โดนคนเอาส้นเข็มมาเจาะหลังเท้าอย่างแรง แถมธอยังโทรเม้ากับเพื่อนว่า "คนที่โดนแม่.งซวยว่ะ ดูดิน้ำตามันไหลด้วย...ฯลฯ&qu

เหตุเกิดบนรถไฟฟ้าใต้ดินของเย็นวันหนึ่งซึ่งผ่านมาไม่กี่วันนะคะ
คนก็แน่นพอควรแต่ก็ไม่ได้แน่นแบบอัดกระป๋อง
มีสาวออฟฟิศนางหนึ่งใส่ส้นเข็มเดินคุยมือถือเข้ามาแล้วก็คุยแบบไม่จับราวใด ๆ
พอรถเบรกจอด เธอทรงตัวไม่อยู่ ส้นเข็มของเธอกระแทกเจาะมาบนหลังเท้าเราอย่างแรง
แรงจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดได้ยินกันทั้งโบกี้ แต่พอดีร้องออกมาแบบฝรั่งดัง Ouch!
นางก็บอกว่า sorry แบบขอไปที แล้วเดินหนีห่างออกไปคุยในมือถือกับเพื่อนต่อ อีกช่วง 2-3 คนคั่นแต่ได้ยินชัดแจ๋ว

นางเล่าให้เพื่อนนางในมือถือฟังว่า

"เฮ้ย มืง ก ูเหยียบต่างชาติที่เป็นเอเชียคนนึงว่ะ ก ูสะเพร่าหรือมันซวยกันแน่วะ แต่ก ูว่าแม่มซวยว่ะ"

ด้วยความที่เรามันเจ็บและปวดกับแผลมาก เลือดบนหลังเท้าก็ไหล แล้วน้ำตาก็ไหล
แต่ไม่พยายามมองหน้าเธอ เพราะคิดว่าถ้ามอง หน้าเธอคงฝังลงไปในจิตเราอย่างแน่นหนาและให้อภัยยากกว่าไม่เห็นหน้าแน่นอน
เลยไม่ไปพูดอะไรกับเธอ ได้แต่ยืนดูแผลและพยายามอโหสิกรรมให้เธอ เพราะคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจอยากให้เกิดขึ้นหรอก

นางก็เล่าให้เพื่อนฟังต่อว่า "ดูดิ มันคงเจ็บมากว่ะ น้ำตามันไหลเลยอ่ะ"

เห็นจิตตอนนั้นเลย จากที่เจ็บที่เท้า มันมาเจ็บที่ใจแทน หลังจากพูดอโหสิกรรมไปใจไปกว่า 20 ครั้ง

แล้วนางก็พูดต่อว่า "เนี่ย เชื่อมะ เดี๋ยวมันต้องเอาเรื่องก ูไปเขียนในบล็อคด่าคนไทยแน่เลยว่ะ"

เราก็ได้แต่ฟัง ไม่ได้พูดอะไรออกมาซักคำตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้น
ก็ฝึกขันติบารมีของราไป ถือว่าเราชดใช้ให้เธอหมดแล้วในชาตินี้

แล้วป้ายหน้าก็ถึงสถานีที่เราลงพอดี แล้วเธอก็ยังพูดกับเพื่อนขึ้นมาอีกรอบว่า

"เนี่ย เชื่อดิ ก ูว่า มันต้องเขียนเรื่องนี้ด่าคนไทยในบล็อคแน่นอน"

เรื่องจบเพียงเท่านี้ แล้วเราก็เดินกระเผลกจากเธอไปพร้อมกับแผลที่ปวดลึกลงไปในใจ โดยไม่ได้หันไปมองหน้าเธอแม้แต่น้อย

เล่าให้เพื่อนพ้องฟัง ทุกคนหงุดหงิดและผิดหวังกับการกระทำของเรามาก
ตามด้วยคำว่า "ถ้าเป็นชั้น ชั้นจะ......" หรือ "เป็นชั้นหน่อยไม่ได้....."
ทุกคนบอกตรงกันว่าจริง ๆ แล้วเราน่าจะพูดอะไรที่เป็นภาษาไทยออกไปหน่อย
อย่างน้อยก็ทำให้เธอสำนึกว่าหรือฉุกคิดได้ว่า สิ่งที่เธอทำมันไม่ถูก ให้บทเรียนเธอตรงนั้นเลย
เพราะเหมือนเธอไม่ได้รู้สึกผิดกับการเอาส้นเข็มมาเจาะหลังเท้าเราแม้แต่น้อย

