KEY POINTS
งานวิชัยสภาผู้บริโภคชี้ว่าต้นตอค่ารักษาพยาบาลเอกชนที่แพงไม่ใช่ค่ายา ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 5% แต่เป็น "ค่าธรรมเนียมแพทย์" ที่มีสัดส่วนสูงถึง 45% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ค่าธรรมเนียมแพทย์ที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากการปรับอัตราตามคู่มือของแพทยสภาในปี 2563 ซึ่งทำให้ค่ารักษาพยาบาลโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากค่าแพทย์ ยังพบค่าใช้จ่ายอื่นที่สูงเกินจริง เช่น ค่าห้องพักที่อาจสูงถึง 12,000 บาทต่อคืน และค่าวัสดุทางการแพทย์
สภาผู้บริโภคเสนอให้มีการกำหนด "ราคากลาง" สำหรับค่ารักษาพยาบาล และเรียกร้องให้แพทยสภามีส่วนร่วมในการควบคุมค่าธรรมเนียมแพทย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ท่ามกลางความหวังของประชาชน หลังกระทรวงพาณิชย์จับมือกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เตรียมเปิดทางให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาไปซื้อจากภายนอกโรงพยาบาลได้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพได้ถึง 32,400 ล้านบาทต่อปีและเป็นการลดต้นทุนเวชภัณฑ์จำเป็นอีก 1,100 ล้านบาท
การเคลื่อนไหวนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ สภาผู้บริโภค มองว่าเป็นการควบคุมค่ารักษาพยาบาลครั้งสำคัญ
นางสาวสารี อ่องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจว่า ความพยายามในการควบคุม "ค่ายา" เป็นเพียงการจัดการกับยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะต้นตอที่แท้จริงของค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินจริง กลับมาจากค่าใช้จ่ายอีกหมวดหนึ่งที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด นั่นคือ ‘ค่าธรรมเนียมแพทย์’
เปิดงานวิจัยพบค่ายาแค่ 5% แต่ ‘ค่าหมอ’ พุ่งเกือบครึ่ง
งานวิจัยของสภาผู้บริโภคระบุว่า ผลการศึกษาค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) ประจำปี 2565 โดยสภาผู้บริโภค ชี้ให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของโครงสร้างราคาอย่างชัดเจน
ค่าใช้จ่ายหมวดค่ายา มีมูลค่าเพียงร้อยละ 4.97 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม ค่าใช้จ่ายหมวดค่าบริการวิชาชีพ (ซึ่งส่วนใหญ่คือ ค่าธรรมเนียมแพทย์) กลับมีมูลค่าสูงที่สุดถึงร้อยละ 45.23 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่า "ค่าธรรมเนียมแพทย์" คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนมีมูลค่าสูง และเมื่อเทียบกับข้อมูลปี 2561 พบว่า ค่าใช้จ่ายหมวดค่าบริการวิชาชีพมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากร้อยละ 30.65 มาสู่ร้อยละ 45.23 ในปี 2565
การพุ่งขึ้นนี้ งานวิจัยสภาผู้บริโภคระบุว่า น่าจะเกิดจากการปรับอัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ตาม คู่มือแนวทางการกำหนดค่าธรรมเนียมแพทย์ พ.ศ. 2563 ที่ประกาศโดยแพทยสภา ซึ่งทำให้ค่าธรรมเนียมแพทย์เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ ร้อยละ 30 และส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมดเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 13.5
"เรื่องค่าตอบแทนแพทย์เสนอว่า ควรมีการประสานกับแพทยสภาให้กำหนดค่าตอบแทนแพทย์ในระดับกลาง ไม่ใช่อัตราสูงสุดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์ควรดึงแพทยสภาเข้ามามีส่วนร่วมด้วย" : นางสาวสารี กล่าวเสนอ
ชี้เป้า "ค่าห้อง 1.2 หมื่นบาท/คืน" และการเรียกเก็บเกินจริงที่ไม่ใช่ยา
