คนที่อยู่ห่างไกลกันมากๆ ทำอะไรก็เห็นกันได้ทันทีเลย
เกิดอะไรขึ้นที่สหรัฐ คนไทยก็เห็น
เกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพ คนญี่ปุ่นก็เห็น
ถ้าโลกมันกลม ก็จะมองเห็นกันไม่ได้ เพราะถูกส่วนโค้งของโลกบังไว้
คนทั้งโลกต้องยืนอยู่บนระนาบเดียวกัน ถึงจะได้เห็นกันหมดทั้งโลก
ดังนั้นสรุปได้ว่าโลกแบน
----------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาเขียนต่อ

หลังจากที่รู้แล้วว่า ใครบ้างที่คุยกับเรารู้เรื่อง
----------------------------------------------------------------------------------------
แนวคิดเรื่อง โลกแบน เริ่มต้นเรื่องในสมัยที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา ในปี 1492 ต่อมาก็มีการค้าขายซึ่งกันและกัน
มีการล่าอาณานิคม ผู้คนสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก โลกที่เคยกว้างใหญ่จึงหดเล็กลง
ในยุคต่อมา เกิดการหลอมรวมของอุดมการณ์ทางการเมือง ที่เคยแบ่งขั้วกันคนละด้าน ซึ่งมีสัญลักษณ์สำคัญคือการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน และการล่มสลายของโซเวียต การเดินทางสะดวกมากขึ้น การสื่อสารรวดเร็วขึ้น เกิดธุรกิจข้ามชาติ โลกจึงได้เปลี่ยนจากขนาดเล็กเป็นขนาดจิ๋ว
ในยุคปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตน์รุ่น 3.0 ได้โหมกระพือขึ้นแล้ว คราวนี้โลกที่หดเหลือนิดเดียวอยู่แล้วจึงแบนราบลงไปเลย ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค จากเดิมที่เคยเป็นแนวตั้งผ่านยี่ปั๊วซาปั๊วกว่าจะมาถึงมือเรา เดี๋ยวนี้ผู้ผลิต สามารถส่งสินค้าใส่มือเราได้โดยตรงแล้ว บริษัทน้อยใหญ่ ก็มาอยู่ในระดับเดียวกัน โปรแกรมเมอร์กลุ่มเล็กๆ สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ ประเทศอินเดียเริ่มอยู่ระดับเดียวกับอเมริกา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในโลกที่แบนราบเท่านั้น
แน่นอนว่า ไอเดียบรรเจิดอย่างนี้ "รอเธอโสด" ไม่ได้คิดเองหรอกครับ
มันมาจากหนังสือ ชื่อ "The World is Flat" หนังสือดังระดับโลก ของ "Thomas Friedman" เจ้าของรางวัล พูลิตเซอร์ 3 รางวัล
Thomas Friedman ได้สรุปปัจจัยที่ทำให้โลกแบนไว้ 10 ประการคือ
1. การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน - อันเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสงครามเย็น เมื่อ Berlin Wall ทลายลง Windows ก็ผงาดขึ้นมาแทน
2. Netscape - เป็นตัวการทำทำให้คนทั่วไปสามารถส่งข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบข้ามโลกกันได้
3. Workflow Software - การพัฒนาของมาตรฐานต่างๆ ทาง Software เช่น HTML,SMTP และ Protocol ต่างๆ
ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ ทำให้เอกสารฉบับหนึ่งสามารถเปิดอ่านได้บนเครื่องหลาย platform ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันในรูปแบบต่างๆ
4. Uploading - สังคมออนไลน์ที่อนุญาติให้ผู้ใช้อัพโหลดข้อมูของตัวเองขึ้นไปแชร์บนอินเตอร์เน็ต
5. Outsourcing - การเติบโตของเครือข่ายสื่อสาร ทำให้การแยกงานออกไปให้บริษัทอื่นทำ ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งนั้นทำให้ประหยัดต้นทุน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. Offshoring - เป็นแรงผลักดันที่มาจากความแตกต่างของค่าแรง ทำให้บริษัทต่างๆหันไปใช้บริการจากคนในประเทศที่ค่าแรงต่ำ
7. Supply Chaining - การจัดการ Supply chain ทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในด้านการขาย การกระจายสินค้า การขนส่ง
8. Insourcing - คือการที่บริษัทเข้าไปทำงานต่าง ๆ ในบริษัทอื่น เช่น UPS ซึ่งขณะนี้รับทำงาน logistics ให้กับหลายบริษัท
9. In-forming - ไม่ว่าใครก็สามารถหาข้อมูลได้อย่างง่ายดายโดยใช้ Search Engine
10. The Steroids Wireless and Voice over the Internet - เป็นเครื่องมือที่เหมือนยาโด๊ป ที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันมากขึ้น ได้ทุกที่ ทุกเวลา
ด้วยแรงผลักดันทั้งหลายเหล่านี้ กำลังทำให้โลกของเราแบนราบลงไป การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอีกมากมาย
ใครยังมัวแต่เชื่อว่าโลกกลมอยู่ ระวังจะตกโลก !!