ถ้าเธอคิดว่าเราเป็นคนไทย เธอคงเม้ากับเพื่อนว่า
เชื่อดิ เดี๋ยวมันต้องมาตั้งกระทู้ใน pantip แน่เลย  
เราเลยมาจัดกระทู้นี้ให้เธอ ตามความตั้งใจของเธอ
ซึ่งหวังว่ามันจะกระตุกสามัญสำนึกของเธอได้บ้าง หลังจากที่เราพลาดการให้บทเรียนกับเธอ ณ เวลานั้น

ก็ต้องขอขอบคุณเธอแล้วกัน ที่ทำให้เราฝึกขันติบารมีและอภัยทาน(ซึ่งยังอภัยไม่หมด เพราะถ้าหมด เราคงไม่มาตั้งกระทู้นี้ตามแรงยุของกองเชียร์น่ะนะ)

------------------------------------------

ขอบคุณและน้อมรับทุกความคิดเห็นนะคะ เราได้เข้ามาตอบอีกครั้งในความคิดเห็นที่ 154 นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 154
สวัสดีค่ะ จขกท เองนะคะ
เราไม่ได้หายไปไหนค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
เราไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นกระทู้แนะนำที่เป็นกระแสขนาดนี้ค่ะ
เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพียงเพื่ออยากให้ผู้หญิงคนนั้นได้มาอ่านแล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า การกระทำของเธอนั้นไม่ถูกต้อง
และไม่อยากให้เธอไปก่อกรรมแบบนี้กับใครอีกในอนาคต
และเราก็ได้เห็นแล้วว่า
คนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่ามันไม่ถูกต้อง
มิใช่เพียงความเห็นส่วนตัวของเราผู้ถูกกระทำเพียงคนเดียว

ถามว่าเรื่องจริงรึเปล่า ทำไมประโยคที่เธอพูดมันชวนดราม่าจัง
อันนี้เราคงบังคับให้ใครเชื่อไม่ได้
จะรู้ก็เพียงบุคคลที่พูดและเพื่อนของเธอที่รับฟังในมือถือ
รวมถึงผู้อยู่ในเหตุการณ์ 10 กว่าคนข้างเคียงที่ได้ยินบทสนทนาของเธอเท่านั้น

เรื่องที่บอกว่าเอาธรรมะมาอ้างนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของแต่ละคนค่ะ
เพราะแต่ละคน มีปฏิกริยาตอบโต้กับเหตุการณ์เฉพาะหน้าช่วง 2 สถานีรถไฟฟ้าไม่เหมือนกัน
แต่เหตุการณ์ ณ ตอนนั้น เราก็คิดและแสดงออกตามจริตของเรา คือพยายามอโหสิกรรมและให้อภัยเธอ
เราเห็นจิตของเราว่าตอนนั้นมันโกรธ ไม่พอใจ แต่พอเรารู้เท่าทันจิตของเรา รู้ว่าเรากำลังโกรธ
ความโกรธของเราก็ลดลงไปเกินครึ่งเลยค่ะ แล้วมาเอาสติมาจดจ่อกับเท้าของเราแทน

เราไม่อยากจะมองหน้าเธอ เพราะเรายังไม่ได้ให้อภัยเธออย่างสมบูรณ์
เราเลือกที่จะนิ่ง และให้เราชดใช้เธอไปแล้วในชาตินี้ ไม่ต้องติดค้างกันข้ามภพ ข้ามชาติ
เรารู้ตัวว่า ถ้าเรามองหน้าเธอ แล้วเจอเธออีก เราก็จะรู้สึกแย่กับเธอ
เพราะเราขึ้นรถไฟฟ้าเวลานี้กลับบ้านทุกวัน แล้วอาจจะเป็นเวลาเดียวกับเธอเหมือนกัน