นางสาวสารี เน้นย้ำว่า แม้รัฐบาลจะเริ่มกำกับดูแลค่ายาแล้ว แต่สิ่งที่ต้องเข้มงวดเพิ่มเติมคือ การกำหนดระบบราคาค่ารักษาพยาบาลที่เป็น ‘ราคากลาง’ เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนยังคงคิดราคาแพงเกินจริงในหลายส่วนที่มิใช่ยาและเวชภัณฑ์
ค่าห้องพัก: ค่าห้องบางแห่งมีราคาสูงถึงประมาณ 12,000 บาทต่อคืน
ค่าวัสดุทางการแพทย์: มีการชาร์จราคาเวชภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์แพงเกินจริง แม้กระทั่งวัสดุพื้นฐานอย่างผ้าก๊อซหรือสำลี อาจถูกคิดเป็นราคาซื้อเป็นแพ็ก ทั้งที่ใช้ไปเพียงเล็กน้อย
นอกจากปัญหาด้านราคาแล้ว เลขาสภาผู้บริโภค ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับอำนาจต่อรองของผู้ป่วย เช่น แพทย์หลายคนยังขอร้องให้คนไข้ซื้อยาในโรงพยาบาล รวมถึงปัญหาการเรียกเก็บเงินในกรณีฉุกเฉิน โดยตีความว่าอาการผู้ป่วยไม่วิกฤตพอ หรือการให้ผู้ป่วยยอมรับเป็นหนี้ก่อนออกจากโรงพยาบาลหากยังไม่มีเงินจ่าย
แนะ "แพทยสภา" ต้องเข้ามาทำหน้าที่
งานวิจัยของสภาผู้บริโภค ตั้งคำถามต่อกลไกที่ทำให้ค่าธรรมเนียมแพทย์พุ่งสูง นั่นคือบทบาทของ แพทยสภา ในฐานะผู้กำหนดคู่มืออัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ (ฉบับล่าสุด พ.ศ. 2563) พร้อมกับตั้งข้อสังเกตและข้อชวนคิดสำคัญ 4 ประการ ที่บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง
1. ขาดกฎหมายรองรับ มีการตั้งคำถามว่า แพทยสภาควรเป็นผู้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมแพทย์หรือไม่ เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือกฎหมายใด ๆ รองรับ และบทบาทของแพทยสภาในการกำหนดอัตราดังกล่าว ควรทำหน้าที่ในฐานะผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของแพทย์ หรือพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน
2.โครงสร้างคณะกรรมการที่เอียงข้าง คณะอนุกรรมการที่จัดทำอัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ชุดเดิม มีบุคลากรด้านวิชาชีพแพทย์เป็นหลัก ซึ่งสภาผู้บริโภคเตือนว่า อาจมีอคติในการพิจารณาได้ จึงควรมีตัวแทนภาคประชาชน นักเศรษฐศาสตร์ และกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมด้วย
3.การกำหนดราคาที่ผิดหลักเศรษฐศาสตร์ อัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ถูกกำหนดจากการ สำรวจอัตราที่มีการเรียกเก็บอยู่แล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการสำรวจตลาดฝั่งอุปทาน (Supply) โดยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ บริการสุขภาพเป็นสินค้าที่แพทย์เป็นผู้ตัดสินใจเลือกบริการให้ผู้รับบริการ ทำให้ราคาถูกกำหนดโดยแพทย์แต่ฝ่ายเดียว การควบคุมตามหลักเศรษฐศาสตร์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
"การควบคุมให้ค่าธรรมเนียมแพทย์มีความสมเหตุผลและไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อประชาชนมากจนเกินควร น่าจะเป็น ก้าวแรกของการควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน เพื่อลดปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพงในภาพรวม" เลขาสภาผู้บริโภคสรุป
เพิ่มเติม 15.20 น. รูปจาก FB
ตัวแรก Tempra 500mg ข้างนอกขายที่เม็ดละประมาณ 10 บาทบวกลบ ในโรงพยาบาลเอกชนใน กทม. ขายเม็ดละ 55 บาท
ตัวที่สอง Paramed 325mg ข้างนอกขายที่เม็ดละประมาณ 7 บาทบวกลบ ในโรงพยาบาลเอกชนใน กทม. ชายเม็ดละ 13.50 - 15 บาท
ตัวที่สาม Ceemol 325mg ข้างนอกขายที่เม็ดละประมาณ 1 บาท ในโรงพยาบาลเอกชนใน กทม. ขายเม็ดละ 7-8 บาท
ตัวที่สี่ Sara 500mg ข้างนอกขายที่เม็ดละประมาณ 1.50 บาท บวกลบ ในโรงพยาลเอกชนใน กทม. ขายเม็ดละ 4.50- 5.50 บาท
สภาผู้บริโภค ผ่าปัญหา 'ค่ารักษารพ.เอกชนแพง' ไม่ใช่ค่ายา แต่เป็นค่าหมอ