ยุคนี้ โลกแบนใช่ไหมครับ
เกิดอะไรขึ้นที่สหรัฐ คนไทยก็เห็น
เกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพ คนญี่ปุ่นก็เห็น
ถ้าโลกมันกลม ก็จะมองเห็นกันไม่ได้ เพราะถูกส่วนโค้งของโลกบังไว้
คนทั้งโลกต้องยืนอยู่บนระนาบเดียวกัน ถึงจะได้เห็นกันหมดทั้งโลก
ดังนั้นสรุปได้ว่าโลกแบน
----------------------------------------------------------------------------------------
กลับมาเขียนต่อ
----------------------------------------------------------------------------------------
แนวคิดเรื่อง โลกแบน เริ่มต้นเรื่องในสมัยที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา ในปี 1492 ต่อมาก็มีการค้าขายซึ่งกันและกัน
มีการล่าอาณานิคม ผู้คนสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก โลกที่เคยกว้างใหญ่จึงหดเล็กลง
ในยุคต่อมา เกิดการหลอมรวมของอุดมการณ์ทางการเมือง ที่เคยแบ่งขั้วกันคนละด้าน ซึ่งมีสัญลักษณ์สำคัญคือการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน และการล่มสลายของโซเวียต การเดินทางสะดวกมากขึ้น การสื่อสารรวดเร็วขึ้น เกิดธุรกิจข้ามชาติ โลกจึงได้เปลี่ยนจากขนาดเล็กเป็นขนาดจิ๋ว
ในยุคปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตน์รุ่น 3.0 ได้โหมกระพือขึ้นแล้ว คราวนี้โลกที่หดเหลือนิดเดียวอยู่แล้วจึงแบนราบลงไปเลย ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค จากเดิมที่เคยเป็นแนวตั้งผ่านยี่ปั๊วซาปั๊วกว่าจะมาถึงมือเรา เดี๋ยวนี้ผู้ผลิต สามารถส่งสินค้าใส่มือเราได้โดยตรงแล้ว บริษัทน้อยใหญ่ ก็มาอยู่ในระดับเดียวกัน โปรแกรมเมอร์กลุ่มเล็กๆ สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ ประเทศอินเดียเริ่มอยู่ระดับเดียวกับอเมริกา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในโลกที่แบนราบเท่านั้น
แน่นอนว่า ไอเดียบรรเจิดอย่างนี้ "รอเธอโสด" ไม่ได้คิดเองหรอกครับ
มันมาจากหนังสือ ชื่อ "The World is Flat" หนังสือดังระดับโลก ของ "Thomas Friedman" เจ้าของรางวัล พูลิตเซอร์ 3 รางวัล
Thomas Friedman ได้สรุปปัจจัยที่ทำให้โลกแบนไว้ 10 ประการคือ
1. การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน - อันเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดสงครามเย็น เมื่อ Berlin Wall ทลายลง Windows ก็ผงาดขึ้นมาแทน
2. Netscape - เป็นตัวการทำทำให้คนทั่วไปสามารถส่งข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบข้ามโลกกันได้
3. Workflow Software - การพัฒนาของมาตรฐานต่างๆ ทาง Software เช่น HTML,SMTP และ Protocol ต่างๆ
ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ ทำให้เอกสารฉบับหนึ่งสามารถเปิดอ่านได้บนเครื่องหลาย platform ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันในรูปแบบต่างๆ
4. Uploading - สังคมออนไลน์ที่อนุญาติให้ผู้ใช้อัพโหลดข้อมูของตัวเองขึ้นไปแชร์บนอินเตอร์เน็ต
5. Outsourcing - การเติบโตของเครือข่ายสื่อสาร ทำให้การแยกงานออกไปให้บริษัทอื่นทำ ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งนั้นทำให้ประหยัดต้นทุน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. Offshoring - เป็นแรงผลักดันที่มาจากความแตกต่างของค่าแรง ทำให้บริษัทต่างๆหันไปใช้บริการจากคนในประเทศที่ค่าแรงต่ำ
7. Supply Chaining - การจัดการ Supply chain ทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในด้านการขาย การกระจายสินค้า การขนส่ง
8. Insourcing - คือการที่บริษัทเข้าไปทำงานต่าง ๆ ในบริษัทอื่น เช่น UPS ซึ่งขณะนี้รับทำงาน logistics ให้กับหลายบริษัท
9. In-forming - ไม่ว่าใครก็สามารถหาข้อมูลได้อย่างง่ายดายโดยใช้ Search Engine
10. The Steroids Wireless and Voice over the Internet - เป็นเครื่องมือที่เหมือนยาโด๊ป ที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันมากขึ้น ได้ทุกที่ ทุกเวลา
ด้วยแรงผลักดันทั้งหลายเหล่านี้ กำลังทำให้โลกของเราแบนราบลงไป การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอีกมากมาย
ใครยังมัวแต่เชื่อว่าโลกกลมอยู่ ระวังจะตกโลก !!