ด้วยความอ่อนด้อยในการฝึกสติ เจริญภาวนาของเรา
เรายังมิอาจวางอัตตาของเรา จากที่เธอพูดนินทาเราได้
จิตเราเลยจดจำทุกคำพูดที่เธอพูดกระทบตัวเราได้อย่างแม่นยำ
แทนที่จะได้ยินที่หูแล้วจบลงที่หู ไม่ให้มันเข้ามากระทบใจของเรา

แล้วการที่เราเอามาโพสในนี้้ ก็แสดงถึงการไม่ให้อภัยเธอ
ทั้ง ๆ ที่เราจริง ๆ แล้วเรารู้สึกดีมากที่ตอนนั้นเราเลือกที่จะฝึกขันติและสติของเราไม่ให้ทำตามกิเลสของเราคือการหันมองเธอและพูดกับเธอเป็นภาษาไทย
ถ้าเธอไม่ได้นินทาเรา กระทู้นี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะจิตเราตอนนั้นก็ได้กำลังพยายามให้อภัยเธอไปแล้ว
แต่ติดตรงที่ว่า เหตุการณ์ในตอนนั้นเราไม่ได้ทำอะไร
ถึงเราเล่าให้เพื่อนฟัง เธอก็ไม่มีทางรู้ คิดได้เมื่อสาย เลยเอามาโพสในนี้เธอน่าจะเข้ามาอ่าน

แต่ตอนนี้ มันเป็นการขาดสติของเราที่เราไม่รู้จักปล่อยวางมันลง
เหมือนอย่างที่ครูอ้อย ฐิตินาถพูดให้หนังสือเข็มทิศชีวิตว่า

"คนที่เค้าทำให้เราเจ็บปวด เปรียบเสมือน เค้าเอามีดมาแทงเราเพียงครั้งเดียว
แต่ถ้าเรายังไม่ให้อภัยและปล่อยวาง เวลาเราคิดถึงเรื่องนี้อีก ก็เหมือนกับที่เรา หยิบมีดเล่มนั้น มาแทงตัวเองซ้ำแล้ว ซำอีก ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักพอ"

เราทำตามกิเลสอันหยาบหนาของเราที่ยังไม่ให้อภัยเธอโดยการมาตั้งกระทู้นี้
จริงอยู่ว่าการระงับความโกรธได้นั้น เป็นเพียงสภาวะชั่วคราว
เพราะในใจยังมีความโกรธแฝงตัวอยู่ และพร้อมที่จะระเบิดออกมาอีกเมื่อถูกกระตุ้น
แต่การให้อภัย หมายถึง ไม่เหลือเชื้อแห่งความโกรธในใจของเราอีกเลย

เราขาดปัญญาพิจารณาให้รอบคอบว่า
กระทู้นี้มันไม่ได้สร้างประโยชน์อันใดคนที่เข้ามาอ่านและยังความโกรธแค้น ขุ่นเคืองใจของผู้ที่เข้ามาอ่านเป็นวงกว้าง

ขอน้อมรับผิดในการโพสกระทู้นี้ของเรา และเรายิ่งรู้สึกผิดที่ได้เป็นกระทู้แนะนำซึ่งได้เบียดเบียนกระทู้ที่มีประโยชน์อื่น ๆ ไม่ให้ขึ้นอีกมาด้วย
เราไม่ได้โลกสวย แต่ก็คงบังคับให้ทุกคนเชื่อเราไม่ได้ เพราะขนาดความคิดของตัวเอง เรายังบังคับไม่ได้เลย ประสาอะไรกับความคิดของคนอื่น

ขอให้กระทู้นี้และจิตของเราทุกคนเป็นเพียงก้อนหินที่โยนลงน้ำไป
ทำให้น้ำสั่นสะเทือนเป็นวงกว้าง
แต่เพียงไม่นาน น้ำก็กลับมานิ่งสงบเหมือนเดิม

หลังจากกระแสของกระทู้นี้จางหายไป เราจะให้อภัยเธอให้อย่างสมบูรณ์
ซึ่งแน่นอน การให้อภัยคนที่ไม่เคยเห็นหน้า ย่อมง่ายกว่าเราได้เห็นหน้าอยู่แล้ว
และอภัยทาน เป็นทานที่มีอานิสงค์สูง เพราะทำได้ยากที่สุด
เหมือนหนังสือของคุณดังตฤณที่ว่า

