(ที่มา:มติชนรายวัน 18 ก.ค.2556)
ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ ข่าวรายงานผลการสำรวจทัศนคติของคนไทยที่มีต่อการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ใช้ตัวอย่างไม่มากคือ 2,107 ชุด มีช่วงอายุ 18 ปี และสูงกว่า 18 ปี ใน 17 จังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานคร
เป็นการสำรวจของเอแบคโพลล์ ผลออกมาน่าตกใจ 65.5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำแบบสำรวจตอบว่า รับได้ถ้า
ตนเองก็ได้ประโยชน์ ผู้ชายตอบรับได้ 67.7 เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงน้อยลงมาหน่อย 60.5 เปอร์เซ็นต์
แต่ที่น่าตกใจยิ่งขึ้นคือกลุ่มที่ตอบว่ารับได้สูงสุดคือ ผู้ตอบที่มีอายุระหว่าง 30-39 ปี ตามมาด้วยกลุ่มอายุ
20-29 ปี ชาวไร่ชาวนา 78.9 เปอร์เซ็นต์ นักศึกษามหาวิทยาลัย 73.3 เปอร์เซ็นต์ นายจ้าง 67.1 เปอร์เซ็นต์
และกลุ่มอื่นๆ ก็เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนั้น
ถ้าการสุ่มสำรวจโดยเอแบคโพลล์ทำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ
หรือใกล้เคียงกับทัศนคติของคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาว และกลุ่มคนที่มีการ
ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ก็เป็นข้อมูลที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับอนาคตประเทศและสังคมของเรา
เคยคุยกันกับพรรคพวกมานานเกี่ยวกับเรื่องการเสนอให้สินบนและการทุจริตคอร์รัปชั่น การรับสินบาดคาดสินบน
ในบรรดาประชาชนในทวีปเอเชีย จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะทำอะไรให้ใคร เช่น การไปขอรับ
บริการของรัฐ การขออนุญาตแม้แต่การไปร้องทุกข์กับเจ้าพนักงาน ถ้าไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาก็จะไม่ได้รับบริการ
ที่รวดเร็วหรือไม่ได้รับเลย
เคยได้ยินว่าสิงคโปร์ นำเอาการให้สินบนขึ้นมาบนโต๊ะ คือใครอยากได้บริการรวดเร็วก็เข้าช่องด่วนมาก อีกช่อง
เป็นด่วน ช่องสุดท้ายเป็นช่องธรรมดา โดยเสียค่าธรรมเนียมที่ต่างกัน ใครเข้าช่องด่วนมากค่าธรรมเนียมก็สูง
ด่วนก็ค่าธรรมเนียมปานกลาง ช่องธรรมดา ก็ค่าธรรมเนียมต่ำหรือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเลย
เรื่องอย่างนี้แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก ผู้ให้ต่างก็พอใจจ่าย ผู้รับก็พอใจรับ แต่ยังผิดหลักการอยู่ดี
แต่ที่เป็นเรื่องร้ายแรงคือ ผู้มีอำนาจหรือเจ้ากระทรวงซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนมาบริหารประเทศ มีหน้าที่
ควบคุมระบบบริหารราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งบริษัทเอกชน ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต สะอาด โปร่งใส
มีธรรมาภิบาล แต่กลับเป็นผู้เรียกสินบนเสียเอง
ทัศนคติที่ว่า การเรียกสินบาดคาดสินบนนั้นตนรับได้ถ้าได้ประโยชน์ อาจจะเป็นไปตามความเชื่อมาแต่โบราณ
รวมไปถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อเรื่องผีสางบรรพบุรุษ เทวดาผู้รักษาต้นไม้ แม่น้ำ และ
เทวดาต่างๆ ซึ่งยังตกค้างอยู่ในสังคมไทย แม้ว่าคนไทยจะนับถือศาสนาพุทธ อิสลาม และคริสต์ ซึ่งไม่ได้สอน
ให้ไปบนบานศาลกล่าวเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง แต่สอนให้เชื่อกรรม และเชื่อพระเจ้า พระเจ้าไม่รับสินบน
แต่ศาสนาพราหมณ์ เทวดาทุกองค์ ตั้งแต่องค์ใหญ่ลงมาถึงองค์เล็กต่างก็รับสินบนทั้งนั้น ไม่รับเป็นการบูชายัญ
