ในที่สุด ผมก็เลือกที่จะขายรถ .. เพื่อเอาเงินก้อนมาปิดหนี้บัตรเครดิต .. รู้สึกใจ หวิว ๆ

ใจจริง ๆ เลยก็คือ .. ผมแค่อยากจะปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด .. แต่ด้วยความที่จำนวนหนี้มันเยอะ .. ผมต้องหาเงินก้อนมาเยอะมาก

จะขอยืมใครก็ไม่กล้า .. จะไปกู้ ธนาคารก็ไม่ให้กู้ เพราะผมรับเงินเดือนเป็นเงินสด (ทุกวันนี้ก็ยัง งง ว่า แล้วผมสมัครบัตรเครดิตผ่านได้งัยฟะ กสิกรด้วยนะ)

ทุกวันนี้ ภาระหลัก ๆ ก็มีค่าผ่อนรถ และ ค่าบัตรเครดิต ที่ต้องผ่อนทุก ๆ เดือน .. เงินเก็บ ก็มีพอมีเหลือบ้าง (ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย)

แต่รู้สึก ตึง ๆ มือ .. ใช้จ่ายไม่ค่อยสะดวก .. เพราะเงินเดือนออกมา ผมต้องหักเงินไว้สำหรับ ค่ารถ และ ค่าบัตรเครดิต .. หักเงินเก็บสำรองฉุกเฉิน

ที่เหลือ ก็ไว้ใช้จ่่ายในแต่ละเดือน ก็พอได้อยู่

ทีนี้ ด้วยความที่ ผมอยากจะเคลียร์หนี้บัตรเครดิต .. ผมก็ลองประกาศขายรถตามเว็บต่าง ๆ ดู เผื่อฟลุ๊ค

ลงไว้หลายวัน ก็ยังไม่มีมาดูรถจริง ๆ ซักคน (มีแต่โทร.มาถามข้อมูลคร่าว ๆ)

จนวันนี้ แหละ มีลูกค้ามาดูถึงที่ .. ลูกค้าชอบรถเลยตัดสินใจซื้อดาวน์ แล้วผ่อนต่อ

ใจจริง ผมอยากจะขายเงินสด .. แต่ลูกค้าอยากเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้เป็นทุนทำธุรกิจ เลยขอซื้อดาวน์ แล้วเปลี่ยนสัญญาผ่อนต่อ

ลูกค้าก็ถามผมนะ .. ว่าทำไมถึงขายรถ จะซื้อรถคันใหม่หรอ .. ผมก็บอกลูกค้าไปตรง ๆ ว่า .. เรื่องรถคันใหม่ คงอีกซักพักใหญ่ .. แต่อันดับแรก ผมจะเอาก้อนไปปิดหนี้บัตรเครดิตก่อน .. ผมเลยตัดสินใจขายรถ .. ถ้าผมไม่เป็นหนี้บัตรเครดิต ผมจะไม่ขายรถเด็ดขาด

ตอนนี้ ผมเลยยิ่งมั่นใจว่า .. เจ้าของธนาคาร หรือ คนที่ซื้อหุ้นธนาคาร ทำไมถึงรวยเอา ๆ .. เพราะแค่ดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตจากลูกค้าทั้งประเทศ ก็บานเบอะแล้ว .. ยังไม่รวมดอกเบี้ยจากเงินกู้ทำธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ เลยนะ  (พวกเรามาซื้อหุ้นธนาคารกันเถอะ ^^ )

ถามว่า เงินดาวน์มากพอจะปิดหนี้บัตรเครดิตได้ทั้งหมดมั๊ย .. คำตอบ คือ ไม่ทั้งหมด .. แต่ก็เหลืออีกไม่เท่าไหร่ ที่เหลือ ผมจัดการผ่อนเองได้ (เพราะอย่างน้อย ก็ไม่ต้องมีภาระค่ารถที่ต้องผ่อนอีกต่อไปแล้ว)

พอคิดถึง ตอนที่เราจะได้เงินดาวน์จากลูกค้า เพื่อมาโปะหนี้บัตรเครดิต แล้วเดือนหน้า ผมก็ไม่ต้องผ่อนรถอีกแล้ว .. รู้สึกใจ หวิว ๆ โล่ง ๆ บอกไม่ถูก

