ใครกันแน่...ฝักใฝ่ปฏิวัติรัฐประหาร!

กระทู้สนทนา
ทหารในเวลานั้นฉวยโอกาสยับยั้งกองกำลังเถื่อน และหยุดยั้งการใช้อำนาจโดยมิชอบของพรรคไทยรักไทย เป็นเช่นนี้ ยังมีหน้าอ้างว่า ทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกต้องตามกฏหมายได้อย่างไร

เห็นโปรยข่าวในสื่อต่างๆเรื่องทักษิณ ชินวัตรโต้ประชาธิปัตย์ว่า พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนชนไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร

อ่านเพียงโปรยข่าวสั้น ไม่ได้ดูรายละเอียด เพราะรู้ว่า การแก้ตัวของทักษิณไม่พ้นเรื่องทหารยึดอำนาจรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 19 กันยายน 25449 เรื่องนี้ได้เขียนไว้หลายครั้งแล้ว  แต่จำเป็นต้องแจงให้กระจ่างต่อไปว่า วันที่ 19 กันยายน 2549 ทหารไม่ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทหารได้ยับยั้งการใช้อำนาจโดยมีชอบ จากรัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่งไม่ชอบด้วยองค์ประกอบรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หมดวาระไปแล้วตั้งแต่ทักษิณประกาศยุบสภาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 รัฐบาลในเวลานั้นขาดความชอบธรรมหนักเข้าไปอีก  เมื่อจัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2549  เป็นการเลือกตั้งที่ซึ่งศาลฯได้ตัดสินให้เป็นโมฆะ

นอกจากตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้ว ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองยังตัดสินจำคุกคณะกรรมการเลือกตั้งสามคนถึงสี่ปี  ในฐานความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่กระทำผิดกฎหมายเสียเองซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะคณะกรรมการเลือกตั้งจงใจกระความผิด เพื่อช่วยให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย คือ ให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้งจากอีกเขตหนึ่งมาแล้ว สามารถเวียนไปสมัครเลือกตั้งในเขตอื่นๆได้อีก  เขตอื่นๆคือ เขตที่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย สมัครเพียงคนเดียว  แต่ไม่สามารถทำคะแนนได้ถึง 20%ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องหาผู้สมัครที่แพ้เลือกตั้งในเขตอื่นมาลงแข่งขันเป็นตัวประกอบ  เพราะเหตุว่าประชาชนจำนวนกว่าสิบเอ็ดล้านเสียงลงคะแนน โนโหวต เพื่อขัดขวางพรรคไทยรักไทย ไม่ให้ชนะการเลือกตั้งที่ประชาชนเห็นว่า ไม่ชอบธรรม จึงนับได้ว่าประชาชนได้ล้มล้างรัฐบาลไทยรักไทยตั้งแต่วันที่ลงคะแนนไม่ให้พรรคไทยรักไทยสามารถหาคะแนนเสียงได้ถึง20%ในหลายสิบเขต

ศาลตัตสินให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะตั้งแต่เดือนเมษายน และตัดสินจำคุกคณะกรรมการเลือกตั้งที่เรียกกันว่าสามหนาห้าห่วงเมื่อวันที่  25 ก.ค. 2549 ลองมองย้อนกลับไปดูว่า ศาลตัดสินให้การเลือกเป็นโมฆะตั้งแต่เดือนเมษยน รัฐบาลยังอยู่ในหน้าที่ ใช้อำนาจอย่างย่ามใจเหมือนเดิม มิหนำซ้ำศาลยังสินให้กรรมการเลือกตั้งจำคุก เพราะเห็นว่าเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลในเวลานั้นยังเดินหน้าทำงานในตำแหน่งหน้าตาเฉย จนถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 วันที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติที่สุดในโลก  วันที่ประชาชนกำลังจะถูกสังหารหมู่กลางเมือง เมื่อมีคนจัดตั้งกองกำลังเถื่อนจากภาคอีสาน เข้าถล่มกลุ่มพันธิมิตรประชาชนเพื่อประชาชาธิปไตยที่กำลังประท้วงรัฐบาลอยู่ในใจกลางเมืองหลวง ทหารในเวลานั้นเลยฉวยโอกาสยับยั้งกองกำลังเถื่อน และหยุดยั้งการใช้อำนาจโดยมิชอบของพรรคไทยรักไทย เป็นเช่นนี้ ยังมีหน้าอ้างว่าทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกต้องตามกฏหมายได้อย่างไร