ด้วยชีวิตสัตว์ ก็ด้วยข้าวของ เงินทอง อาหาร รวมทั้งการร่ายรำ บางครั้งก็ชอบดูการกระทำอนาจาร จึงมีการบน
บานด้วยละคร ระบำ รวมทั้งการกระทำที่ไม่น่าดูดังกล่าว
เราจะเห็นคนไทยไปเสนอสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าสิ่งที่ตนขอนั้นสัมฤทธิผล ซึ่งศาสนาอื่น เช่น อิสลาม หรือคริสต์
เขาจะสวดมนต์วิงวอนเท่านั้น ไม่มีการเสนอสินบน
ด้วยเหตุนี้ การเสนอให้สินบนจึงเป็นเรื่องปกติ อยากได้อะไรก็ไปเสนอสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอำนาจบันดาล
ให้เกิดขึ้นได้
ความเคยชินที่ไม่รู้สึกว่าผิด ที่ตนไปเสนอสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่รู้สึกว่าเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับสินบน แม้
เมื่อนำเอาของหรือสินบนไปถวายหรือเอาไปแก้บน แล้วเทวดาก็รับไว้ ก็ไม่รู้สึกว่าเทวดาผิด
การบนบานดังกล่าวคงไม่ค่อยจะมีใครไปบนบานขอให้ประเทศชาติสังคมโดยส่วนรวม เจริญรุ่งเรืองเพื่อประโยชน์
ของสังคมประชาชาติ แต่เสนอให้สินบนกับผีสางเทวดาเพื่อประโยชน์ของตน ครอบครัวและคนรอบข้างที่ตนรัก
ใคร่เท่านั้น
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็เหมือนกัน แม้ว่าตนจะตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใคร ถ้าเป็นพี่น้องชาวใต้ก็เลือก
พรรคประชาธิปัตย์เพราะเป็นประเพณีมาอย่างนั้น ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นปู่ ถ้าเป็นภาคอีสานและเหนือก็เลือกคนที่
เสนอว่าจะแย่งชิงงบประมาณ นำสาธารณูปโภคหรือผลประโยชน์อย่างอื่นมาให้ คนชั้นสูงในกรุงเทพฯก็เลือก
คนดีมีการศึกษา มีคารมคมคาย ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ใช้งาน เพราะหลังจากเลือกตั้งแล้วก็ไม่เคยพบกันอีกเลย
แต่ทั้งหมด ถ้ามีการเสนอให้สินบนก็รับและไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าไม่มีการให้อะไรบ้าง ไม่พาไปเลี้ยงก็หาว่า
ใจแคบ เป็นคนไม่ดีไปเสียด้วยซ้ำ กลายเป็นวัฒนธรรมที่มองผลประโยชน์ส่วนตนในวงแคบๆ ไป
เคยไปประชุมที่ยุโรป อเมริกา ไม่มีของกำนัลแจก แต่ถ้าไปประชุมในประเทศเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน
ฮ่องกง สิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ญี่ปุ่นและจีน จะมีของกำนัลแพงๆ แจกเป็นสินน้ำใจ ผู้รับและผู้ให้ก็
ไม่รู้สึกอะไร ฝรั่งที่ไปด้วยก็รับของแจก
สำหรับโครงการใหญ่ๆ ที่มีเรื่องสินบนมากๆ เป็นร้อยๆ ล้าน หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ของโครงการ ผู้ให้ก็ยินดีถ้า
ตนได้โครงการหรือได้สัมปทาน เพราะตนก็ผลักเข้าไปเป็นต้นทุนของโครงการในการประมูลแข่งขัน ทุกคน
ก็ใส่เป็นต้นทุนกันหมด แล้วผลักภาระไปให้กับประชาชนผู้รับบริการและไม่รู้สึกเดือดร้อนเพราะมองไม่เห็น
ผลการทำโพลของเอแบค จึงสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยและของเอเชีย อย่างพอเหมาะพอเจาะ ปัญหาการ
ให้การรับสินบนจึงเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศแถบเอเชีย แม้จะมีบทลงโทษอย่างหนัก ถึงขั้นยิงเป้าในจีน และ
เวียดนาม ปัญหานี้ก็ยังคงเป็นปัญหาหนักอยู่ดี
การลงโทษอย่างหนักและเคร่งครัด แม้จะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำก็จริง แต่การเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนก็
เป็นสิ่งที่สำคัญ
การชี้ให้เห็นผลเสียต่อประเทศชาติ เพราะการปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มีผลเสียแก่ประเทศชาติมากกว่า