จะว่าสบายใจ ก็ใช่ เพราะไม่ต้องผ่อนรถอีกแล้ว เงินเหลือเก็บก็จะมากขึ้นอีก โอกาสที่จะปิดหนี้บัตรเครดิต ก็เร็วขึ้นไปอีก

แต่อีกใจ ก็เสียดายรถ .. เพราะตอนเรามีรถ .. เราไปเที่ยวไหนก็ได้ เรามีอิสระ .. เวลาจีบหญิง พาหญิงไปเที่ยวไหนก็สามารถไปได้เลย

บางครั้ง ก็รู้สึกตัวเองดูมั่นคง มีรถขับ ดูมีอนาคต เพราะมีอย่างน้อยก็มีทรัพย์สิน (ทรัพย์สินจอมปลอม เพราะมีรถแล้ว แต่รายได้เท่าเดิม)

คือ พอมีรถ แล้วรายได้ไม่เพิ่ม เพราะผมไม่ได้ใช้รถไปหารายได้เสริม .. แต่ผมมีรถไว้เพื่อความสะดวกในการเดินทาง .. แต่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถ มันไม่ได้มีแค่ค่าผ่อน เพราะยังมี ค่าซ่อมบำรุง , ค่าภาษี , ค่าประกันภัย .. ซึ่งเป็นรายจ่ายแบบ Fix Cost ซะด้วย .. ส่วนค่าซ่อมบำรุง ผมก็ต้องสำรองเงินเผื่อไว้อีก .. ผมเลยรู้สึกว่า  มีรถ = มีลด (คือ เงินลดลง)  จริง ๆ ด้วยแฮะ

วันนี้ ก็ไปทานข้าวกับผู้หญิงที่ผมจีบ .. ก็บอกเค้าไปตรง ๆ ว่า วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะใช้รถ .. เพราะตัดสินใจขายรถไปแล้ว

ต่อไป คงไม่สามารถมาหา หรือ ไปรับ ไปส่ง ได้อีก .. เพราะขายรถ เพื่อจะเอาไปเคลียร์หนี้บัตรเครดิตให้หมดเร็ว ๆ

แล้วพอเคลียร์หนี้สินทุกอย่างหมดแล้ว .. ค่อยเก็บเงินซื้อรถใหม่ แต่คงซื้อ Eco Car มาใช้แทน เพราะประหยัดน้ำมัน แล้วราคาก็ถูก .. แต่คงใช้เวลาซักพักใหญ่ กว่าจะตัดสินใจซื้อรถอีกครั้ง (คือ ตอนนี้ ผมยังไม่จำเป็นต้องใช้รถ เพราะกิน-นอน ที่บริษัทเลย .. แต่ต่อไปอนาคต ถ้าต้องย้ายที่ทำงาน อาจจำเป็นต้องใช้รถ ถึงเวลานั้น ค่อยว่ากันอีกที)

ด้วยความที่ ผู้หญิงคนนี้ ผมก็เริ่มจีบด้วยแหละ ยังไม่สนิทอะไรมากเท่าไหร่ แต่ผมก็พูดไปตรง ๆ แล้วก็เผื่อใจไว้แล้ว .. เพราะผมก็ยอมรับว่า สมัยนี้ ผู้ชายไม่มีรถ จีบหญิงลำบากมาก

แต่ท้ายที่สุด ผมก็ต้องเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้ซะก่อน

ส่วนจะซื้อรถคันใหม่ หรือ จะเก็บเงินเอาไว้ลงทุนใน หุ้น ยามโอกาสเอื้ออำนวย หรือ อาจจะทำธุรกิจส่วนตัว .. ก็ค่อยดูสถานการณ์อีกที .. เพราะผมคิดเสมอว่า ..

"การไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ" .. ซึ่งผมก็คิดว่า หลายคน คงเห็นด้วยกับประโยคนี้

แล้วผมก็เชื่อด้วยว่า .. "Cash is King" .. ไม่มีหนี้ แล้วมีเงินสดสำรองไว้เสมอ .. สามารถใช้ได้จริงในทุกสถานการณ์ .. ไม่ว่าคุณจะเป็น เจ้าของกิจการ , ทำธรุกิจส่วนตัว , นักลงทุน  หรือ  มนุษย์เงินเดือน



ขอบคุณ ทุก ๆ ความเห็นมากครับ ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่