ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/30613272
ตอนที่ 4
http://pantip.com/topic/30646279
ตอนที่ 3...
แซนดี้เป็นโฮส ที่ทางโรงเรียนจัดหามาให้ ตามความประสงค์ที่เราร้องขอหลังจากสมัครเรียนเรียบร้อยแล้ว นางจะดูแลเรื่องที่หลับที่นอน
อาหารการกิน เช้าและเย็น (มื้อกลางวันเราดูแลตัวเอง) โฮสแต่ละบ้านก็มีวิธีดูแลเด็กนักเรียนต่างชาติที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับข้อตกลง
ระหว่างเจ้าบ้าน กับ สมาชิกคนใหม่ในบ้านอย่างเรา บางบ้านปล่อยเด็กเที่ยวเล่นตามสบาย บางบ้านรับ-ส่ง พาไปเที่ยวต่างรัฐ
บางบ้านให้ช่วยเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน บางบ้านรักเด็กต่างชาติเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ส่งเรียนจนจบปริญญาสูงๆก็มี โรงเรียนจะปล่อยให้เด็ก
อยู่กับโฮสสักระยะ และจะประเมินความพอใจทั้งเด็กนักเรียน และโฮสแฟมิลี่ภายหลัง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $200/สัปดาห์ ถ้านายอยากจ่าย
เป็นรายเดือนเขาก็ไม่ขัด จะจ่ายสดกับตัวโฮส หรือ รูดปรื๊ดดด ๆ กับทางโรงเรียนก็มีค่าเท่ากัน นายขอเปลี่ยนโฮสได้ หากรู้สึกอึดอัด
หรือลำบากใจ
บ้านหลังใหม่ของเรานี้ปลูกอยู่บนเนินไม่สูงนัก ย่าน Redondo Beach ใน LA เจ้าของบ้านชื่อ นางแซนดี้ เอฟ. หญิงสูงวัยหัวใจซิ่ง
ชาวอเมริกัน รูปร่างค่อนข้างท้วม สูงใหญ่ หลังตรง ตาน้ำขาว ผมสีทองตัดสั้นทะมัดทะแมง แซนดี้หย่าขาดจากสามีนานมากแล้ว
จึงรับดูแลนักเรียนต่างชาติ แก้เหงาครั้งละ 1 คน ตัวเราเองเป็นเด็กคนที่ 9 แต่เป็นนักเรียนไทยคนแรกที่อยู่บ้านหลังนี้ แซนดี้ชอบ
วาดภาพ ดูหนัง และทำอาหาร บ้านหลังนี้จึงมีเพียง เรา เขา และ หมาหนึ่งตัว (เจ้าเคที่) ที่ฟังภาษาอังกฤษเก่งกว่าเราหลายเท่านัก
นางขับ Volvo คันใหญ่ ซิ่งกระชากใจ ใครขับไม่ได้ดั่งใจ นางบีบแตรด่าาาา แล้วทำหน้าเฉยๆ
นางพาเราไปซื้อโทรศัพท์ แบบเหมาจ่ายรายเดือน สำหรับการใช้งานระหว่างประเทศทั้งค่าโทร และส่งข้อความ ไม่มีอั้น
จากนั้นพาไปเปิดบัญชีธนาคาร สอนการใช้รถเมล์ ขึ้น-ลงให้ตรงป้าย สอนอ่านตารางเวลาและสายรถเมล์ พาไปแนะนำตัว
ให้ครูใหญ่ที่โรงเรียนรู้จัก แจ้งให้ทราบว่านักเรียนที่รักเดินทางมาถึงแล้ว ครูจับเราสอบวัดระดับทางภาษา และไล่กลับบ้าน
ให้เตรียมตัวมาเข้าคลาสในวันเปิดเรียน
การอยู่ร่วมกันครั้งนี้ จึงต้องทำความรู้จักมักจี่ให้ดู๋ดี๋กันเสียก่อน เพื่อลดความลำบากในการปรับตัวซึ่งกันและกัน
อีฝ่ายเราไม่รอช้า ขอออกตัวล้อฟรี...ควันโขมง...ฝุ่นตลบ ว่า เรามาจากครอบครัวเล็กๆที่มีเพียง พ่อ-แม่-เรา และ พี่ชาย
อีพี่ชายก็ทำงานต่างประเทศ ไปๆ กลับๆ เวลาส่วนใหญ่พ่อกับแม่ก็จะมีแต่เรา
แซนดี้นั่งฟังตาปริบๆ...