จำนวนสินบนมากมาย หลายสิบหลายร้อยเท่า เพราะผู้รับสินบนรับไปร้อยล้านบาท แต่ประเทศชาติเสียหายไป
เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทก็ได้
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จะทำไม่ได้ ถ้าสังคมไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ อย่างที่ผลการสำรวจทัศนคติ
ของเอแบคโพลล์
จะตัดตอนอย่างไร กับการเสนอให้สินบนกับเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง สอนให้คนอย่างมงาย ไปกับลัทธิใดลัทธิหนึ่ง
ซึ่งเกิดขึ้นเสมอ จนเจ้าของลัทธิอาศัยผ้าเหลืองของพุทธศาสนา สั่งสอนให้คนงมงาย ยอมจ่ายเงินเป็นร้อยเป็น
พันล้านเพื่อได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตน
เมื่อทัศนคติเปลี่ยนไปว่า การเสนอให้สินบนไม่ว่ากับเทวดา หรือผู้มีอำนาจเป็นสิ่งไม่ดี อาจจะเป็นช่องทางให้
การให้สินบน การฉ้อราษฎร์บังหลวงบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง แต่คงต้องใช้เวลา
การปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ได้แก้ปัญหา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374139922&grpid=&catid=02&subcatid=0207
อ่านที่อ.จ.ดร. โกร่งเขียน แล้วคิดว่ายากไหม ในการแก้ทัศนะคติ และความเชื่อนี้
ถามเพื่อน ที่เข้าประชุมสัมนา ต่างๆ ดูสิว่า ได้รับอะไรเป็นของกำนัลมาบ้าง
บางท่านอาจจะได้ กระเป๋าใส่เอกสารนับ 10 ใบ พร้อมเสื้อแจ็กเก็ต อีกด้วย
หากเป็นการจัดของส่วนราชการ มันคือ ภาษีของเรานะ แต่ถ้าจัดโดยภาคเอกชน
ทั้งหมด ก็คือ ค่าใช้จ่าย ที่เขาต้องเอากลับไปคิดบวก กับต้นทุน ในการผลิต
สินค้า .... มันควรไหม สำหรับค่าใช้จ่ายพวกนี้
เออ...นึกได้อีกอย่าง มันมาจาก "จีน" ใช่ไหม เด็ก เคยได้ยินคำว่า "จิ้มก้อง" ง่ะ
วีรพงษ์ รามางกูร : ทัศนคติที่น่าห่วง ........ มติชนออนไลน์
ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ ข่าวรายงานผลการสำรวจทัศนคติของคนไทยที่มีต่อการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ใช้ตัวอย่างไม่มากคือ 2,107 ชุด มีช่วงอายุ 18 ปี และสูงกว่า 18 ปี ใน 17 จังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานคร
เป็นการสำรวจของเอแบคโพลล์ ผลออกมาน่าตกใจ 65.5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำแบบสำรวจตอบว่า รับได้ถ้า
ตนเองก็ได้ประโยชน์ ผู้ชายตอบรับได้ 67.7 เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงน้อยลงมาหน่อย 60.5 เปอร์เซ็นต์
แต่ที่น่าตกใจยิ่งขึ้นคือกลุ่มที่ตอบว่ารับได้สูงสุดคือ ผู้ตอบที่มีอายุระหว่าง 30-39 ปี ตามมาด้วยกลุ่มอายุ
20-29 ปี ชาวไร่ชาวนา 78.9 เปอร์เซ็นต์ นักศึกษามหาวิทยาลัย 73.3 เปอร์เซ็นต์ นายจ้าง 67.1 เปอร์เซ็นต์
และกลุ่มอื่นๆ ก็เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนั้น
ถ้าการสุ่มสำรวจโดยเอแบคโพลล์ทำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ
หรือใกล้เคียงกับทัศนคติของคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาว และกลุ่มคนที่มีการ
ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ก็เป็นข้อมูลที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับอนาคตประเทศและสังคมของเรา
เคยคุยกันกับพรรคพวกมานานเกี่ยวกับเรื่องการเสนอให้สินบนและการทุจริตคอร์รัปชั่น การรับสินบาดคาดสินบน
ในบรรดาประชาชนในทวีปเอเชีย จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะทำอะไรให้ใคร เช่น การไปขอรับ
