ขอคำปรึกษา...น้องสาวเป็นโรคซึมเศร้า และตอนนี้มีอาการติดแม่มากค่ะ

ขอคำปรึกษาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่อยู่ในห้องนี้หน่อยนะคะ

น้องสาวเราเค้าเป็นโรคซึมเศร้า ปัจจุบันก็หาหมออยู่ประจำค่ะ แต่ก่อนอยู่บ้านต่างจังหวัดกับคุณแม่
แต่พอตอนนี้เข้าปี1 ต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ทำให้ต้องมาอยู่บ้านที่กรุงเทพกับเรา(พี่สาว)
พอมาอยู่จริงๆเค้าเหมือนกับอยู่ไม่ได้ โทรให้แม่มาหาที่มหาวิทยาลัย (แม่ต้องนั่งรถตู้มาจากสระบุรี) ซึ่งถ้าแม่ไม่มาก็กลัวอาการจะกำเริบ
แต่ถ้ามาบ่อยๆแม่ก็จะเดินทางไม่ไหว พลอยจะป่วยไปอีกคน

อยากทราบว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี แล้วอาการติดแม่ขนาดนี้นี่ผิดปกติมั้ยคะ กับคนอายุ 18

ป.ล. น้องสาวเคยซิ่วมา 1 ปี เพราะปีที่แล้วไปเรียน ต้องอยู่หอ แล้วเริ่มมีการซึมเศร้า จนเรียนไม่ได้ ต้องลาออกมาอยู่บ้านกับแม่
พอลาออกมาอยู่บ้านกับแม่ก็เหมือนอาการจะดีขึ้น ปีนี้เลยเลือกที่เรียนที่ใกล้บ้านที่กทม. แต่พอเริ่มเปิดเทอมวันแรก ก็ดูจะอาการไม่ค่อยดี
ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเพราะเรียนที่เก่าเนื้อหาเครียดไป แต่ตอนนี้ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วค่ะว่าเป็นที่เรื่องเรียน หรือเป็นที่ตัวน้องเอง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกันค่ะ แต่อาการกำเริบตอนเรียนอยู่ปี 3 หาหมอและทานยามากว่า 6 ปีค่ะ เข้าใจว่าอาการที่ติดแม่เพราะแม่คือคนที่เข้าใจเค้าได้มากที่สุดค่ะ เค้าอยู่กับแม่จะรู้สึกอบอุ่น เหมือนมีเพื่อน เข้าใจค่ะ ตอนที่เราเป็น เราก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เคยทำงานที่กรุงเทพแล้วอาการกำเริบ แม่ต้องขึ้นรถจากร้อยเอ็ดเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อน พอแม่มาอาการก็ดีขึ้น แต่พอแม่ไป อาการก็แย่ลงเหมือนเดิมค่ะ สรุปว่า พออาการกำเริบถ้าต้องการใคร ต้องมาหาให้ได้ ไม่งั้นก็จะไม่หายค่ะ แนะนำว่าเรียนใกล้ๆบ้าน ได้อยู่กับแม่ อบอุ่น แม้จะเป็นสถาบันที่ไม่โด่งดัง แต่เค้าสามารถเรียนจบได้ดีไหมคะ มาเรียนที่กทม. แม่ไม่อยู่ ไหนจะสภาพสังคมที่กดดันอีก จะพาลเรียนไม่จบอีกนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เราเป็นค่ะ อยู่กับมันเป็นเพื่อนซี้มาจะสิบห้าปีแล้ว กินยารวมค่ายารวมค่ารักษาทั้งหมดแล้วคงหมดไปเป็นล้านๆแล้ว
ที่เราเป็นนานและเราไม่หายเพราะเราหลงทางค่ะ อาการของน้องสาวคุณคล้ายกับเรา แต่ไม่เหมือนทั้งหมด
เราขอเล่าอาการเราคร่าวๆก่อนนะคะ โดยรวมเราจะติดใครสักคนที่คุยแล้วเข้าใจเรามากๆ ติดแบบติดแจ เหมือนคนขี้เหงาแต่ไม่ใช่
เป็นคนที่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองต่างหาก 555 (พอดีเราเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่ค่ะ เลยไม่ติดแม่ ติดคนอื่นๆแทน พี่เลี้ยง/เพื่อน/แฟน)
ที่เราติดคนอื่นเพราะเรารู้สึกปลอดภัยค่ะ เรากลัวการพบปะผู้คน โลกส่วนตัวสูง การได้ติดใครสักคนที่เราอุ่นใจทำให้เรา
ไม่พัฒนาตัวเอง รู้สึกปลอดภัยจนขาดความมั่นใจจะลงมือทำอะไร ขาดพลังในการพัฒนาตัวเอง/พัฒนาศักยภาพ
กลายเป็นคนวิตกกังวล ต้องมีคนที่เราติดอยู่ข้างๆเท่านั้นเราถึงจะกล้าลงมือทำอะไรๆ ขาดแรงบันดาลใจ
อยู่กับความรู้สึกแบบนี้นานๆก็หดหู่ค่ะ เรียนก็คิดว่าไม่รอด ทำงานก็คิดว่าไม่รุ่ง ชีวิตเป๋ไปเลย
ใครต่อใครคอยบอกสู้สิ ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง อะไรแบบนี้ ไม่ได้ผลค่ะ 5555 ต่อให้คิดแบบนั้นก็ยังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
สำหรับเรา การกินยาเป็นประจำไม่ช่วยอะไรเราเลยค่ะ เราเปลี่ยนยามาหลายหน เพิ่มโดส ลดโดส
ไม่เคยได้ผลหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเราเลย มีอะไรกระทบนิดหน่อย อยู่ในสภาวะแวดล้อมกดดัน เราก็จะอยู่ไม่ได้
หลายๆครั้งเลือกที่จะเดินหนีปัญหาออกมาเลย ทิ้งปัญหาไว้ไม่แก้ วิ่งไปแอบอยู่ข้างหลังคนที่เราไว้ใจ ไปหลบไปพักหนีปัญหา
จริงๆมันเป็นวิธีที่ไม่ถูกนะคะ แต่เราพบว่าคนประเภทเราถ้าไม่พักยาวๆมันกลับมาตั้งหลักไม่ได้ค่ะ
เหมือนกับที่เราไม่ได้พักสภาพแวดล้อมของเราเลยตลอดสิบห้า

