดี
จนกระทั่งมีคนรู้จักมาชวนสามีของฉันไปเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร...
เราสองคนตื่นเต้นและอยากทำเพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะมีช่องทางทำมาหากิน และอาจมีโอกาสยื่นเรื่องขอเป็นคนทีมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในประเทศนี้แบบถาวรผ่านทางการทำธุรกิจ เรามองว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีจึงตัดสินใจจะถือหุ้นส่วนหนึ่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของอาถรรพ์เบญจเพส
ร้านอาหารเล็กๆของเรามีพนักงานไม่กี่คน หุ้นส่วนจะแบ่งกันเข้ามาทำในขณะที่สามีและฉันดูแลในครัวเรามีเด็กเสริ์ฟหลักหนึ่งคนชื่อ ปุ้ย เธอดูแลหน้าร้านและทำงานอย่างดีไม่มีบกพร่อง และมีพนักงานส่งโฮมดิลิเวอรี่ที่ชื่อ พี่ตั้ม เราทั้งสี่ทำงานปะสานกันเป็นทีมเวิร์คได้อย่างดี จนกระทั่งปัญหาเริ่มเกิดเมื่อฉันตัดสินใจบินกลับไทยไปทำธุระ...ในขณะเดียวกันปุ้ยเองก็ต้องลาออกเพราะย้ายบ้านหลังใหม่แล้วไม่มีใครเลี้ยงลูก เราประกาศรับเด็กเสิร์ฟใหม่ และในตอนนั้นเองที่เราได้รู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อ “จีจี้”
จีจี้ เข้ามาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟโดยที่เธอไม่เคยมีประสบการณ์เสิร์ฟมาก่อน แต่เธอบอกเราว่าเธอเคยไปอเมริกามาด้วยโครงการ work and travel และเธอก็มาที่นี่ด้วยวีซ่า working and holiday ซึ่งวีซ่าตัวนี้คนที่จะขอได้ต้องสอบไอเอลให้ได้ตามกำหนด เราจึงคิดว่าประสบการณ์นั้นสอนกันได้
“แม่ แม่ว่าจีจี้ทำงานเป็นยังไงบ้าง” ลืมบอกไปว่าช่วงนี้แม่ของฉันมาเยี่ยมที่ออสเตรเลียค่ะ และช่วยมาดูแลร้านในระหว่างที่หุ้นส่วนคนหนึ่งของเรากลับไทย
“ก็ยังใหม่นะ แม่ว่าผ่านไปสักพักคงดีขึ้น ตอนนี้แค่ยังนับเงินไม่คล่องแล้วก็ยังคุยกับลูกค้าไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้โอกาสเขาแล้วกันนะ”
ฉันพูดออกไปแบบนั้น ไม่คิดว่าการหวังดีของตัวเองจะทำให้ฉันเป็นชาวนา ที่สงสารและเลี้ยงดูให้โอกาสงูพิษ
ฉันกลับไทยไปโดยที่ในใจนั้นห่วงและกังวล ความรู้สึกเหมือนกับว่าบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นเพียงแต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในวันที่ฉันกำลังเดินทาง สามีถามฉันว่า...เปลี่ยนใจไม่ได้เหรอ ม่กลับได้ไหม ฉันอยากเปลี่ยนใจนะแต่มันเหมือนเรากำลังจะขึ้นเครื่องในอีกไม่กี่ชม.ข้างหน้าแล้ว ฉันจึงบอกเขาว่า
“แค่สามอาทิตย์เอง เดี๋ยวน้องก็กลับมานะคะ”