บริการของรัฐ การขออนุญาตแม้แต่การไปร้องทุกข์กับเจ้าพนักงาน ถ้าไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาก็จะไม่ได้รับบริการ
ที่รวดเร็วหรือไม่ได้รับเลย
เคยได้ยินว่าสิงคโปร์ นำเอาการให้สินบนขึ้นมาบนโต๊ะ คือใครอยากได้บริการรวดเร็วก็เข้าช่องด่วนมาก อีกช่อง
เป็นด่วน ช่องสุดท้ายเป็นช่องธรรมดา โดยเสียค่าธรรมเนียมที่ต่างกัน ใครเข้าช่องด่วนมากค่าธรรมเนียมก็สูง
ด่วนก็ค่าธรรมเนียมปานกลาง ช่องธรรมดา ก็ค่าธรรมเนียมต่ำหรือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเลย
เรื่องอย่างนี้แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก ผู้ให้ต่างก็พอใจจ่าย ผู้รับก็พอใจรับ แต่ยังผิดหลักการอยู่ดี
แต่ที่เป็นเรื่องร้ายแรงคือ ผู้มีอำนาจหรือเจ้ากระทรวงซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนมาบริหารประเทศ มีหน้าที่
ควบคุมระบบบริหารราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งบริษัทเอกชน ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต สะอาด โปร่งใส
มีธรรมาภิบาล แต่กลับเป็นผู้เรียกสินบนเสียเอง
ทัศนคติที่ว่า การเรียกสินบาดคาดสินบนนั้นตนรับได้ถ้าได้ประโยชน์ อาจจะเป็นไปตามความเชื่อมาแต่โบราณ
รวมไปถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อเรื่องผีสางบรรพบุรุษ เทวดาผู้รักษาต้นไม้ แม่น้ำ และ
เทวดาต่างๆ ซึ่งยังตกค้างอยู่ในสังคมไทย แม้ว่าคนไทยจะนับถือศาสนาพุทธ อิสลาม และคริสต์ ซึ่งไม่ได้สอน
ให้ไปบนบานศาลกล่าวเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง แต่สอนให้เชื่อกรรม และเชื่อพระเจ้า พระเจ้าไม่รับสินบน
แต่ศาสนาพราหมณ์ เทวดาทุกองค์ ตั้งแต่องค์ใหญ่ลงมาถึงองค์เล็กต่างก็รับสินบนทั้งนั้น ไม่รับเป็นการบูชายัญ
ด้วยชีวิตสัตว์ ก็ด้วยข้าวของ เงินทอง อาหาร รวมทั้งการร่ายรำ บางครั้งก็ชอบดูการกระทำอนาจาร จึงมีการบน
บานด้วยละคร ระบำ รวมทั้งการกระทำที่ไม่น่าดูดังกล่าว
เราจะเห็นคนไทยไปเสนอสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าสิ่งที่ตนขอนั้นสัมฤทธิผล ซึ่งศาสนาอื่น เช่น อิสลาม หรือคริสต์
เขาจะสวดมนต์วิงวอนเท่านั้น ไม่มีการเสนอสินบน
ด้วยเหตุนี้ การเสนอให้สินบนจึงเป็นเรื่องปกติ อยากได้อะไรก็ไปเสนอสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอำนาจบันดาล
ให้เกิดขึ้นได้
ความเคยชินที่ไม่รู้สึกว่าผิด ที่ตนไปเสนอสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่รู้สึกว่าเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับสินบน แม้
เมื่อนำเอาของหรือสินบนไปถวายหรือเอาไปแก้บน แล้วเทวดาก็รับไว้ ก็ไม่รู้สึกว่าเทวดาผิด
การบนบานดังกล่าวคงไม่ค่อยจะมีใครไปบนบานขอให้ประเทศชาติสังคมโดยส่วนรวม เจริญรุ่งเรืองเพื่อประโยชน์
ของสังคมประชาชาติ แต่เสนอให้สินบนกับผีสางเทวดาเพื่อประโยชน์ของตน ครอบครัวและคนรอบข้างที่ตนรัก
ใคร่เท่านั้น
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็เหมือนกัน แม้ว่าตนจะตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใคร ถ้าเป็นพี่น้องชาวใต้ก็เลือก
พรรคประชาธิปัตย์เพราะเป็นประเพณีมาอย่างนั้น ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นปู่ ถ้าเป็นภาคอีสานและเหนือก็เลือกคนที่
เสนอว่าจะแย่งชิงงบประมาณ นำสาธารณูปโภคหรือผลประโยชน์อย่างอื่นมาให้ คนชั้นสูงในกรุงเทพฯก็เลือก
คนดีมีการศึกษา มีคารมคมคาย ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ใช้งาน เพราะหลังจากเลือกตั้งแล้วก็ไม่เคยพบกันอีกเลย