เราเป็นเด็กเลี้ยงยาก ร้องไห้ง่าย ไม่กินเนื้อ ไม่กินผัก ไม่กินเผ็ด และไม่ชอบทำอาหาร จนแม่เอ่ยปากว่า
ถ้าเราเกิดก่อน พี่ชายคงไม่มีโอกาสได้เกิด ชะ ชะ ชะ อุแหม่ ๆ เราตบเข่าฉาดดดดดดใหญ่ ทำไม๊....ทำไม กูไม่เกิดก่อนซะว๊าาาา
จะได้เป็นลูกคนเดียวให้ปราดเปรียวแก่นเซี๊ยวในหัวใจ
พ่อยังสอนอยู่เป็นประจำว่า มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องต้องรักกันมากๆนะ ถ้าไม่รักกันแล้วใครจะมารักเรา ไอ้เราก็กระหยิ่มยิ้มดีใจ
ฮิฮิฮิ โชคดีนี้เป็นของกู อีพี่ชายมักเอามือปิดหู แหกปากร้อง อูยยยยย ๆ ๆ ๆ..........กู นี่ สิ โคดด ซวยยยย
ถ้าพี่ชายกลับเมืองไทยในวันศุกร์ จะมายืนรอน้องสาวสุดรักที่ออฟฟิศ พยักหน้ากิ๊กๆ “ป่ะบ๊วย...ไปเที่ยวกัน”
ฝั่งอีนังน้องไม่มีรอ ได้เวลาอ้อล้ออีกครั้ง ตังค์อยู่ครบ เย้...... เที่ยวเตร่ ตะเร็ดๆ กลับเข้าบ้านมาวันอาทิตย์ เดินปิดๆหน้า
ไอ้สองพี่น้องกลัวจะโดนด่า แม่เปิดประตูออกมาทักเราสองว่า........................มาหาใครคะ? งี้!!
ผู้อ่านคงนึกแปลกใจหล่ะสิคะ โหยยยยย นี่เมิงพูดอธิบายฝรั่งได้ขนาดนี้ เมิงเก่งมากแล้วหล่ะ
แต่....ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย
เราก็กระท่อน กระแท่นอธิบายนาง พูดๆไป งูๆปลาๆ จับ is, am, are, what, where, when, why สาดใส่หน้านางไปมั่วๆ
เดี๋ยวนางก็คงจับศัพท์ตัวไหน มาตัด s ทิ้ง มาเติม ed ใส่ในช่องว่างของประโยคเราให้ถูกต้องได้เองแหละ...เนอะ
อาศัยภาษามือช่วยอย่างหนัก วาดภาพในอากาศบ้าง เขียนรูปบนโต๊ะบ้าง สะกดคำให้นางฟังเลยก็มี นี่ถ้าไม่เกรงใจนางนะ
เรากะว่าจะลุกขึ้น เต้นลีดเดอร์โชว์นางซัก 3 เพลงเชียร์ให้สาแก่ใจกูเลยหล่ะ (ปูเป้-อภิชาติ เพื่อนสาวจากดาวอังคาร หล่อนเคยบอกไว้ว่า
ผลดีที่ซ้อมเต้นเชียร์ลีดเดอร์อย่างหนัก จะเกิดประโยชน์กับเราขึ้นสักวันหนึ่ง หล่อนคงหมายถึงวันนี้นี่เอง)
โอ๊ยยยย....พูดภาษาอังกฤษนะ ทำไมมันเมื่อยแขนอย่างเน๊......เนี่ยยยย
