สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้มีหนังสือมาแนะนำกันค่ะ เชื่อว่าเคยอ่านผ่านตากันมาบ้างแล้วแน่นอน
แต่เนื่องจากชีวิตปัจจุบันที่เร่งรีบ พวกเราจึงอยากนำเสนอในรูปแบบกะทัดรัด ที่เชื่อว่าจะอ่านได้จบใน 15 นาทีแน่นอนค่ะ
ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของโลกในศตวรรษที่ 21
โดย Thomas L. Friedman
หลายคนคงคิดถาม PostForWord ว่าหนังสือเล่มนี้เก่าแล้ว ทำไมจึงยกเล่มนี้ขึ้นมา? ทุกคนเคยได้ยินชื่อหนังสือ The World is Flat ใครว่าโลกกลม แน่นอน… แต่การที่คนรู้ชื่อหนังสือเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ทำให้หนังสือมีชีวิตขึ้นมา การได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆ ต่างหากที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีคุณค่า ทำให้เราตามโลกทัน… หนังสือเล่มนี้ทำให้เราตามโลกทัน หรืออาจเดินนำโลกด้วยซ้ำ
อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ดูเถอะคะ… ถึงแม้ว่าจะอ่านอีกรอบก็เถอะ…จะรู้ว่าสิ่งต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้เรายังไม่เคยรู้เลย/อ่านข้ามไป/ไม่ได้รู้ในระดับที่เอาไปใช้ได้จริง หรือบางเรื่องยังไม่เกิดขึ้นบนโลกด้วยซ้ำ
ในหนังสือ “ใครว่าโลกกลม” Friedman เปิดให้เรามองมุมใหม่ ให้เราเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างโลกสมัยใหม่กับการนำเอาเทคโนโลยีการสื่อสารมาปรับใช้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งยกระดับเกมทางเศรษฐกิจให้ไร้พรมแดน Friedman ยกตัวอย่างถึงสาเหตุแห่งเหตุการณ์ไม่น่าพึงประสงค์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินไปจนถึงการเกิดขึ้นของอินเตอร์เนตอันเป็นเหตุให้เกิดความไร้พรมแดนที่เป็นอยู่ ความไร้พรมแดนนี้เป็นการพัฒนาที่ทำให้ผู้คนหันมาทำงานร่วมกันมากขึ้น หรือว่ายิ่งทำให้คนเเข่งขันกันมากขึ้นกันแน่?
ในหนังสือขายดีของ Friedman ปี 1999 ชื่อ รถยนต์กับต้นมะกอก (The Lexus and the Olive Tree) Friedman บรรยายว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มเเรกที่เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ที่คนจะสามารถหาอ่านได้ หนังสือเล่มนี้ทำให้ Friedman เป็นบุคคลสำคัญ เป็นที่พึ่งพิงได้ เป็นผู้แก้ปัญหาในที่ประชุมนานาชาติ แล้วมันก็ทำให้เขากลายเป็นตัวอันตรายของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและผู้ที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ด้วย
(เป็นการอธิบายถึงโลกาภิวัฒน์ โดยใช้รถเล็กซัสเป็นสัญลัษณ์แทนการวิถีการผลิตสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อน และใช้ต้นมะกอกแทนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้ทรัพยากรที่มีเป็นหลัก โดยฟรีดแมนมองว่า จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้)