"มนุษย์เราเคยชินที่จะ ‘เอาเข้าตัว’ แทนที่จะ  ‘สละออก’ ซึ่งเป็นอาการที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกันทั้งนั้น"
หากเราทำได้ มันก็เป็นผลดีกับตัวเอง  คือการตัดภพได้  เราไม่ต้องไปตามจองเวรใครอีก

ดังนั้น เราหวังเพียงว่า เธอคนนั้นจะได้อ่านและปรับปรุงตัวของเธอ
เพราะการที่เราทำผิดแล้วไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด มันร้ายแรงว่า การที่รู้ว่าผิด แต่ก็ยังทำหลายเท่านัก

สุดท้ายนี้
ถ้าคุณอ่านข้อความของเราแล้วได้เรียนรู้อะไรดี ๆ จากสิ่งที่เราพิมพ์ลงไปบ้าง
เราขออนุโมทนา สาธุกับทุกท่านด้วยค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 39
ถ้าเป็นป้านะ

ป้าจะเอามั่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาเพื่อน

แล้วพูดโทรศัพท์ในระดับที่คิดว่านางได้ยิน ว่า

"เดี๋ยวเธอมารับเราที่สถานีรถไฟฟ้า... หน่อยได้ไหม พาเราไปหามอหน่อย"
เว้นจังหวะประมาณเพื่อนถามว่า เป็นอะไร

"พอดีโดนคนมารยาททรามบนรถไฟฟ้า คุยโทรศัพท์ไม่ยอมจับราว เสียหลักมาเหยียบน่ะ"
"ส้นเข็มซะด้วยนะ ตอนนี้ขาเราเป็นรูเลยอะ"

เว้นจังหวะประมาณ เพื่อนถามว่าแล้ว  นางว่ายังไง

"นางก็ไม่ว่ายังไงหรอก นางคิดว่าเราเป็นคนต่างชาติ นินทาเรากับเพื่อนนางในโทรศัพท์ใหญ่เลย"
"ไม่คิดจะสนใจหรอกว่าขณะนี้เลือดเราไหลแล้ว"
"แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวเธอมารับเราแล้วกันนะ"

ปิดท้ายด้วยประโยคที่เสียงดังและเข้มกว่าเดิมนิดหน่อย

"โชคดีนะวันนี้ที่นางเหยียบคนไทย ถ้าวันนี้นางเหยียบคนต่างชาติ คนได้อายเค้าไปทั่วเอเชียแน่"

// วางสาย ทำหน้าตาเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เชื่อไหมว่า นางเปลี่ยนขบวนแน่
ความคิดเห็นที่ 19
ส้นเข็ม อย่างงี้ต้องเจอซ่นตรีนนน!!!
ความคิดเห็นที่ 42
ส่วนหนึ่งคุณไม่สู้คนด้วยนะคะ ถ้าคุณกล้าเงยหน้าบอกว่า โทษนะคะคนไทย น่าจะมีมารยาทกันบ้าง เอาให้มันหน้าหงายไปเลย ถ้าเราโดนรังแกแล้วไม่ตอบโต้กลับ ตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายมานั่งเจ็บใจ คุณจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยหรอ เสียใจไม่พอใจอะไรบางอย่างก็มานั่งระบายในเฟส ในพันทิป


ถ้าเป็นเราเอง ผู้หญิงคนนั้นจบไม่สวยแน่ ขอโทษแล้วก็หายกัน แต่อย่ามาจิกหัวเรียกเราว่ามัน เราไม่ชอบ
ความคิดเห็นที่ 28
เราเคยโดนเหยียบบนรถเมล์ค่ะ กำลังจะลงจากรถเมล์ เหมือนคนเหยียบจะไม่รู้สึก เหยียบมาซะเต็มหลังเท้าเราเลย
เราเลยตะโกนลั่นรถเมล์เลย
"เหยียบตรีนค่ะ"

เธอคงจะอาย รีบวิ่งลงรถเมล์เลย คิดในใจตอนนั้น น่าจะถีบลงไปแทนให้หายโมโห เหยียบตรีนคนอื่นซะขนาดแล้วยังทำเหมือนไม่รู้สึก ไม่ขอโทษอีก
ความคิดเห็นที่ 158
ขอโทษนะคะจะบอกว่าเรื่องเล่า ไม่เนียน ค่ะ