นายจ๋าาา ภาษาอังกฤษอ่ะ ชนะมันได้ ง่ายนิดเดียว ตัดความอาย ขายความกล้า อย่ากลัวการออกเสียง กลัวผิด กลัวเพี้ยน กลัวนั่นกลัวนี่
ฝรั่งก็ไม่เข้าใจเราสักที แต่ถ้านายพยายามสื่อสาร ฝรั่งเค้าก็พยายามเข้าใจเช่นกัน เราก็เคยวิ่งหนีฝรั่งมาก่อน แต่วันนี้ วิ่งไปไหนไม่ได้อ่ะดิ
เลยต้องพูดๆๆทุกวัน จากที่เคยกลัวๆ ก็ลืมไปเลยว่าเคยกลัว พูดจนได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่จากฝรั่ง คำว่า SHUT UP (หุบปาก) กันเลยทีเดียว
เห็นม๊ะ....อย่างน้อยก็ได้เรียนเพิ่มอีก 1 คำ
เราหันหน้ามองแซนดี้อีกที นางนั่งเอามือกุมขมับ ทำปากขมุบขมิบเรียกหาพระเจ้า “oh my god… โอ้ มาย ก้อด ช่วยฉันที ฉันจะอยู่
กับเด็กไทยคนนี้ได้จริงๆใช่หรือไม่” แซนดี้คงอยากใช้เวลากับตัวเองสักครู่ คิดถึงรถซีตรอง คือมองแล้วตรองดู
จึงเอ่ยปากบอกออกคำสั่งสุดหรู...
“กูกินอะไร ... เมิงต้องกินให้ได้ด้วย”
“ถ้าไม่กินผัก ก็ต้องหัดกินให้เป็น”
“ไปเที่ยวไหน กลับเมื่อไหร่ ก็ต้องโทรบอก”
“เข้าใจตรงกันนะ...เอาหล่ะ...ขึ้นไปนอนได้” งี้ ....แซนดี้รวบรัดตัดความ........ว๊ายยยย นางแรงใส่ช๊านนนนนนน แระนายเอ๋ยยย
เราก็เดินอึนๆ ขึ้นห้องนอน ซ้ายห้องนาง ขวาห้องเรา ต่างมีห้องน้ำในตัวเสร็จสรรพ ภายในห้องมีไฟสีนวลๆ จากโคมไฟหัวเตียง 2 อัน
มองดูสลัวๆทำให้เกิดจินตนการ เราเคยถามนางว่า...
“ทำไมไม่ติดไฟนีออนแจ้งๆ สีแจ่มๆ มองชัดๆหล่ะ”
“เห็นอะไรที่ชัดเกินไป มันไม่เป็นศิลปะ” ...นางตอบมาอย่างนี้ (อ่ะ...'ปะก็ 'ปะ ว่าไงก็ว่าตามกัน)
เรามีปัญหาเรื่องปรับเวลานอนเล็กน้อย ช่วงแรกๆเลยนอนเกือบเช้าอยู่หลายคืน วันสองวันที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนะ แต่คืนนี้นี่สิ
มันแปลกๆแฮะ รู้สึกอากาศมันหนาวววว พิกล เรานั่งเล่น internet ก๊อกๆแก๊กๆ ไปเรื่อย จนเกือบๆตี 4 แล้ว...
ต้องหันขวับ!! ตามสันชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องหันตามเสียงที่แทรกผ่านความเงียบทันที...