หลังเหตุการณ์ 9/11 (วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544) Friedman หยุดเขียนเรื่องโลกาภิวัตน์ซักพัก เขาใช้เวลา 3 ปีเที่ยวในประเทศแถบอาหรับให้เข้าถึงแก่นเพื่อการโจมตีสหรัฐฯ จนกระทั่งคอลัมน์ของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายหลังเหตุการณ์ 9/11 ทำให้เขาได้รางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize) แต่ในไม่ช้า Friedman ก็ตระหนักได้ว่าในขณะที่เขาเขียนเกี่ยวกับการก่อการร้าย เขาได้พลาดเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ โลกาภิวัตน์ได้รุดหน้าไปจนไม่สามารถตามทันแล้ว ในปี 2004 Friedman ได้ปล่อย “ใครว่าโลกกลม” ออกมาสู่สายตาประชาชนโลกเพื่อเสนอความคิดตนเองเกี่ยวกับประเด็นนี้
เพื่อให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์ Friedman ก็ได้แจงรายชื่อผู้มาช่วยเขาแก้หนังสือเล่มนี้ Bill Gates ใช้เวลาหนึ่งวันในการวิจารณ์งานกับเขา และ Friedman ก็ได้เขียนวิพากย์การวางนโยบายของ IBM และ Michael Dell (เจ้าของ Dell) ซึ่งบทสนทนาเหล่านี้ได้เติมรสชาติให้กับหนังสือเป็นอย่างดี
ทั้งบทสัมภาษณ์จนถึงบทหยอกเย้าแสดงให้เห็นความเป็นเอกลักษณ์ของ Friedman เขาอยากบอกกับเราว่า “โลกนี้มันแบนนะ!!!!” เขายังบอกอีกว่าถ้าเราไม่ปรับตัวตามสถานการณ์หละก็ เราตามมันไม่ทันหรอก “คุณต้องใช้สิทธินั้น จงปรับตัวไปตามโลกที่แบนใบนี้” ถ้าเดินตาม Friedman ดีๆ จะรู้ว่าในรุ่งอรุญแห่งศตวรรษที่ 21 นี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ประเทศจะเป็นไปอย่างไร บริษัทต่างๆ จะเดินไปทางไหน แล้วปัจเจกบุคคลหละจะเป็นเช่นไร เพื่อนๆ จะรู้คำแนะนำของ Friedman ทั้งหมดว่ารัฐบาลและภาคประชาคมสามารถทำอะไรได้บ้าง ต้องทำอะไร ซึ่งสิ่งที่ “ต้องทำ” คือ… การปรับตัว นั่นเอง
โลกมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า “ความแบน” นะเธอ
ส่วนแรกของหนังสือเกิดขึ้นใน บังกาลอร์… สถานที่กำเนิดของเทคโนโลยีขั้นสูงของอินเดีย เราเรียนรู้เกี่ยวกับการ “outsourcing” หรือการจัดจ้างคนภายนอกโดยธุรกิจสัญชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งมันไม่ใช่แค่การรับโทรศัพท์ แต่จริงๆ แล้วมันคือลักษณะที่นักบัญชีต้องรู้เกี่ยวกับหลักเกณ์ทางภาษีทั้งหมด ผู้ช่วยผู้บริหารต้องทำวิจัยและเตรียมการนำเสนองาน ผู้ออกแบบซอฟแวร์ และวิศวกรเครื่องบิน … เห็นมั้ยหละคะ คนเหล่านี้คือแบบ… ต้องรู้เกือบทุกอย่างในโลกหล้า…
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่จุดเริ่มต้นของส่วนเปิดหนังสือนี้และ “ah-ha” โม้เม้นท์ หรือช่วงเวลาปิ๊งของ Friedman เกิดขึ้นในอินเดีย การที่ Friedman ตระหนักรู้ได้ว่าโลกของเรามันแบนนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อนเขียนหนังสือเล่มนี้ คือเมื่อเขาสัมภาษณ์ Nandan Nilekani ผู้บริหารของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่ทำด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของอินเดีย (เขาก็คือผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟท์แวร์ดัง “Infosys” นั่นเอง– PostForWord) ผู้ประกอบการชาวอินเดียบอกกับ Friedman ว่า “สนามที่เรากำลังเล่นกันอยู่นี้ถูกยกระดับขึ้นมาแล้วนะ” ณ โมเม้นนั้น Friedman บอกว่าความลับตีแสกมาที่หน้าเขาอย่างจัง! แล้วเขาก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ Nandan บอกนั้นแปลว่า “สนามที่เรากำลังเล่นกันอยู่นี้มัน…แบน…หรือเปล่านะ? แบน หรอ? เอ้อออออ ช่ายยยย Nandan กำลังบอกเราว่า โลกมันแบน!”
