เรื่อง ญิซยะฮฺ หรือภาษีรัชชูปการ : โดย ท่าน dhean

ความหมายของคำนี้ ถ้าพูดให้ง่าย คือ ส่วย หรือค่าคุ้มครอง (ปกติผมไม่ไคร่ชอบความหมายนี้ เพราะอาจจะทำให้คนที่ยังมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ไปทึกทักเอาเอง ว่าเป็นนี้บ้าง เป็นโน้นบ้าง ซึ่งทั้งหมดเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น)  คือ ทรัพสินหนึ่งที่ถูกกำหนดเอาจากผู้ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของมุสลิม และตามสนธิสัญญากับพวกเขา ในเรื่องความปลอดภัยโดยที่เขาไม่ได้รับอิสลาม พื้นฐานดังที่ปรากฏใน ซูเราะฮฺ เตาบะฮฺ โองการที่ 29

เหตุผลของบัญญัตการเก็บ ญิซยะฮฺ

อิสลามได้มีบัญญัติให้ผู้ที่ไม่ได้นับถืออิสลาม ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอิสลามนั้นต้องจ่าย ญิซยะฮฺ
เพื่อเป็นการเท่าเทียมกัน เพราะทั้งคนมุสลิม และมิใช่มุสลิมอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของธงผืนเดียวกัน ซึ่งพวกที่มิใช่มุสลิมก็จะได้รับสิทธิต่างๆทั้งหมด และได้รับประโยชน์จากประเทศชาติ ในการคุ้มครองดูแลใกล้ชิดเหมือนๆกัน ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้บัญญัติให้พวกเขาจ่าย ญิซยะฮฺ เพื่อเป็ฯการตอบแทนพวกมุสลิมที่ทำการปกป้อง หรือป้องกันพวกเขาให้อยู่ในประเทศอิสลามอย่างร่มังนรั้นจึงเป็ฯสิ่งจำเป็ฯหลังจากที่พวกเขาได้จ่ายเรียบร้อยแล้ว ต้แงปกป้องคุ้มครองพวกเขา และทำการขับไล่ และดำเนินการแก่ผู้ปรสงค์ร้ายกับพวกเขา

ใครบ้างต้องจ่าย ญิซยะฮฺ

ญิซยะฮฺ นั้นถูกเรียกเก็บจากทุกคนไม่ว่าจะเป็ฯ ชาวคัมภีร์ พวกบูชาไฟ รวมทั้งบุคคลอื่นจากพวกเขา จะเป็ฯชาวอาหรับหรือมิใช่อาหรับก็ตาม

เงื่อนไขในการเก็บ ญิซยะฮฺ

ได้ถูกระมัดระวังในการเก็บเป็นอย่างมากเนื่องจาก จะต้องมีความเป็นอิสระ มิใช่ทาส โดยความกรุณา ด้วยเหตุนี้จึงได้ถูกกำหนดในผู้ที่จะถูกเก็บนั้น ต้องมีเงื่อนไข ดังนี้
1. เป็นเพศชาย
2. มีความรับผิดชอบ
3. มีเสรีภาพ มิใช่ทาส
นั้นคือเก็บเอาจากผู้มีความสามารถ และร่ำรวย ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บจากสตรี เด็ก ทาส และคนเสียสติ เช่นเดียวกันการเรียกเก็บไม่จำเป็นแก่คนยากจน ที่จะต้องบริจาคให้เขา คนที่ทำงานมิได้ คนตาบอด คนชราภาพ หรือคนที่ป่วยมีโรค นักบวชในอาศรม ยกเว้นเมื่อเขาเป็นผู้ร่ำรวย
ท่านอิมามมาลิก ได้กล่าวว่า “มีซุนนะบ่งบอกว่า ไม่ต้องเรียกเก็บ ญิซยะฮฺ จากหญิงชาวคัมภีร์ หรือบรรดาเด็กๆของพวกเขา และการเรียกเก็บนั้น ให้เก็บเอาจากบรรดาชายที่บรรลุวัยหนุ่มแล้วเท่านั้น”

อัสลัม รายงานว่า ท่านอุมัร ได้ส่งหนังสือไปถึงบรรดาผู้นำกองทหารว่า “พวกท่านอย่าได้เรียกเก็บ ญิซยะฮฺ จากสตรี เด็กๆ เว้นแต่คนที่เป็นชาย และเป็นผู้ใหญ่แล้วเท่านั้น ส่วนคนเสียสติก็อยู่ในประเด็นเดียวกับเด็กเล็ก”

ต้องจ่ายเท่าไหร่

บรรดาเจ้าของสุนัน ได้รายงานจากมุอาษ ว่า แท้จริงท่านนบี ได้ใช้เขาในตอนที่ส่งไปปกครองเยเมนว่า ให้เก็บส่วยเอาจากผู้ที่เป็นชาย อายุบรรลุศาสนภาวะแล้ว คนละหนึ่งดีนาร หรือสิ่งที่มีค่าเท่ากับหนึ่งดีนาร จากเสื้อผ้าก็ได้
เล้วหลังจากนั้น ท่านอุมัร ก็ได้เพิ่มจำนวนการเก็บ ที่เป็นเช่นนี้ นั้นคือท่านนบี ทราบว่าชาวเยเมน นั้นมิได้ร่ำรวยมาก และท่านอุมัร ทราบว่าชามเมืองชามนั้นร่ำรวยมาก และมีความสามารถ
ในเรื่องนี้อิมามามาลิก และอิมามอะหฺมัด มีทัศนะและมีน้ำหนัก “แท้จริงแล้วไม่มีข้อกำหนดน้อยที่สุด หรือมากที่สุดเป็นที่แน่นอน เรื่องนี้ขึ้นกับผู้ปกครองเท่านั้นที่จะกำหนดกับใครเท่าไหร่ ขึ้นกับความเหมาะสม และสภาพของพวกเขา และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเก็บกับคนหนึ่งคนใดเกินกว่ากำลังความสามารถของเขา”

ท่าศาสดา ได้ใช้ให้มีความสงสารต่อบรรดาซิมมี และไม่ใช้พวกเขาเกินความสามารถ ได้มีรายงานจาก อับดุลลอฮฺ บินอุมัร ว่า สิ่งสุดท้ายที่ท่านนบี ได้พูดถึงก็คือ ท่านกล่าวว่า “จงรักษาแบบอย่างของฉันไว้ในส่วนของความรับผิดชอบ หน้าที่”
และมีฮะดีษรายงานว่า “ใครที่ข่มเหงคดโกงคนนอกศาสนาที่อยู่ภายใต้การปกครอง หรือใช้เขาเกินกว่าความสามารถแล้ว ฉันนี้จะเป็นผู้เอาเรื่องแก่เขา”
และยังมีรายงานจากอับดุลลอฮฺ บินอับบาส ว่า “ทรัพย์สินของพวกที่อยู่นอกศาสนานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใด นอกจากปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา”

อ้างอิงจ้าง ฟิกฮุซซุนะฮฺ เล่ม 4 หน้า472-478

“ดังนั้นสัจธรรมได้แจ้งแล้วจากความเท็จ ดังนั้นใครปรารถนาจะเชื่อก็เชื่อเถิด ใครปรารถนาจะปฎิเสธก็ปฏิเสธเถิด”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่