สามอาทิตย์อาจดูเหมือนสั้นนะคะ แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาทิตย์แรกที่ฉันกลับไทยไปเคนบอกฉันว่าเขาได้งานคลีน(ทำความสะอาด) ทำหลังจากเลิกงาน เขาจะว่างอีกทีประมาณเที่ยงคืน ในใจฉันเป็นห่วงเขาไม่อยากให้เขาทำงานหนัก เพราะไว้ใจจึงไม่เคยระแวดระวังภัย ติดต่อสามีตัวเองไม่ได้สองวันเต็มๆไม่เคยคิดว่าเขาจะหายไปกับใคร...คิดเพียงว่าเกิดอะไรขึ้นเขาบาดเจ็บไหม
ฉันไม่รู้เลยว่าในระหว่างที่สามีหายไป...เขากำลังอยู่กับใครอีกคน
ฉันไม่มีความสุขเลยในเวลาที่อยู่ไทย ใจของฉันเป็นห่วงไม่อยากให้สามีทำงานหนัก
จนกระทั่ง สามวันก่อนที่ฉันจะบินกลับมายังซิดนี่ย์ เราคุยโทรศัพท์กันและเขาถามฉันว่า “น้องรู้สึกไหมว่าระหว่างเรามีบางสิ่งเปลี่ยนไป”
หัวใจของฉันหล่นไปอยู่ปลายเท้า ได้แต่ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในใจหนึ่งคิดว่า เขาล้อเล่น
แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้ล้อเล่น เขาบอกกับฉันว่าความรู้สึกที่มีมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาไม่ได้รักฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขารู้สึกเพียงว่าเราเป็น “พี่น้องกัน”
ฉันน้ำตาไหลพราก ได้แต่บอกเขาว่า เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่นะ
ฉันเข้าใจเลยว่าเสียใจจนกินอะไรไม่ลงเป็นอย่างไร ก่อนจะบินฉันไปค้างบ้านสามีที่กรุงเทพ ประโยคที่พ่อแม่เขาบอกฉันว่า
“ฝากดูแลลูกแม่หน่อยนะ”
“ค่ะ” ฉันยิ้ม มันเป็นคำเพียงคำเดียวที่กว่าจะกลั่นกรองออกมาได้ต้องใช้ความพยายามมากมาย พยายามห้ามไม่ให้น้ำตาไหล ไม่ให้เสียงที่เปล่งออกไปมันสั่นเครือ อยากบอกเหลือเกินว่า...ลูกชายแม่เขาคงไม่ต้องการให้หนูดูแลแล้ว
จนกระทั่งฉันบินกลับมาถึงซิดนี่ย์...ภาพทุกภาพถาโถมเข้าหาฉัน ช่วงเวลาเก่าๆสามปีเต็มๆที่เราใช้ถนนเส้นนี้ เปิดประตูเข้ามาในบ้าน มันเป็นความรู้สึกเดิมที่เคยมีกันทุกวัน แต่วันนี้บ้านมันไม่เหมือนเก่ามันน่าเศร้า เพราะจะไม่มีคำว่าเราอีกแล้ว ฉันร้องไห้ตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งห้าทุ่ม
เป็นเวลาที่เขากลับมา
เรานั่งเคลีย์กัน เขายืนยันเพียงแค่ว่าเขาไม่ได้รักฉันแล้ว แต่เขาจะยังอยู่บ้าน เราจะยังดูแลกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน แต่วันเสาร์เขาต้องไปนอนค้างบ้านเพื่อน เพราะเขาจะไปทำงานร้านขนมปัง ฉันพยายามจะอ่อนข้อให้ได้มากที่สุด พยายามยื้อเขาไว้เพราะแม่สามีบอกว่าช่วงนี้ฉันดวงตก...ให้ผ่านพ้นเดือนเกิดไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
สักพักมีเสียงไลน์เข้ามา เป็นการเอะใจอีกครั้ง แต่ฉันก็นิ่งเงียบและรอให้เขาหลับ ความสงสัยทั้งหมดกระจ่างชัดเมื่อฉันเปิดดูข้อความของเขาคุยติดต่อกับผู้หญิงที่ใช้อีเมลล์
“ll-lil-(ชื่อของมัน)-lil-ll@msn.com”
***ติดตามตอนต่อไป***