ดังนั้น Friedman เลยเขียนหนังสือที่สำรวจว่าโลกนี้มันแบนอย่างไร และเขาก็ได้เเนะนำด้วยว่าเหล่าประเทศอเมริกาเหนือควรทำอะไร
แล้วนี่ก็คือ “โลกาภิวัตน์ยุค 3.0”
ถึงแม้มันจะดูเหมือนว่าโลกของเราแบนขึ้นเรื่อยๆ ทุกคืน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอก Friedman บอกว่าโลกาภิวัตน์แบ่งได้เป็น 3 ช่วง โดยแต่ละช่วงนั้นโลกก็ค่อยๆ แบนลงเรื่อยๆ ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีผุดขึ้นอย่างดอกเห็ด ยิ่งทำให้กระบวนการ “แบน” ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน
Friedman บอกว่าโลกาภิวัตน์ช่วงที่ 1 คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1492-1800 (คือช่วง พ.ศ. 2035- 2343) เป็นช่วงที่ประเทศแถบยุโรปทำการค้ากันเอง และค้ากับประเทศโลกใหม่ (คือ ทวีปอเมริกา และอาจจะรวมออสตราเลเชีย ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่ใช่โลกเก่า ประกอบด้วยทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรป และ ทวีปเอเชีย ก่อนหน้านี้ชาวยุโรปเดิมเชื่อว่าโลกประกอบด้วยทวีปเพียงสามทวีปนี้เท่านั้น) ช่วงแรกนั้นโลกขับเคลื่อนด้วยการขยายตัวของทหาร และความสำเร็จขึ้นอยู่กับกำลังคนและจำนวนม้าที่ประเทศๆ หนึ่งจะครอบครองได้)
โลกาภิวัตน์ช่วงที่ 2 คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800-2000 (พ.ศ. 2343-2543) เป็นช่วงที่บรรษัทข้ามชาติขับเคลื่อน “การรวมตัวกันของโลกใบนี้” (Global Integration) เทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญคือทางรถไฟและรถยนต์ ที่กล่าวไปตอนต้นในหนังสือ “รถยนต์กับต้นมะกอก” เน้นมองโลกโดยมองที่จุดท้ายสุดของยุค (เหมือนกับมองที่จุดสิ้นสุดแล้วค่อยเริ่มเดินออกจากจุดเริ่มต้น)
โลกาภิวัตน์ช่วงปัจจุบัน คือช่วงที่ Friedman เรียกว่า “โลกาภิวัตน์ 3.0” เหล่าปัจเจกชนที่ไม่เห็นด้วยกับประเทศหรือบรรษัทข้ามชาติเป็นกุญแจสำคัญที่เป็นกลไกขับเคลื่อนโลกยุคนี้ เทคโนโลยีในยุคของเราคือสายไฟเบอร์ ออฟติก ที่สามารถส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากจากซีกโลกหนึ่งไปอีกซีกโลกหนึ่งภายในเสี้ยววินาที
บทสัมภาษณ์ของ Marc Andreessen (ผู้สร้างโปรแกรม web browser Mosaic และก่อตั้ง Netscape และเป็นนักลงทุนในระยะต้นของ Twitter, Facebook, Zynga, Skype และ RockMelt ประวัติการขายบริษัททั้งหมดของเขารวมๆ กันเกิน 2 หมื่นล้านบาทแล้ว) เขากล่าวว่า “ทุกวันนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่คนในโรมาเนีย บังกาลอร์ หรือเวียดนามมีเครื่องมือที่พวกเขาต้องการทั้งหมดในการประยุกต์ความรู้ได้ทุกแบบที่เขาต้องการ” เขายังกล่าวต่อไปว่า “ทางด้านการแพทย์และชีววิทยากลับเกี่ยวโยงกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น แต่มีการทำการทดลองในห้องแลบน้อยลง และข้อมูลทางพันธุกรรมกลับหาได้ง่ายในอินเตอร์เนต ในอนาคตบางทีคุณอาจคิดค้นจนออกแบบวัคซีนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณก็เป็นไปได้”