สำหรับน้องสาวของคุณ
1. "อยากทราบว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี แล้วอาการติดแม่ขนาดนี้นี่ผิดปกติมั้ยคะ กับคนอายุ 18
ป.ล. น้องสาวเคยซิ่วมา 1 ปี เพราะปีที่แล้วไปเรียน ต้องอยู่หอ แล้วเริ่มมีการซึมเศร้า จนเรียนไม่ได้ ต้องลาออกมาอยู่บ้านกับแม่
พอลาออกมาอยู่บ้านกับแม่ก็เหมือนอาการจะดีขึ้น ปีนี้เลยเลือกที่เรียนที่ใกล้บ้านที่กทม. แต่พอเริ่มเปิดเทอมวันแรก ก็ดูจะอาการไม่ค่อยดี
ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเพราะเรียนที่เก่าเนื้อหาเครียดไป แต่ตอนนี้ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วค่ะว่าเป็นที่เรื่องเรียน หรือเป็นที่ตัวน้องเอง"
------ ผิดปกติค่ะ เป็นมากไป โอเวอร์เหมือนเรา ตอนเด็กๆอยู่บ้านเราติพี่เลี้ยงมาก ไปไหนไปกัน พี่เลี้ยงทำอะไรเราก้ไปนั่งด้วยเฝ้าด้วย
เหมือนหมาตามเจ้าของ โตขึ้นมาพี่เลี้ยงเราเสียเราก็ติดแฟน เราไปไหนก็อ้อนแฟนให้ไปด้วย เราจะทำอะไรก็อ้อนแฟนให้อยู่เป็นเพื่อน
ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากๆ ที่เราอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ตอนเราจะทำอะไรแฟนเราก็ไม่ได้ทำเพราต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเรา
กลายเป็นกิจกรรมอย่างเดียวต้องใช้เวลาของคนถึงสองคนในการทำ เพราะเราไปลากแฟนมาอยู่เป็นเพื่อน
เราค่อนข้างมั่นใจค่ะว่าเป็นเรื่องของตัวน้องสาวคุณเองไม่ใช่่เรื่องเรียน เปรียบเทียบง่ายๆนะคะ น้องสาวคุณเรียนไม่ได้
แต่เพื่อนร่วมรุ่นทำไมยังเรียนได้น่ะค่ะ ตอนเราเป็นเราก็ทำงานไม่ได้ค่ะ ทำไมคนอื่นทำได้แต่เราทำไม่ได้ เราต้องไปทำงานคนเดียว
แต่รู้สึกอยากให้แฟนไปทำงานด้วย แค่ขอให้ไปนั่งข้างๆเราก็คิดว่าเราจะทำงานได้ แต่ชีวิตจริง ทำไม่ได้เราทำงาน แฟนก็ทำ
แล้วคงไม่มีที่ไหนยอมให้บุคคลอื่นมานั่งเป็นเพื่อนตลอดทั้งวัน สุดท้ายพอหาทางไม่ได้ พกแฟนไปด้วยไม่ได้ ก็เริ่มขาดความมั่นใจ
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่สมประกอบ ทำก็ไม่ดี ทำก็ไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มหดหู่ ไม่อยากทำอะไร เพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้
ใครบอกว่าทำได้ๆ ก็ไม่เชื่อ สุดท้ายเก็บตัว ไร้ชีวิตชีวา ขาดแรงบันดาลใจ แล้วก็ทิ้งปัญหาออกมาเลย แก้ปัญหาด้วยการหนีปัญหา

