วันนี้ อ่านพบเรื่องที่น่าสนใจ จาก ลิ้งค์
http://www.sju.ac.th/facultyca/files_all_page_km/km_page00-2.doc
ชื่อเรื่องว่า, “สรุปใจความสำคัญบทความเรื่องการเรียนรู้และการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมของมุอัลลัฟ” ซึ่งมี คำบรรยายไว้ดังนี้
ผู้ที่เปลี่ยนการนับถือจากศาสนาเดิมที่ตนเองนับถืออยู่หันมานับถือศาสนาอิสลาม เรียกผู้นั้นว่ามุสลิมใหม่(มุอัลลัฟ) และเมื่อยอมรับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว มุอัลลัฟต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เข้ามาทดสอบความศรัทธาของตนเอง มุอัลลัฟจึงต้องเรียนรู้และมีการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมให้ผู้อื่นได้รับรู้ จากการศึกษาพบว่า มุอัลลัฟทั้งในเขตเมืองและชุมชนชนบทของไทย มีพฤติกรรมการเรียนรู้อัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมของตนเองโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านความเชื่อและทัศนคติ เพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านความรู้ ความคิดเห็น และเพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านบุคลิกภาพ และมีวิธีการเรียนรู้ด้วยการสังเกต การบอกเล่า การสอบถาม การเรียนกับครูสอนศาสนาหรือจากสถาบันสอนศาสนา และ การเรียนรู้ด้วยการอ่านหนังสือ หรือจากสื่ออื่นๆ โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้และการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมของมุอัลลัฟ ได้แก่ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของครอบครัว ชุมชน รวมทั้งสังคมที่มุอัลลัฟอาศัยอยู่ทั้งก่อนหน้าที่มุอัลลัฟจะเข้ารับศาสนาอิสลามและหลังจากที่เข้ารับศาสนาอิสลามแล้ว ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญคือ บริบทแวดล้อมและประเด็นการเรียนรู้และการสื่อสาร ตัวมุอัลลัฟเอง ผลที่ต้องการ และบุคคลที่มุอัลลัฟต้องการเรียนรู้และสื่อสารด้วยสื่อสารด้วย
.......
จากบทความข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่า การเข้ารับอิสลามควรมีการเตรียมพร้อม ทั้งทางกายและใจ, แต่ผมไม่เห็นด้วยในการใช้คำว่า มุสลิมใหม่ ในความหมายของคำว่า "มุอัลลัฟ" มุสลิมใหม่หรือเก่า ไม่มีความสำคัญมากเท่ากับการเป็น "มุมิน" ผู้ที่เข้ารับศาสนาอิสลามใหม่ๆ อาจจะเป็น "มุมิน" ได้ทันทีถ้าเขาได้มีการเตรียมพร้อม และมีความศรัทธาแต่อัลลอฮ์ตะอาลาอย่างแท้จริง ซึ่งแสดงออกจาก บุคลิกลักษณะและการปฏิบัติ อิบาดะห์ต่างๆ อย่างถูกต้องและครบครัน ร่วมอยู่ในสังคมมุสลิม จนเป็นที่แจ้งชัดต่อ มุสลิม ที่พบเห็น
การเข้ารับอิสลามนี้ไม่ยาก เมื่อผู้ใดก็ตามมีความตั้งใจจะเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อพร้อมแล้วทั้งกายและใจ, ก็ไปขอพบกับท่านอีมาม บอกความประสงค์ ว่าต้องการที่จะรับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชีวิตของเขาและต้องการที่จะขอปฏิญาณตัวเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม, โดยขอ กล่าวคำปฏิญาณว่า
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรแก่การเคารพบูชานอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น,และท่านนบีมูฮัมมัดคือศาสนทูตของพระองค์”