จุดนี้เองที่เป็นหนึ่งในจุดที่น่าสนใจที่สุดของ “โลกาภิวัตน์ 3.0” คือ “ความแบน” ของโลกในภาพรวม มันคือการที่เราเชื่อมโยงบ่อน้ำแห่งความรู้ในโลกนี้เข้าด้วยกันทั้งหมด เรากำลังยืนอยู่ ณ จุดยอดของยุคแห่งนวัตกรรมยุคใหม่ที่น่าเหลือเชื่อนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ขับเคลื่อนโดยโลกตะวันตกและโลกตะวันออก โดยซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้
Bill Gates อธิบายความหมายของการแปลสภาพนี้ได้ดีที่สุด โดยที่ 30 ปีก่อนการเขียนหนังสือเล่มนี้ Gates บอก Friedman ว่า ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างเกิดเป็นอัจฉริยะในมุมไบหรือเซียงไฮ้ กับ เกิดเป็นคนธรรมดาในเมืองโพห์คีปซี มลรัฐนิวยอร์ก คุณอาจจะเลือกเกิดในโพห์คีปซี เพราะมีโอกาสที่จะอยู่ท่ามกลางความเจริญและรู้สึกอิ่มกับชีวิตมากกว่า แต่ Bill Gates กล่าวว่า “ฉันขอเลือกที่จะเกิดเป็นเด็กในประเทศจีนมากกว่าเกิดเป็นคนธรรมดาในเมืองโพห์คีปซี” กำแพงสู่ประตูทางเข้าหายไปในพริบตา (เหมือนภาพชัดขึ้นมาว่าทำไมคนแบบ Bill Gates ถึงเป็น Bill Gates … ทัศนคติแบบนี้ที่ทำให้ Bill Gates มายืนอยู่จุดที่เขายืนอยู่ได้)
เดี๋ยวมาต่อตอนต่อไปนะคะ
ฝากเวบไซต์พวกเราไว้ด้วยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://postforword.com/8thlinereader/the-world-is-flat-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1/
อ่านหนังสือ World is Flat จบใน 15 นาที
แต่เนื่องจากชีวิตปัจจุบันที่เร่งรีบ พวกเราจึงอยากนำเสนอในรูปแบบกะทัดรัด ที่เชื่อว่าจะอ่านได้จบใน 15 นาทีแน่นอนค่ะ
ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของโลกในศตวรรษที่ 21
โดย Thomas L. Friedman
หลายคนคงคิดถาม PostForWord ว่าหนังสือเล่มนี้เก่าแล้ว ทำไมจึงยกเล่มนี้ขึ้นมา? ทุกคนเคยได้ยินชื่อหนังสือ The World is Flat ใครว่าโลกกลม แน่นอน… แต่การที่คนรู้ชื่อหนังสือเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ทำให้หนังสือมีชีวิตขึ้นมา การได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆ ต่างหากที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีคุณค่า ทำให้เราตามโลกทัน… หนังสือเล่มนี้ทำให้เราตามโลกทัน หรืออาจเดินนำโลกด้วยซ้ำ
อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ดูเถอะคะ… ถึงแม้ว่าจะอ่านอีกรอบก็เถอะ…จะรู้ว่าสิ่งต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้เรายังไม่เคยรู้เลย/อ่านข้ามไป/ไม่ได้รู้ในระดับที่เอาไปใช้ได้จริง หรือบางเรื่องยังไม่เกิดขึ้นบนโลกด้วยซ้ำ
ในหนังสือ “ใครว่าโลกกลม” Friedman เปิดให้เรามองมุมใหม่ ให้เราเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างโลกสมัยใหม่กับการนำเอาเทคโนโลยีการสื่อสารมาปรับใช้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งยกระดับเกมทางเศรษฐกิจให้ไร้พรมแดน Friedman ยกตัวอย่างถึงสาเหตุแห่งเหตุการณ์ไม่น่าพึงประสงค์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินไปจนถึงการเกิดขึ้นของอินเตอร์เนตอันเป็นเหตุให้เกิดความไร้พรมแดนที่เป็นอยู่ ความไร้พรมแดนนี้เป็นการพัฒนาที่ทำให้ผู้คนหันมาทำงานร่วมกันมากขึ้น หรือว่ายิ่งทำให้คนเเข่งขันกันมากขึ้นกันแน่?