แต่ทั้งหมด ถ้ามีการเสนอให้สินบนก็รับและไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าไม่มีการให้อะไรบ้าง ไม่พาไปเลี้ยงก็หาว่า
ใจแคบ เป็นคนไม่ดีไปเสียด้วยซ้ำ กลายเป็นวัฒนธรรมที่มองผลประโยชน์ส่วนตนในวงแคบๆ ไป
เคยไปประชุมที่ยุโรป อเมริกา ไม่มีของกำนัลแจก แต่ถ้าไปประชุมในประเทศเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน
ฮ่องกง สิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ญี่ปุ่นและจีน จะมีของกำนัลแพงๆ แจกเป็นสินน้ำใจ ผู้รับและผู้ให้ก็
ไม่รู้สึกอะไร ฝรั่งที่ไปด้วยก็รับของแจก
สำหรับโครงการใหญ่ๆ ที่มีเรื่องสินบนมากๆ เป็นร้อยๆ ล้าน หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ของโครงการ ผู้ให้ก็ยินดีถ้า
ตนได้โครงการหรือได้สัมปทาน เพราะตนก็ผลักเข้าไปเป็นต้นทุนของโครงการในการประมูลแข่งขัน ทุกคน
ก็ใส่เป็นต้นทุนกันหมด แล้วผลักภาระไปให้กับประชาชนผู้รับบริการและไม่รู้สึกเดือดร้อนเพราะมองไม่เห็น
ผลการทำโพลของเอแบค จึงสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยและของเอเชีย อย่างพอเหมาะพอเจาะ ปัญหาการ
ให้การรับสินบนจึงเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศแถบเอเชีย แม้จะมีบทลงโทษอย่างหนัก ถึงขั้นยิงเป้าในจีน และ
เวียดนาม ปัญหานี้ก็ยังคงเป็นปัญหาหนักอยู่ดี
การลงโทษอย่างหนักและเคร่งครัด แม้จะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำก็จริง แต่การเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนก็
เป็นสิ่งที่สำคัญ
การชี้ให้เห็นผลเสียต่อประเทศชาติ เพราะการปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มีผลเสียแก่ประเทศชาติมากกว่า
จำนวนสินบนมากมาย หลายสิบหลายร้อยเท่า เพราะผู้รับสินบนรับไปร้อยล้านบาท แต่ประเทศชาติเสียหายไป
เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทก็ได้
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จะทำไม่ได้ ถ้าสังคมไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ อย่างที่ผลการสำรวจทัศนคติ
ของเอแบคโพลล์
จะตัดตอนอย่างไร กับการเสนอให้สินบนกับเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง สอนให้คนอย่างมงาย ไปกับลัทธิใดลัทธิหนึ่ง
ซึ่งเกิดขึ้นเสมอ จนเจ้าของลัทธิอาศัยผ้าเหลืองของพุทธศาสนา สั่งสอนให้คนงมงาย ยอมจ่ายเงินเป็นร้อยเป็น
พันล้านเพื่อได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตน
เมื่อทัศนคติเปลี่ยนไปว่า การเสนอให้สินบนไม่ว่ากับเทวดา หรือผู้มีอำนาจเป็นสิ่งไม่ดี อาจจะเป็นช่องทางให้
การให้สินบน การฉ้อราษฎร์บังหลวงบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง แต่คงต้องใช้เวลา
การปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ได้แก้ปัญหา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374139922&grpid=&catid=02&subcatid=0207
อ่านที่อ.จ.ดร. โกร่งเขียน แล้วคิดว่ายากไหม ในการแก้ทัศนะคติ และความเชื่อนี้
ถามเพื่อน ที่เข้าประชุมสัมนา ต่างๆ ดูสิว่า ได้รับอะไรเป็นของกำนัลมาบ้าง
บางท่านอาจจะได้ กระเป๋าใส่เอกสารนับ 10 ใบ พร้อมเสื้อแจ็กเก็ต อีกด้วย
หากเป็นการจัดของส่วนราชการ มันคือ ภาษีของเรานะ แต่ถ้าจัดโดยภาคเอกชน
ทั้งหมด ก็คือ ค่าใช้จ่าย ที่เขาต้องเอากลับไปคิดบวก กับต้นทุน ในการผลิต
สินค้า .... มันควรไหม สำหรับค่าใช้จ่ายพวกนี้
เออ...นึกได้อีกอย่าง มันมาจาก "จีน" ใช่ไหม เด็ก เคยได้ยินคำว่า "จิ้มก้อง" ง่ะ