โคร่กกกกกกกกก… เสียงกดชักโครกดังออกมาจากในห้องน้ำอ่ะ (คุณผู้อ่านคะ เสียงชักโครกเนี่ยมันเขียนยังไงอ่ะ 5555)
เฮ้ยยยย...ใครวะ นี่กูอยู่ในห้องคนเดียวนี่หว่า หันมองประตูหน้าห้องก็ล็อคอยู่
ซ่าาาาาาาาาาาา...เสียงน้ำไหลจากฝักบัวอย่างแรงงงงงง
อ๊ายยยย... ใครใช้ห้องน้ำกูวะนั่น ใครกันจ๊ะ ที่เดินทะลุกำแพงเข้าไปใช้ห้องน้ำได้โดยไม่ต้องเปิดประตู
เราลุกพรวดดด จากเก้าอี้ ก้าวเท้า ฉับๆ ๆ มายืนหน้าประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ในใจคิด....ผีแน่ๆ ผีชัวร์ๆ ถ้ากูเปิดเข้าไปแล้วเห็น
พลังงานบางอย่างยืนอาบน้ำอยู่ กูจะทำยังไงเนี่ย เสียงที่ได้ยินมันชัดเจนมากกกก มากขนาดที่สมองสั่งงานตัวเองได้ว่า
“บ๊วยจ๊ะ เมิงโดนผีหลอกนะจ๊ะ”
หันไปมองนาฬิกา ตี 4 ตรงเป๊ะ พอดิบพอดี ทำไงดีๆๆๆ ผีอ่ะ...มีผีใช้ห้องน้ำอ่ะ ทำไงดีๆๆวะ วิ่งออกไปหาแซนดี้ นางจะเชื่อมั๊ย
ทันใดนั้น มีเสียงก๊อกน้ำที่เป็นโลหะ คล้ายทองเหลือง ดัง... กึ่กๆๆ แล้วเสียงน้ำก็หยุดไหล แต่ความกลัวในหัวใจ พุ่งปรี๊ดด
เกือบทะลุปรอทแระ
เราดีดดดดตัวเอง กระเด้งผึ๋งงงง ขึ้นเตียง คลุมโปงอย่างไวว่อง คว้าโทรศัพท์ข้างๆหมอน กดโทรกลับเมืองไทย
โทรหาใครดีวะกู ใครดีๆ ๆ ใครที่พอจะช่วยได้....
- เกี้ยมบ๊วย
ทำไมอยากไปอยู่เมืองนอก?? (ตอนที่ 3)
ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/30646279
ตอนที่ 3...
แซนดี้เป็นโฮส ที่ทางโรงเรียนจัดหามาให้ ตามความประสงค์ที่เราร้องขอหลังจากสมัครเรียนเรียบร้อยแล้ว นางจะดูแลเรื่องที่หลับที่นอน
อาหารการกิน เช้าและเย็น (มื้อกลางวันเราดูแลตัวเอง) โฮสแต่ละบ้านก็มีวิธีดูแลเด็กนักเรียนต่างชาติที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับข้อตกลง
ระหว่างเจ้าบ้าน กับ สมาชิกคนใหม่ในบ้านอย่างเรา บางบ้านปล่อยเด็กเที่ยวเล่นตามสบาย บางบ้านรับ-ส่ง พาไปเที่ยวต่างรัฐ
บางบ้านให้ช่วยเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน บางบ้านรักเด็กต่างชาติเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ส่งเรียนจนจบปริญญาสูงๆก็มี โรงเรียนจะปล่อยให้เด็ก
อยู่กับโฮสสักระยะ และจะประเมินความพอใจทั้งเด็กนักเรียน และโฮสแฟมิลี่ภายหลัง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $200/สัปดาห์ ถ้านายอยากจ่าย
เป็นรายเดือนเขาก็ไม่ขัด จะจ่ายสดกับตัวโฮส หรือ รูดปรื๊ดดด ๆ กับทางโรงเรียนก็มีค่าเท่ากัน นายขอเปลี่ยนโฮสได้ หากรู้สึกอึดอัด
หรือลำบากใจ