2.ตอนนี้ทานยามาจะ 1 ปีแล้วค่ะ ตอนที่เลิกเรียนไปครั้งที่แล้ว แล้วอยู่บ้านเฉยๆเหมือนจะดีขึ้นมาก แต่พอเริ่มเรียนอีกครั้ง ก็เหมือนจะเป็นใหม่
----- เราทานมาสิบห้าปีแล้วค่ะ ตอนนี้เราดีขึ้นมาก แต่ไม่ใช่เพราะยา ไม่ใช่เพราะปัญหาหรือความกังวลในใจถูกแก้ไข
แต่เป็นเพราะตัวเรามีทัศนคติบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปค่ะ สิบห้าปีที่กินแต่ยา หวังผลเรื่องสารเคมีในสมอง ไม่ช่วยอะไรเราเลยค่ะ
คุณหมอบอกว่าบางเคสการกินยาก็ไม่ได้เยียวยาตรงจุดนัก อย่างเช่นของเรา เราหยุดยา ออกมาตั้งหลัก ค้นหาคุณค่าของตัวเอง
เราไม่ต้องกินยาแล้วค่ะ เพราะวิธีจัดการกับโรคของตัวเราพึ่งยาไม่ได้

3.ตอนแรกที่ต้องเลิกเรียนไป เพราะว่าต้องอยู่หอ ไกลบ้าน แล้วอาการหนักมาก แม่ต้องไปนั่งเฝ้าที่มหาลัยตอนเรียน ไม่งั้นไม่ยอมกินข้าว
แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว ต้องลาออกมา
พอคราวนี้เลยเลือกมหาลัยที่ใกล้บ้าน แต่เป็นบ้านกรุงเทพ เพราะคิดว่าจะได้ไม่ต้องอยู่หอ น่าจะสบายใจมากกว่า
แต่จริงๆแล้วก็เหมือนเดิมเลยค่ะ ไม่เอาใครเลย จะเอาแม่คนเดียว
------ เฮือก เหมือนเราเลย ตอนเป็นหนักๆ ต้องให้แฟนมากินข้าวกลางวันด้วยทุกวัน อย่างน้อยๆต้องเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นเราจะไม่กิน
อาการน้องสาวจขกท ทำให้คุณแม่ลำบากมากๆเลยค่ะ เหมือนกับที่เราทำให้แฟนเราลำบากมากๆ ปัญหาของเราไม่ใช่ที่พักค่ะ
แต่เป็นสภาพแวดล้อมและตัวเราเอง เราขาดความมั่นใจค่ะ รู้สึกต่ำต้อยกลัวคนว่า กลัวคนติฉินนินทา วิตกกังวล เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตมากๆ

4. คือตอนอยู่กับเรา หรือกับเพื่อนๆก็ดูร่าเริงดี แต่พอเจอแม่ปั๊ปเหมือนกลายเป็นอีกคน ร้องไห้อ้อนแม่โยเยเหมือนเด็กๆค่ะ
เป็นเฉพาะกับแม่คนเดียว
------ เราเคยร่าเริงกลบเกลื่อนอยู่พักนึงค่ะ ไม่แน่ใจว่าน้องจขกทจะเป็นเหมือนกันไหม
เรามีสองบุคลิกค่ะ คนที่ไม่สนิทกับเราหรือเป็นเพื่อนจะเจอเราอีกคนนึง ในขณะที่ถ้าเป็นแฟนหรือแม่เราจะเจอเราอีกคนนึง

สำหรับคำแนะนำของเรา
เราแนะนำว่า ต้องให้หายค่ะ อย่าอยู่กับโรคนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้ามีอาการติดใครสักคน ยิ่งควรทำทุกทางให้หายขาดจากอาการติดคนอื่นค่ะ
ตอนเราหายเรามานั่งคิดเลยว่า ถ้าแฟนตายหรือแฟนทิ้งหรือแม่ไม่อยู่ขึ้นมาเราจะทำยังไง ถ้าเป็นช่วงซึมเศร้า เราคงเอาชีวิตไม่รอดแน่ๆ
เพราะเราไม่มีภูมิในการดำรงชีวิตคนเดียวเลย ติดคนอื่นตลอด พึ่งคนอื่นตลอด นอกจากตัวเองจะเดือดร้อนเวลาไม่มีใครแล้ว
คนอื่นๆที่เราติดเขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน คนเราไม่ใช่พวงกุญแจจะหนีบกันไปได้ตลอด ต้องต่อสู้ค่ะ เอาให้หาย จะได้มีความสุขตามอัตภาพบ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่