เมื่อเขาผู้นั้นปฏิญาณตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็เรียกเขาว่า “มุสลิม” ได้ทันที ในที่นี้ คำว่า “มุอัลลัฟ” เป็นเพียง คำนาม ที่ใช้เป็น คุณศัพท์ บอกสภาวะในการเปลี่ยนจาก ศาสนาอื่นมาเข้ารับอิสลาม หลังจาก กล่าว รับคำปฏิญาณดังกล่าวแล้ว ไม่ควรจะถูกเรียกว่า “มุอัลลัฟ” อีกต่อไป “เขาคือ “มุสลิม” แต่ว่า ยังไม่เป็น “มุมิน” จนกว่าที่ การปฏิบัติตัว ของเขา และพฤติกรรมต่างๆ ของเขาได้เป็น “มุมิน” ทุกๆกระเบียดนิ้ว,
การเป็นมุสลิม ที่สมบูรณ์ หรือ ที่เรียกว่า “มุมิน” นั้น จะต้องมีการปฏิบัติที่สำคัญอยู่สองข้อคือ
1.เป็นมุสลิมที่ มีความ ศรัทธาอย่างแท้จริง ต่อ อัลลออ์ตอาลา และไม่สร้างภาคีต่อพระองค์ ในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การ ยกฐานะท่านรอซูล และ ศอฮาบะ หรือ นักบุญ เป็นตัวแทนหรือทางผ่าน ในการ ขอ พรและ สวดอ้อนวอนต่อ พระเจ้า, มีการเยี่ยมเยียนหรือแสดงคารวะต่อ หลุมฝังศพ ของท่านรอซูล และศอฮะของท่านรอซูล, และหรือของผู้ใดก็ตาม ฯลฯ การกระทำเช่นนี้ในทัศนะส่วนตัวของผมถือว่าเป็นการสร้างภาคี "ชิริก"
2.เป็น มุสลิมที่มีการทำอิบาดะห์.ตามความหมายของคำว่า อิบาดะฮ คือ
อิบาดะฮ หมายถึง ทุกๆ สิ่งที่มีปรากฏในบทบัญญัติ จากคำสั่งใช้ต่างๆ และคำสั่งห้ามต่างๆ,ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่บัญญัติให้ปฏิบัติ หรือมีการส่งเสริมให้กระทำ เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิบัติ และจะต้องเว้น จากการกระทำทุกสิ่งที่มีคำสั่งห้ามให้ละทิ้ง หรือ ห้ามที่หากกระทำถือว่าเป็นการฝ่าฝืน ที่ให้ละทิ้งถ้าปฏิบัติ ถือว่าเป็นบาป และเป็นสิ่งที่น่าเกลียด
การนิกะห์
การนิกะห์ กับผู้ต่างศาสนานั้น ถ้าจะให้ถูกต้องแล้ว จะต้องให้ผู้ ต่างศาสนานั้น เข้ารับอิสลามเสียก่อน และ ปฏิบัติตัวจนแน่ใจว่า เขาผู้นั้น คือ “มุมิน” แล้ว จึงจะทำนิกะห์ได้ แต่เท่าที่ปฏิบัติกันในปัจจุบัน นั้น จะเห็นว่า มุสลิมเราจะพยายามให้ ผู้ที่จะแต่งงานกับมุสลิมนั้น ได้เข้าใจ โดยการเรียนศาสนาอิสลามเสียก่อน และเข้าใจเกี่ยวกับ การศรัทธาและ การทำอิบาดะห์ ตามหลักการของอิสลาม หรือ ไม่ก็ ปฏิญาณตัวและนิกะห์ให้เสร็จในวันเดียวกันเลย ซึ่งข้อหลังนี้ไม่ถูกต้อง ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผม
การที่มีความจำเป็นต้องให้ “มุสลิม” ผู้ที่ ผ่านสภาพ “มุอัลลัฟ” เป็น “มุมิน” เสียก่อนนั้น ก็เพื่อป้อง กัน การเป็น “มูนาฟิก” ของคนบางคน คือ มูนาฟิกทางความ “ศรัทธา” และ/หรือ มูนาฟิก ทาง “อิบาดะห์” การเป็นมูนาฟิก ทางความศรัทธาถือว่า “ตกสภาพจากการเป็นมุสลิม” เนื่องจาก “
เขาผู้นั้นไม่ มีความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์ตะอาลาอย่างแท้จริง",
ส่วนผู้ที่ เป็นมูนาฟิกทาง การปฏิบัตินั้น ยังคงมีความเป็นมุสลิมเหลืออยู่ ไม่ว่าเขาจะ สับปรับ ปากกับใจไม่ตรงกันในทาง อิบาดะห์ อย่างไรก็ตาม, แต่เขาผู้นั้นจะมีความผิด ในข้อที่ว่า โกหกว่าจะปฏิบัติตามหลักการของอิสลามแล้วแต่ไม่ทำตามอย่างครบครันและถูกต้อง จะถูกลงโทษในวันตัดสิน ซึ่งเป็นสิทธิของพระเจ้าเท่านั้น
ปล.