บ้านหลังใหม่ของเรานี้ปลูกอยู่บนเนินไม่สูงนัก ย่าน Redondo Beach ใน LA เจ้าของบ้านชื่อ นางแซนดี้ เอฟ. หญิงสูงวัยหัวใจซิ่ง
ชาวอเมริกัน รูปร่างค่อนข้างท้วม สูงใหญ่ หลังตรง ตาน้ำขาว ผมสีทองตัดสั้นทะมัดทะแมง แซนดี้หย่าขาดจากสามีนานมากแล้ว
จึงรับดูแลนักเรียนต่างชาติ แก้เหงาครั้งละ 1 คน ตัวเราเองเป็นเด็กคนที่ 9 แต่เป็นนักเรียนไทยคนแรกที่อยู่บ้านหลังนี้ แซนดี้ชอบ
วาดภาพ ดูหนัง และทำอาหาร บ้านหลังนี้จึงมีเพียง เรา เขา และ หมาหนึ่งตัว (เจ้าเคที่) ที่ฟังภาษาอังกฤษเก่งกว่าเราหลายเท่านัก
นางขับ Volvo คันใหญ่ ซิ่งกระชากใจ ใครขับไม่ได้ดั่งใจ นางบีบแตรด่าาาา แล้วทำหน้าเฉยๆ
นางพาเราไปซื้อโทรศัพท์ แบบเหมาจ่ายรายเดือน สำหรับการใช้งานระหว่างประเทศทั้งค่าโทร และส่งข้อความ ไม่มีอั้น
จากนั้นพาไปเปิดบัญชีธนาคาร สอนการใช้รถเมล์ ขึ้น-ลงให้ตรงป้าย สอนอ่านตารางเวลาและสายรถเมล์ พาไปแนะนำตัว
ให้ครูใหญ่ที่โรงเรียนรู้จัก แจ้งให้ทราบว่านักเรียนที่รักเดินทางมาถึงแล้ว ครูจับเราสอบวัดระดับทางภาษา และไล่กลับบ้าน
ให้เตรียมตัวมาเข้าคลาสในวันเปิดเรียน
การอยู่ร่วมกันครั้งนี้ จึงต้องทำความรู้จักมักจี่ให้ดู๋ดี๋กันเสียก่อน เพื่อลดความลำบากในการปรับตัวซึ่งกันและกัน
อีฝ่ายเราไม่รอช้า ขอออกตัวล้อฟรี...ควันโขมง...ฝุ่นตลบ ว่า เรามาจากครอบครัวเล็กๆที่มีเพียง พ่อ-แม่-เรา และ พี่ชาย
อีพี่ชายก็ทำงานต่างประเทศ ไปๆ กลับๆ เวลาส่วนใหญ่พ่อกับแม่ก็จะมีแต่เรา
แซนดี้นั่งฟังตาปริบๆ...
เราเป็นเด็กเลี้ยงยาก ร้องไห้ง่าย ไม่กินเนื้อ ไม่กินผัก ไม่กินเผ็ด และไม่ชอบทำอาหาร จนแม่เอ่ยปากว่า
ถ้าเราเกิดก่อน พี่ชายคงไม่มีโอกาสได้เกิด ชะ ชะ ชะ อุแหม่ ๆ เราตบเข่าฉาดดดดดดใหญ่ ทำไม๊....ทำไม กูไม่เกิดก่อนซะว๊าาาา
จะได้เป็นลูกคนเดียวให้ปราดเปรียวแก่นเซี๊ยวในหัวใจ
พ่อยังสอนอยู่เป็นประจำว่า มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องต้องรักกันมากๆนะ ถ้าไม่รักกันแล้วใครจะมารักเรา ไอ้เราก็กระหยิ่มยิ้มดีใจ
ฮิฮิฮิ โชคดีนี้เป็นของกู อีพี่ชายมักเอามือปิดหู แหกปากร้อง อูยยยยย ๆ ๆ ๆ..........กู นี่ สิ โคดด ซวยยยย
ถ้าพี่ชายกลับเมืองไทยในวันศุกร์ จะมายืนรอน้องสาวสุดรักที่ออฟฟิศ พยักหน้ากิ๊กๆ “ป่ะบ๊วย...ไปเที่ยวกัน”
ฝั่งอีนังน้องไม่มีรอ ได้เวลาอ้อล้ออีกครั้ง ตังค์อยู่ครบ เย้...... เที่ยวเตร่ ตะเร็ดๆ กลับเข้าบ้านมาวันอาทิตย์ เดินปิดๆหน้า
ไอ้สองพี่น้องกลัวจะโดนด่า แม่เปิดประตูออกมาทักเราสองว่า........................มาหาใครคะ? งี้!!