ในหนังสือขายดีของ Friedman ปี 1999 ชื่อ รถยนต์กับต้นมะกอก (The Lexus and the Olive Tree) Friedman บรรยายว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มเเรกที่เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ที่คนจะสามารถหาอ่านได้ หนังสือเล่มนี้ทำให้ Friedman เป็นบุคคลสำคัญ เป็นที่พึ่งพิงได้ เป็นผู้แก้ปัญหาในที่ประชุมนานาชาติ แล้วมันก็ทำให้เขากลายเป็นตัวอันตรายของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและผู้ที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ด้วย
(เป็นการอธิบายถึงโลกาภิวัฒน์ โดยใช้รถเล็กซัสเป็นสัญลัษณ์แทนการวิถีการผลิตสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อน และใช้ต้นมะกอกแทนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้ทรัพยากรที่มีเป็นหลัก โดยฟรีดแมนมองว่า จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้)
หลังเหตุการณ์ 9/11 (วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544) Friedman หยุดเขียนเรื่องโลกาภิวัตน์ซักพัก เขาใช้เวลา 3 ปีเที่ยวในประเทศแถบอาหรับให้เข้าถึงแก่นเพื่อการโจมตีสหรัฐฯ จนกระทั่งคอลัมน์ของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายหลังเหตุการณ์ 9/11 ทำให้เขาได้รางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize) แต่ในไม่ช้า Friedman ก็ตระหนักได้ว่าในขณะที่เขาเขียนเกี่ยวกับการก่อการร้าย เขาได้พลาดเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ โลกาภิวัตน์ได้รุดหน้าไปจนไม่สามารถตามทันแล้ว ในปี 2004 Friedman ได้ปล่อย “ใครว่าโลกกลม” ออกมาสู่สายตาประชาชนโลกเพื่อเสนอความคิดตนเองเกี่ยวกับประเด็นนี้
เพื่อให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์ Friedman ก็ได้แจงรายชื่อผู้มาช่วยเขาแก้หนังสือเล่มนี้ Bill Gates ใช้เวลาหนึ่งวันในการวิจารณ์งานกับเขา และ Friedman ก็ได้เขียนวิพากย์การวางนโยบายของ IBM และ Michael Dell (เจ้าของ Dell) ซึ่งบทสนทนาเหล่านี้ได้เติมรสชาติให้กับหนังสือเป็นอย่างดี
ทั้งบทสัมภาษณ์จนถึงบทหยอกเย้าแสดงให้เห็นความเป็นเอกลักษณ์ของ Friedman เขาอยากบอกกับเราว่า “โลกนี้มันแบนนะ!!!!” เขายังบอกอีกว่าถ้าเราไม่ปรับตัวตามสถานการณ์หละก็ เราตามมันไม่ทันหรอก “คุณต้องใช้สิทธินั้น จงปรับตัวไปตามโลกที่แบนใบนี้” ถ้าเดินตาม Friedman ดีๆ จะรู้ว่าในรุ่งอรุญแห่งศตวรรษที่ 21 นี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ประเทศจะเป็นไปอย่างไร บริษัทต่างๆ จะเดินไปทางไหน แล้วปัจเจกบุคคลหละจะเป็นเช่นไร เพื่อนๆ จะรู้คำแนะนำของ Friedman ทั้งหมดว่ารัฐบาลและภาคประชาคมสามารถทำอะไรได้บ้าง ต้องทำอะไร ซึ่งสิ่งที่ “ต้องทำ” คือ… การปรับตัว นั่นเอง
โลกมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า “ความแบน” นะเธอ