เว่อร์ไปป่ะ คนเรานะ ต่อให้นิสัยไม่ดีแค่ไหน คือจะทำอย่างที่ จขกท เล่าเหรอคะ
ที่จะมาแสดงกิริยาและพูดจาแบบนั้น ท่ามกลางผู้คน บ้าปะ! ข้าตัวตายชัดๆ ไม่สมเหตุสมผลเลย  
คุณบอกเอง ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนี่ย คุณร้องเสียงดัง จนคนสนใจเลยนะ แล้วแบบมาพูด
"เฮ้ย มืง ก ูเหยียบต่างชาติที่เป็นเอเชียคนนึงว่ะ ก ูสะเพร่าหรือมันซวยกันแน่วะ แต่ก ูว่าแม่มซวยว่ะ"

>> ประจานตัวเองเหรอท่ามกลางผู้คนเนี่ยนะ ต่อให้นิสัยไม่ดียังไงก็คงจะมีแอ๊บรักษาหน้าตัวเองบ้าง จะมาพูดประโยคฆ่าตัวตายท่ามกลางผู้คนเนี่ยนะ (แล้วเหตุการณ์ที่คุณเจอ คงไม่ได้มีแค่คุณกะเขาเท่านั้น มันมีคนนอกที่ร่วมรับรู้ด้วย บอกได้ยินทั้งโบกี้ แถมยังมีเลือดไหลอีก  )  แถมยังมี

"ดูดิ มันคงเจ็บมากว่ะ น้ำตามันไหลเลยอ่ะ"  

ไหนบอกว่า ไม่ก้มหน้าก้มตาไงคะ ไหงนางเห็นน้ำตาคุณได้คะ  

แล้วคือแค่ประโยค Ouch!
ถามทุกคนเลยนะคะ แค่ประโยคนี้นะคะ ตรรกะง่ายๆๆ เลย คนสามัญชนธรรมดาทั่วไป ถ้าคุณได้ยินประโยคนี้ประโยคเดียว มันทำให้เราคิดว่า คนนั้นเป็นคนต่างชาติเลยเหรอคะ  ไม่มีทางอะ ถ้าคุณไม่หน้าตาฝรั่งจ๋าเลย ยังไงก็ไม่มีทางที่จะทำให้คิดไปได้ว่าคุณคือคนต่างชาติ


บอกว่า เพิ่งโดนเหยียบได้ไม่นาน จะรังเกียจไหมคะ ถ้าดิฉันจะขอดูภาพถ่ายบาดแผลหรือรอยช้ำของคุณ(ที่ถ่ายคู่กับหนังสือพิมพ์ฉบับปัจจุบัน นะคะ เดี๋ยวเอาภาพอื่นมาแอบอ้าง)  ถ้าโดนส้นรองเท้าเหยียบจนเลือดไหลขนาดนั้น แผลหรือรอยช้ำน่าจะยังอยู่นะคะ

ดิฉันเข้าใจ สิ่งทื่คุณอยากนำเสนอนะคะ คุณอาจจะสร้างนิยายดราม่ามา จุดประสงค์อาจจะเพื่อให้คนมีมารยาทในการใช้รถไฟฟ้า แต่การสร้างเรื่องหลอกลวงกันมันก็ไม่ดีอยู่ดี  สังคมเรามีแต่เรื่องแบบนี้เยอะมาก  สร้างเรื่องหลอกลวงกัน เพื่ออะไรคะ บางทีสร้างเรื่องโน่นเรื่องนี้ขึ้นมาหลอกลวงกัน
(บางเคสเสียเงิน เสียทอง)
แล้วคนพวกนั้นก็คอยหัวเราะอยู่หลังคีย์บอร์ดว่าทำสำเร็จ ฟินมาก ได้แจกหญ้าให้คนอื่นเล่นๆ
หลอกให้คนหลงเชื่อเห็นใจ  เป็นตุเป็นตะ คนที่เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจก็ต้องมาเสียเวลาตอบกระทู้แบบนี้  เฮ้อออ


ดิฉันพร้อมขอโทษนะคะ ในสิ่งที่ดิฉันกล่าวหาคุณ ถ้าหากคุณสามารถพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่ยกเมฆมาเล่า

ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่