คำว่า มูมิน (อรับ: مؤمن )
เป็นศัพท์ อรับทางศาสนาอิสลาม ซึ่งในอัลกุรอานอ้างถึง อยู่บ่อยครั้ง มีความหมายตามตัวหนังสือว่า "ผู้ศรัทธา" และ คำนี้ ชี้ให้เห็นถึง บุคคลที่มีความสวามิภักดิ์ ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และ ศาสนาอิสลาม อย่างมั่นคงด้วยจิตใจ(หัวใจ) ของเขาอย่างแท้จริง หรือที่เรียกว่า "มุสลิมผู้ที่มั่นคงในศรัทธาต่ออิสลามที่แท้จริงทั้ง กาย,วาจา และใจ"
"การเป็นมุสลิมที่แท้จริง" ในการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
วันนี้ อ่านพบเรื่องที่น่าสนใจ จาก ลิ้งค์
http://www.sju.ac.th/facultyca/files_all_page_km/km_page00-2.doc
ชื่อเรื่องว่า, “สรุปใจความสำคัญบทความเรื่องการเรียนรู้และการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมของมุอัลลัฟ” ซึ่งมี คำบรรยายไว้ดังนี้
ผู้ที่เปลี่ยนการนับถือจากศาสนาเดิมที่ตนเองนับถืออยู่หันมานับถือศาสนาอิสลาม เรียกผู้นั้นว่ามุสลิมใหม่(มุอัลลัฟ) และเมื่อยอมรับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว มุอัลลัฟต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เข้ามาทดสอบความศรัทธาของตนเอง มุอัลลัฟจึงต้องเรียนรู้และมีการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมให้ผู้อื่นได้รับรู้ จากการศึกษาพบว่า มุอัลลัฟทั้งในเขตเมืองและชุมชนชนบทของไทย มีพฤติกรรมการเรียนรู้อัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมของตนเองโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านความเชื่อและทัศนคติ เพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านความรู้ ความคิดเห็น และเพื่อปรับเปลี่ยนทางด้านบุคลิกภาพ และมีวิธีการเรียนรู้ด้วยการสังเกต การบอกเล่า การสอบถาม การเรียนกับครูสอนศาสนาหรือจากสถาบันสอนศาสนา และ การเรียนรู้ด้วยการอ่านหนังสือ หรือจากสื่ออื่นๆ โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้และการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมของมุอัลลัฟ ได้แก่ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของครอบครัว ชุมชน รวมทั้งสังคมที่มุอัลลัฟอาศัยอยู่ทั้งก่อนหน้าที่มุอัลลัฟจะเข้ารับศาสนาอิสลามและหลังจากที่เข้ารับศาสนาอิสลามแล้ว ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญคือ บริบทแวดล้อมและประเด็นการเรียนรู้และการสื่อสาร ตัวมุอัลลัฟเอง ผลที่ต้องการ และบุคคลที่มุอัลลัฟต้องการเรียนรู้และสื่อสารด้วยสื่อสารด้วย
.......
จากบทความข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่า การเข้ารับอิสลามควรมีการเตรียมพร้อม ทั้งทางกายและใจ, แต่ผมไม่เห็นด้วยในการใช้คำว่า มุสลิมใหม่ ในความหมายของคำว่า "มุอัลลัฟ" มุสลิมใหม่หรือเก่า ไม่มีความสำคัญมากเท่ากับการเป็น "มุมิน" ผู้ที่เข้ารับศาสนาอิสลามใหม่ๆ อาจจะเป็น "มุมิน" ได้ทันทีถ้าเขาได้มีการเตรียมพร้อม และมีความศรัทธาแต่อัลลอฮ์ตะอาลาอย่างแท้จริง ซึ่งแสดงออกจาก บุคลิกลักษณะและการปฏิบัติ อิบาดะห์ต่างๆ อย่างถูกต้องและครบครัน ร่วมอยู่ในสังคมมุสลิม จนเป็นที่แจ้งชัดต่อ มุสลิม ที่พบเห็น
การเข้ารับอิสลามนี้ไม่ยาก เมื่อผู้ใดก็ตามมีความตั้งใจจะเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อพร้อมแล้วทั้งกายและใจ, ก็ไปขอพบกับท่านอีมาม บอกความประสงค์ ว่าต้องการที่จะรับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชีวิตของเขาและต้องการที่จะขอปฏิญาณตัวเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม, โดยขอ กล่าวคำปฏิญาณว่า