ผู้อ่านคงนึกแปลกใจหล่ะสิคะ โหยยยยย นี่เมิงพูดอธิบายฝรั่งได้ขนาดนี้ เมิงเก่งมากแล้วหล่ะ
แต่....ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย
เราก็กระท่อน กระแท่นอธิบายนาง พูดๆไป งูๆปลาๆ จับ is, am, are, what, where, when, why สาดใส่หน้านางไปมั่วๆ
เดี๋ยวนางก็คงจับศัพท์ตัวไหน มาตัด s ทิ้ง มาเติม ed ใส่ในช่องว่างของประโยคเราให้ถูกต้องได้เองแหละ...เนอะ
อาศัยภาษามือช่วยอย่างหนัก วาดภาพในอากาศบ้าง เขียนรูปบนโต๊ะบ้าง สะกดคำให้นางฟังเลยก็มี นี่ถ้าไม่เกรงใจนางนะ
เรากะว่าจะลุกขึ้น เต้นลีดเดอร์โชว์นางซัก 3 เพลงเชียร์ให้สาแก่ใจกูเลยหล่ะ (ปูเป้-อภิชาติ เพื่อนสาวจากดาวอังคาร หล่อนเคยบอกไว้ว่า
ผลดีที่ซ้อมเต้นเชียร์ลีดเดอร์อย่างหนัก จะเกิดประโยชน์กับเราขึ้นสักวันหนึ่ง หล่อนคงหมายถึงวันนี้นี่เอง)
โอ๊ยยยย....พูดภาษาอังกฤษนะ ทำไมมันเมื่อยแขนอย่างเน๊......เนี่ยยยย
นายจ๋าาา ภาษาอังกฤษอ่ะ ชนะมันได้ ง่ายนิดเดียว ตัดความอาย ขายความกล้า อย่ากลัวการออกเสียง กลัวผิด กลัวเพี้ยน กลัวนั่นกลัวนี่
ฝรั่งก็ไม่เข้าใจเราสักที แต่ถ้านายพยายามสื่อสาร ฝรั่งเค้าก็พยายามเข้าใจเช่นกัน เราก็เคยวิ่งหนีฝรั่งมาก่อน แต่วันนี้ วิ่งไปไหนไม่ได้อ่ะดิ
เลยต้องพูดๆๆทุกวัน จากที่เคยกลัวๆ ก็ลืมไปเลยว่าเคยกลัว พูดจนได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่จากฝรั่ง คำว่า SHUT UP (หุบปาก) กันเลยทีเดียว
เห็นม๊ะ....อย่างน้อยก็ได้เรียนเพิ่มอีก 1 คำ
เราหันหน้ามองแซนดี้อีกที นางนั่งเอามือกุมขมับ ทำปากขมุบขมิบเรียกหาพระเจ้า “oh my god… โอ้ มาย ก้อด ช่วยฉันที ฉันจะอยู่
กับเด็กไทยคนนี้ได้จริงๆใช่หรือไม่” แซนดี้คงอยากใช้เวลากับตัวเองสักครู่ คิดถึงรถซีตรอง คือมองแล้วตรองดู
จึงเอ่ยปากบอกออกคำสั่งสุดหรู...