ส่วนแรกของหนังสือเกิดขึ้นใน บังกาลอร์… สถานที่กำเนิดของเทคโนโลยีขั้นสูงของอินเดีย เราเรียนรู้เกี่ยวกับการ “outsourcing” หรือการจัดจ้างคนภายนอกโดยธุรกิจสัญชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งมันไม่ใช่แค่การรับโทรศัพท์ แต่จริงๆ แล้วมันคือลักษณะที่นักบัญชีต้องรู้เกี่ยวกับหลักเกณ์ทางภาษีทั้งหมด ผู้ช่วยผู้บริหารต้องทำวิจัยและเตรียมการนำเสนองาน ผู้ออกแบบซอฟแวร์ และวิศวกรเครื่องบิน … เห็นมั้ยหละคะ คนเหล่านี้คือแบบ… ต้องรู้เกือบทุกอย่างในโลกหล้า…
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่จุดเริ่มต้นของส่วนเปิดหนังสือนี้และ “ah-ha” โม้เม้นท์ หรือช่วงเวลาปิ๊งของ Friedman เกิดขึ้นในอินเดีย การที่ Friedman ตระหนักรู้ได้ว่าโลกของเรามันแบนนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อนเขียนหนังสือเล่มนี้ คือเมื่อเขาสัมภาษณ์ Nandan Nilekani ผู้บริหารของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่ทำด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของอินเดีย (เขาก็คือผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟท์แวร์ดัง “Infosys” นั่นเอง– PostForWord) ผู้ประกอบการชาวอินเดียบอกกับ Friedman ว่า “สนามที่เรากำลังเล่นกันอยู่นี้ถูกยกระดับขึ้นมาแล้วนะ” ณ โมเม้นนั้น Friedman บอกว่าความลับตีแสกมาที่หน้าเขาอย่างจัง! แล้วเขาก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ Nandan บอกนั้นแปลว่า “สนามที่เรากำลังเล่นกันอยู่นี้มัน…แบน…หรือเปล่านะ? แบน หรอ? เอ้อออออ ช่ายยยย Nandan กำลังบอกเราว่า โลกมันแบน!”
ดังนั้น Friedman เลยเขียนหนังสือที่สำรวจว่าโลกนี้มันแบนอย่างไร และเขาก็ได้เเนะนำด้วยว่าเหล่าประเทศอเมริกาเหนือควรทำอะไร
แล้วนี่ก็คือ “โลกาภิวัตน์ยุค 3.0”
ถึงแม้มันจะดูเหมือนว่าโลกของเราแบนขึ้นเรื่อยๆ ทุกคืน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอก Friedman บอกว่าโลกาภิวัตน์แบ่งได้เป็น 3 ช่วง โดยแต่ละช่วงนั้นโลกก็ค่อยๆ แบนลงเรื่อยๆ ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีผุดขึ้นอย่างดอกเห็ด ยิ่งทำให้กระบวนการ “แบน” ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน
Friedman บอกว่าโลกาภิวัตน์ช่วงที่ 1 คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1492-1800 (คือช่วง พ.ศ. 2035- 2343) เป็นช่วงที่ประเทศแถบยุโรปทำการค้ากันเอง และค้ากับประเทศโลกใหม่ (คือ ทวีปอเมริกา และอาจจะรวมออสตราเลเชีย ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่ใช่โลกเก่า ประกอบด้วยทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรป และ ทวีปเอเชีย ก่อนหน้านี้ชาวยุโรปเดิมเชื่อว่าโลกประกอบด้วยทวีปเพียงสามทวีปนี้เท่านั้น) ช่วงแรกนั้นโลกขับเคลื่อนด้วยการขยายตัวของทหาร และความสำเร็จขึ้นอยู่กับกำลังคนและจำนวนม้าที่ประเทศๆ หนึ่งจะครอบครองได้)