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรแก่การเคารพบูชานอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น,และท่านนบีมูฮัมมัดคือศาสนทูตของพระองค์”
เมื่อเขาผู้นั้นปฏิญาณตัวเรียบร้อยแล้ว เราก็เรียกเขาว่า “มุสลิม” ได้ทันที ในที่นี้ คำว่า “มุอัลลัฟ” เป็นเพียง คำนาม ที่ใช้เป็น คุณศัพท์ บอกสภาวะในการเปลี่ยนจาก ศาสนาอื่นมาเข้ารับอิสลาม หลังจาก กล่าว รับคำปฏิญาณดังกล่าวแล้ว ไม่ควรจะถูกเรียกว่า “มุอัลลัฟ” อีกต่อไป “เขาคือ “มุสลิม” แต่ว่า ยังไม่เป็น “มุมิน” จนกว่าที่ การปฏิบัติตัว ของเขา และพฤติกรรมต่างๆ ของเขาได้เป็น “มุมิน” ทุกๆกระเบียดนิ้ว,
การเป็นมุสลิม ที่สมบูรณ์ หรือ ที่เรียกว่า “มุมิน” นั้น จะต้องมีการปฏิบัติที่สำคัญอยู่สองข้อคือ
1.เป็นมุสลิมที่ มีความ ศรัทธาอย่างแท้จริง ต่อ อัลลออ์ตอาลา และไม่สร้างภาคีต่อพระองค์ ในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การ ยกฐานะท่านรอซูล และ ศอฮาบะ หรือ นักบุญ เป็นตัวแทนหรือทางผ่าน ในการ ขอ พรและ สวดอ้อนวอนต่อ พระเจ้า, มีการเยี่ยมเยียนหรือแสดงคารวะต่อ หลุมฝังศพ ของท่านรอซูล และศอฮะของท่านรอซูล, และหรือของผู้ใดก็ตาม ฯลฯ การกระทำเช่นนี้ในทัศนะส่วนตัวของผมถือว่าเป็นการสร้างภาคี "ชิริก"
2.เป็น มุสลิมที่มีการทำอิบาดะห์.ตามความหมายของคำว่า อิบาดะฮ คือ
อิบาดะฮ หมายถึง ทุกๆ สิ่งที่มีปรากฏในบทบัญญัติ จากคำสั่งใช้ต่างๆ และคำสั่งห้ามต่างๆ,ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่บัญญัติให้ปฏิบัติ หรือมีการส่งเสริมให้กระทำ เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิบัติ และจะต้องเว้น จากการกระทำทุกสิ่งที่มีคำสั่งห้ามให้ละทิ้ง หรือ ห้ามที่หากกระทำถือว่าเป็นการฝ่าฝืน ที่ให้ละทิ้งถ้าปฏิบัติ ถือว่าเป็นบาป และเป็นสิ่งที่น่าเกลียด
การนิกะห์
การนิกะห์ กับผู้ต่างศาสนานั้น ถ้าจะให้ถูกต้องแล้ว จะต้องให้ผู้ ต่างศาสนานั้น เข้ารับอิสลามเสียก่อน และ ปฏิบัติตัวจนแน่ใจว่า เขาผู้นั้น คือ “มุมิน” แล้ว จึงจะทำนิกะห์ได้ แต่เท่าที่ปฏิบัติกันในปัจจุบัน นั้น จะเห็นว่า มุสลิมเราจะพยายามให้ ผู้ที่จะแต่งงานกับมุสลิมนั้น ได้เข้าใจ โดยการเรียนศาสนาอิสลามเสียก่อน และเข้าใจเกี่ยวกับ การศรัทธาและ การทำอิบาดะห์ ตามหลักการของอิสลาม หรือ ไม่ก็ ปฏิญาณตัวและนิกะห์ให้เสร็จในวันเดียวกันเลย ซึ่งข้อหลังนี้ไม่ถูกต้อง ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผม
การที่มีความจำเป็นต้องให้ “มุสลิม” ผู้ที่ ผ่านสภาพ “มุอัลลัฟ” เป็น “มุมิน” เสียก่อนนั้น ก็เพื่อป้อง กัน การเป็น “มูนาฟิก” ของคนบางคน คือ มูนาฟิกทางความ “ศรัทธา” และ/หรือ มูนาฟิก ทาง “อิบาดะห์” การเป็นมูนาฟิก ทางความศรัทธาถือว่า “ตกสภาพจากการเป็นมุสลิม” เนื่องจาก “เขาผู้นั้นไม่ มีความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์ตะอาลาอย่างแท้จริง",
ส่วนผู้ที่ เป็นมูนาฟิกทาง การปฏิบัตินั้น ยังคงมีความเป็นมุสลิมเหลืออยู่ ไม่ว่าเขาจะ สับปรับ ปากกับใจไม่ตรงกันในทาง อิบาดะห์ อย่างไรก็ตาม, แต่เขาผู้นั้นจะมีความผิด ในข้อที่ว่า โกหกว่าจะปฏิบัติตามหลักการของอิสลามแล้วแต่ไม่ทำตามอย่างครบครันและถูกต้อง จะถูกลงโทษในวันตัดสิน ซึ่งเป็นสิทธิของพระเจ้าเท่านั้น
ปล.
คำว่า มูมิน (อรับ: مؤمن )
เป็นศัพท์ อรับทางศาสนาอิสลาม ซึ่งในอัลกุรอานอ้างถึง อยู่บ่อยครั้ง มีความหมายตามตัวหนังสือว่า "ผู้ศรัทธา" และ คำนี้ ชี้ให้เห็นถึง บุคคลที่มีความสวามิภักดิ์ ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และ ศาสนาอิสลาม อย่างมั่นคงด้วยจิตใจ(หัวใจ) ของเขาอย่างแท้จริง หรือที่เรียกว่า "มุสลิมผู้ที่มั่นคงในศรัทธาต่ออิสลามที่แท้จริงทั้ง กาย,วาจา และใจ"