ทักษิณอ้างเสมอว่าเป็นคนเกลียดการปฏิวัติ แต่ในวันนั้นเองทักษิณ ก็เตรียมตัวประกาศภาวะฉุกเฉินก่อนแล้ว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการประกาศยึดอำนาจตัวเอง จำได้ไหมวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทักษิณ เองเป็นผู้ประกาศภาวะฉุกเฉินมาจากวอชิงตันก่อนถึงสองฉบับ ในคำประกาศนั้นสั่งให้ผู้นำเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงมาไปรายงานตัวต่อ พล.อ.เรืองโรจณ์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการสูงสุด ในฐานะผู้อำนวยการภาวะฉุกเฉิน ประกาศนี้มันต่างกับการประกาศของคณะปฏิวัติตรงไหน แต่บังเอิญคณะปฏิวัติตอนนั้นเข้าไปยึดสถานีโทรทัศช่อง 9  ที่ทักษิณกำลังประกาศภาวะฉุกเฉินได้เสียก่อน พล.อ.เรืองโรจณ์ กับพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ซึ่งเป็นคนของพรรคไทยรักไทย และมาร่วมเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน จำใจต้องมารายงานตัวกับคณะปฏิวัติของพล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ผู้นำคณะปฏิวัติน่อมแน่มที่ขออภัยในความไม่สะดวกในวันยึดอำนาจ

สิ่งที่น่าสนใจคือ คำประกาศภาวะฉุกเฉินของทักษิณ ได้เตรียมไปล่วงหน้า ก่อนออกเดินทางไปจากประเทศไทยแล้ว นอกจากนั้นวันที่ทักษิณเดินทางออกจากประเทศไทย ใช้เครื่องบินไทยคู่ฟ้าเป็นเครื่องประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เดินทางจากกรุงเทพฯไปฟินแลนด์ ทำภาระกิจในฟินแลนด์อยู่ 3วัน ทักษิณก็เช่าเหมาลำเครื่องบินของสายการบินไทย เป็นเครื่องจัมโบ้ให้ตามไปที่ฟินแลนด์ โดยมีกระเป๋าเดินทางไปกับเครื่องบินลำนี้ถึง 119 ใบ และมีผู้โดยสารคุมกระเป๋าไปกับเครื่องเพียงไม่กี่คน เครื่องบินไทยคู่ฟ้าที่บินไปเที่ยกแรก มีกระเดินทางไม่ถึงร้อยใบ ทั้งๆที่มีเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนร่วมคณะด้วย คำถามมีอยู่ว่าทักษิณมีความจำเป็นอะไรที่ต้องเช่าเหมาลำเครื่องบินของสายการบินไทยให้ตามไปฟินแลนด์ ทั้งๆที่มีเครื่องไทยคู่ฟ้าสแตนบายอยู่แล้ว และทำไมทักษิณจึงทิ้งเครื่องไทยคู่ฟ้าไว้ที่ฟินแลนด์  แล้วเดินทางต่อไปวอชิงตัน ดีซี โดยเครื่องบินเช่าเหมาลำของการบินไทย  เครื่องไทยคู่ฟ้าติดค้างอยู่ในฟินแลนด์หลายเดือน หลังจากยึดอำนาจ กว่ากองทัพอากาศจะส่งคนไปรับกลับ ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่ยังคาใจอยู่ว่า ทักษิณได้เตรียมปฏิวัตตัวเองไว้ก่อนหรือไม่ และ เตรียมตัวตัวไว้ว่าถ้าถูกยึดอำนาจก็จะเดินทางต่อด้วยเครื่องบินพานิช ถึงได้ทิ้งเครื่องบินไทยคู่ฟ้าไว้ที่ฟินแลนด์

ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เป็นเช่นนี้ แล้วจะกล่าวได้อย่างไรว่าทักษิณต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร นอกจากยามที่ตัวได้ผลประโชนช์จากการยึดอำนาจในวันที่พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ และ คณะยึดอำนาจพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ทักษิณถึงกับเข้าไปกราบ กอดเอวพล.อ.สุนทรกับวลีที่ว่า “ถ้าไม่มีพี่ ผมก็ไม่มีวันนี้” และประกาศชาตินี้ไม่มีวันลืมบุญคุณพล.อ.สุนทร เพราะได้สัมปทานดาวเทียมมาจากคณะปฏิวัติชุดนั้น มาวันนี้กล่าวอ้างเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า เป็นผู้ต่อต้านการปฏิวัติยึดอำนาจ

ข้อกล่าวอ้างที่ว่า พรรคพลังประชาชนและเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง สะท้อนประชาชนไม่เอาการปฏิวัติรัฐประหาร ลองนึกถอยหลังไปดูว่า  วันที่พรรคพลังประชาชาชนชนะการเลือกตั้งนั้น หัวหน้าพรรคตอนนั้นเป็นใคร เป็นคนต่อต้านรัฐประหารหรือเป็นคนได้ดีมาจากปฏิวัติรัฐประหาร เป็นคนที่ส่งเสริมปลุกระดมให้มีการสังหารหมู่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือไม่ หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ยุยงส่งเสริมให้ทหารปฏิวัติในวันนั้นใช่หรือไม่ และได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจากการสังหารหมู่ในธรรมศาสตร์ใช่หรือไม่

การกล่าวอ้างว่า พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนไม่เอาการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ใช่ตรรกะที่ถูกต้อง ลองใช้คำว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นว่า การโกงเลือกตั้งและประชาธิปไตยเงินตรา ใช้ได้ผลในประเทศไทยดูบ้าง เพราะพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ด้วยทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คือ การโกงเลือกตั้งนั้นเอง ศาลได้ตัดสินจำคุกผู้ที่ร่วมโกงเลือกตั้ง ไปแล้ว ตั้งแต่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของพรรคไทยรักไทย คณะกรรมการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่คณะกรรมการเลือกตั้งที่ช่วยแก้ฐานข้อมูลสมาชิกพรรคให้

ในแง่ประชาธิปไตยเงินตรา  พรรคไทยรักไทยเริ่มต้นการเมือง  โดยการกวาดต้อนนักการเมืองจากพรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่ พรรคสามัคคีธรรมและพรรคพลังธรรม นอกจากนั้นบรรดานักการเมืองที่ซุกอยู่ใต้อิทธิพลของเจ้าพ่ออีสานและมาเฟียฝั่งตะวันออก รวมถึงเจ้าพ่อวังน้ำเน่าที่โกงที่ดินวัดจากการบริจาคของยายเนื่อมมาทำสนามกอล์ฟ มาอยู่ในชายคาด้วยอำนาจเงินตรา หรือด้วยอุดมการณ์ที่แรงกล้า เงินเดือน ส.ส. นอกจากภาษีประชาชนแล้ว ยังได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของพรรคที่แท้จริงอีกหรือไหม ส.ส. ส.ว. ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของโมฆะบุรุษสัมภเวสีหนีศาล  เข้าใจลึกซึ่งถึงอุมการณ์ประชาชาธิปไตยถ่องแท้แล้วหรือไม่ว่า ประชาธิปไตยแบ่งอำนาจ ออกแป็น นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ทั้งสามฝ่ายไม่มีก้าวก่ายแทรกแซงข่มขู่ซึ่งกันและกัน เพราะถ้าเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เป็นนักการเมืองที่ต่อต้านการปฏิวัติรัฐหารแท้จริง ต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ข้องแวะฝักไฝ่คณะปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวเองได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์

แต่การที่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการปฏิวัติและต้องหลุดจากอำนาจเพราะผู้ชิงปฏิวัติไปก่อนเพียงไม่กี่นาที แล้วมาอ้างว่า เป็นนักประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ เอาไว้กลับมาบ้าน แล้วพบกับชะตากรรมเมืองแบบมูชาราฟ อดีตผู้นำเผด็จการปากีสถานก่อน แล้วค่อยตีโพยตีพายเถอะ

ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6681

ปล.ตอนนี้เราก็เห็นกันแล้วนะครับ ใครกันแน่ที่ชอบเผด็จการ.....เอิ๊ก ๆ ๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่