โลกาภิวัตน์ช่วงที่ 2 คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800-2000 (พ.ศ. 2343-2543) เป็นช่วงที่บรรษัทข้ามชาติขับเคลื่อน “การรวมตัวกันของโลกใบนี้” (Global Integration) เทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญคือทางรถไฟและรถยนต์ ที่กล่าวไปตอนต้นในหนังสือ “รถยนต์กับต้นมะกอก” เน้นมองโลกโดยมองที่จุดท้ายสุดของยุค (เหมือนกับมองที่จุดสิ้นสุดแล้วค่อยเริ่มเดินออกจากจุดเริ่มต้น)
โลกาภิวัตน์ช่วงปัจจุบัน คือช่วงที่ Friedman เรียกว่า “โลกาภิวัตน์ 3.0” เหล่าปัจเจกชนที่ไม่เห็นด้วยกับประเทศหรือบรรษัทข้ามชาติเป็นกุญแจสำคัญที่เป็นกลไกขับเคลื่อนโลกยุคนี้ เทคโนโลยีในยุคของเราคือสายไฟเบอร์ ออฟติก ที่สามารถส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากจากซีกโลกหนึ่งไปอีกซีกโลกหนึ่งภายในเสี้ยววินาที
บทสัมภาษณ์ของ Marc Andreessen (ผู้สร้างโปรแกรม web browser Mosaic และก่อตั้ง Netscape และเป็นนักลงทุนในระยะต้นของ Twitter, Facebook, Zynga, Skype และ RockMelt ประวัติการขายบริษัททั้งหมดของเขารวมๆ กันเกิน 2 หมื่นล้านบาทแล้ว) เขากล่าวว่า “ทุกวันนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่คนในโรมาเนีย บังกาลอร์ หรือเวียดนามมีเครื่องมือที่พวกเขาต้องการทั้งหมดในการประยุกต์ความรู้ได้ทุกแบบที่เขาต้องการ” เขายังกล่าวต่อไปว่า “ทางด้านการแพทย์และชีววิทยากลับเกี่ยวโยงกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น แต่มีการทำการทดลองในห้องแลบน้อยลง และข้อมูลทางพันธุกรรมกลับหาได้ง่ายในอินเตอร์เนต ในอนาคตบางทีคุณอาจคิดค้นจนออกแบบวัคซีนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณก็เป็นไปได้”
จุดนี้เองที่เป็นหนึ่งในจุดที่น่าสนใจที่สุดของ “โลกาภิวัตน์ 3.0” คือ “ความแบน” ของโลกในภาพรวม มันคือการที่เราเชื่อมโยงบ่อน้ำแห่งความรู้ในโลกนี้เข้าด้วยกันทั้งหมด เรากำลังยืนอยู่ ณ จุดยอดของยุคแห่งนวัตกรรมยุคใหม่ที่น่าเหลือเชื่อนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ขับเคลื่อนโดยโลกตะวันตกและโลกตะวันออก โดยซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้
Bill Gates อธิบายความหมายของการแปลสภาพนี้ได้ดีที่สุด โดยที่ 30 ปีก่อนการเขียนหนังสือเล่มนี้ Gates บอก Friedman ว่า ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างเกิดเป็นอัจฉริยะในมุมไบหรือเซียงไฮ้ กับ เกิดเป็นคนธรรมดาในเมืองโพห์คีปซี มลรัฐนิวยอร์ก คุณอาจจะเลือกเกิดในโพห์คีปซี เพราะมีโอกาสที่จะอยู่ท่ามกลางความเจริญและรู้สึกอิ่มกับชีวิตมากกว่า แต่ Bill Gates กล่าวว่า “ฉันขอเลือกที่จะเกิดเป็นเด็กในประเทศจีนมากกว่าเกิดเป็นคนธรรมดาในเมืองโพห์คีปซี” กำแพงสู่ประตูทางเข้าหายไปในพริบตา (เหมือนภาพชัดขึ้นมาว่าทำไมคนแบบ Bill Gates ถึงเป็น Bill Gates … ทัศนคติแบบนี้ที่ทำให้ Bill Gates มายืนอยู่จุดที่เขายืนอยู่ได้)
เดี๋ยวมาต่อตอนต่อไปนะคะ
ฝากเวบไซต์พวกเราไว้ด้วยค่ะ