“กูกินอะไร ... เมิงต้องกินให้ได้ด้วย”
“ถ้าไม่กินผัก ก็ต้องหัดกินให้เป็น”
“ไปเที่ยวไหน กลับเมื่อไหร่ ก็ต้องโทรบอก”
“เข้าใจตรงกันนะ...เอาหล่ะ...ขึ้นไปนอนได้” งี้ ....แซนดี้รวบรัดตัดความ........ว๊ายยยย นางแรงใส่ช๊านนนนนนน แระนายเอ๋ยยย
เราก็เดินอึนๆ ขึ้นห้องนอน ซ้ายห้องนาง ขวาห้องเรา ต่างมีห้องน้ำในตัวเสร็จสรรพ ภายในห้องมีไฟสีนวลๆ จากโคมไฟหัวเตียง 2 อัน
มองดูสลัวๆทำให้เกิดจินตนการ เราเคยถามนางว่า...
“ทำไมไม่ติดไฟนีออนแจ้งๆ สีแจ่มๆ มองชัดๆหล่ะ”
“เห็นอะไรที่ชัดเกินไป มันไม่เป็นศิลปะ” ...นางตอบมาอย่างนี้ (อ่ะ...'ปะก็ 'ปะ ว่าไงก็ว่าตามกัน)
เรามีปัญหาเรื่องปรับเวลานอนเล็กน้อย ช่วงแรกๆเลยนอนเกือบเช้าอยู่หลายคืน วันสองวันที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนะ แต่คืนนี้นี่สิ
มันแปลกๆแฮะ รู้สึกอากาศมันหนาวววว พิกล เรานั่งเล่น internet ก๊อกๆแก๊กๆ ไปเรื่อย จนเกือบๆตี 4 แล้ว...
ต้องหันขวับ!! ตามสันชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องหันตามเสียงที่แทรกผ่านความเงียบทันที...
โคร่กกกกกกกกก… เสียงกดชักโครกดังออกมาจากในห้องน้ำอ่ะ (คุณผู้อ่านคะ เสียงชักโครกเนี่ยมันเขียนยังไงอ่ะ 5555)
เฮ้ยยยย...ใครวะ นี่กูอยู่ในห้องคนเดียวนี่หว่า หันมองประตูหน้าห้องก็ล็อคอยู่
ซ่าาาาาาาาาาาา...เสียงน้ำไหลจากฝักบัวอย่างแรงงงงงง
อ๊ายยยย... ใครใช้ห้องน้ำกูวะนั่น ใครกันจ๊ะ ที่เดินทะลุกำแพงเข้าไปใช้ห้องน้ำได้โดยไม่ต้องเปิดประตู
เราลุกพรวดดด จากเก้าอี้ ก้าวเท้า ฉับๆ ๆ มายืนหน้าประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ในใจคิด....ผีแน่ๆ ผีชัวร์ๆ ถ้ากูเปิดเข้าไปแล้วเห็น
พลังงานบางอย่างยืนอาบน้ำอยู่ กูจะทำยังไงเนี่ย เสียงที่ได้ยินมันชัดเจนมากกกก มากขนาดที่สมองสั่งงานตัวเองได้ว่า
“บ๊วยจ๊ะ เมิงโดนผีหลอกนะจ๊ะ”
หันไปมองนาฬิกา ตี 4 ตรงเป๊ะ พอดิบพอดี ทำไงดีๆๆๆ ผีอ่ะ...มีผีใช้ห้องน้ำอ่ะ ทำไงดีๆๆวะ วิ่งออกไปหาแซนดี้ นางจะเชื่อมั๊ย
ทันใดนั้น มีเสียงก๊อกน้ำที่เป็นโลหะ คล้ายทองเหลือง ดัง... กึ่กๆๆ แล้วเสียงน้ำก็หยุดไหล แต่ความกลัวในหัวใจ พุ่งปรี๊ดด
เกือบทะลุปรอทแระ
เราดีดดดดตัวเอง กระเด้งผึ๋งงงง ขึ้นเตียง คลุมโปงอย่างไวว่อง คว้าโทรศัพท์ข้างๆหมอน กดโทรกลับเมืองไทย
โทรหาใครดีวะกู ใครดีๆ ๆ ใครที่พอจะช่วยได้....
- เกี้ยมบ๊วย