๔. ตกหลุมรัก ขาไม่หัก แต่อกไม่แน่
หน้าโรงหนังหมายเลข ๖ ทั้งสองเดินออกมาจากที่นั่งคนละด้าน ชายหนุ่มมากจากด้านซ้าย ขณะที่หญิงสาวเดินออกมาจากด้านขวา มันเป็นความบังเอิญที่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน
“อ้าว”
“อ้าว”
ทั้งสองคนอ้าวพร้อมกัน ทั้งที่อากาศค่อนข้างเย็นจัดในโรงหนังที่ราคาตั๋วแบบถูกสุดเกือบเท่าค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานตามกฎหมาย
“ผมนึกว่าคุณจะดูหนัง”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ”
“ง่ายงั้นเลย”
“ค่ะ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ง่ายๆ”
“ผมก็เหมือนกัน”
ทั้งสองออกมายืนอยู่หน้าโรงหนัง ยืนคุยกันท่ามกลางผู้คนที่รอดูหนังในรอบถัดไป หรืออาจจะเพียงแค่นั่งรอใคร บางคนก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกส่วนตัวสนทนากันอย่างเมามันผ่านสื่อออนไลน์ ขณะที่กับคนที่นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ แค่หันไปยิ้มให้ยังไม่ทำ เรื่องทักทายคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับคนในยุคสมัยการสื่อสารออนไลน์ครองเมือง
“แล้วเพื่อนชายของคุณล่ะคะ”
“เขายังอยู่ในโรงหนัง”
“อ่อ ถ้างั้นฉันขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ... รอก่อนได้มั้ยผมจะไปเอาซีดีอรวีมาให้ มันอยู่ในรถน่ะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ ฉันไม่รีบ”
“งั้น... ทานกาแฟก่อนมั้ย คือ ผมต้องรอเพื่อนอยู่ดี”
สาบานได้ว่าเขาไม่เคยพูดจาติดขัด และไม่เคยต้องสรรหาถ้อยคำมากมายเพื่อเป็นข้ออ้างแบบนี้มาก่อนในการชวนใครสักคนนั่งดื่มกาแฟ
แล้วทั้งสองพาตัวเองเข้าไปนั่งในร้านกาแฟที่ตกแต่งเลียนแบบยุคหกสิบปีที่แล้ว ซึ่งนัยว่าเป็นการตกแต่งเพื่อเอาใจลูกค้าสมัยใหม่ที่โหยหาความโบร่ำโบราณแบบถากๆ ไม่ใช่เพื่อคนที่ใช่อยากหยั่งลึกลงไปในรากเหง้าของบรรพบุรุษสักเท่าใดนัก หลังจากหาที่นั่งในมุมส่วนตัวได้แล้ว ชายหนุ่มเลือกเมนูเป็นชาอังกฤษ ส่วนหญิงสาวเธอเลือกทีรามิสึเค้ก กับชาเขียวร้อน
“ไม่ชอบกาแฟเย็นเหรอครับ ร้านนี้กาแฟเย็นอร่อยนะ”
“ไม่ล่ะค่ะ ไม่นิยมของขมในน้ำแข็ง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ดื่มเหล้าสิ”
“พยายามปั้นมุก อยู่ใช่มั้ยคะ”
“ว้า คุณรู้ทัน เขินจัง”
“มุกคุณฝืดมาก”
“ว่าแต่ที่ตกบันได หายดีหรือยังครับ”
“หายแล้วค่ะ”
“ยาดี หรือกำลังใจดี”
คำถามชี้นำเผื่อบางทีอาจจะได้คำตอบที่สงสัยอยู่ แต่เธอกลับตอบมาว่า
“ทั้งสองอย่างค่ะ”
นั่นอาจจะหมายถึงหายป่วยเพราะยาและมีกำลังใจดีจากคนรักก็เป็นได้ คิดแล้วปวดใจเป็นบ้า จิรวิดื่มชาหมดถ้วย ลืมไปว่าชาร้อน น้ำตาแทบไหล
“คุณสองคนคบกันมานานแล้วเหรอคะ”
“ฮะ อะไรนะครับ”
ใครจะไปรู้ อยู่ๆ จะถูกถามแบบนี้ ชาร้อนเมื่อกี้แทบจะสำลักออกทางเดิม
“ฉันหมายถึง คุณกับเพื่อนชายของคุณ”
“ก็ตั้งแต่ไฮสะ เอ่อ มอปลาย น่ะครับ”
“ไฮสคูลไปเลยก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจ”
“ครับ ตั้งแต่ไฮสคูล แต่ผมกับเขาไม่ได้เป็นคู่รักกันนะครับ เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น คือ ไม่ใช่แต่คุณหรอกครับที่เข้าใจผิด ทุกคนที่เห็นผมกับปณตมาด้วยกันเขาก็เข้าใจว่าเราเป็นคู่รักกันทั้งนั้น”
จิรวิมั่นใจว่าการชี้แจงชัดเจนแล้ว เขาจึงสบายใจไม่รู้สึกเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบเหมือนสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่แท้จริงแล้วเปล่าเลย ถึงแม้เธอจะเชื่อว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นคนรักกันแต่ก็ยังเชื่อว่าเขามีคนรักเป็นผู้ชายอยู่ดี ทำไงได้เล่าก็ในเมื่อสังคมสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้น ผู้ชายหันมารักกันเปิดเผยมากขึ้น จะตำหนิ หรือต่อว่าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องของความรักเป็นเรื่องของหัวใจห้ามปรามได้หรือก็เปล่า
“คุณมาดูหนังคนเดียวไม่เหงาเหรอครับ”
“ไม่เหงาหรอกค่ะ แหม แค่การดูหนัง ใช่ต้นเหตุของความเหงาเมื่อไหร่กัน แล้วคุณล่ะคะไม่ลองมาดูหนังคนเดียวบ้าง”
“ก็บ่อยนะครับ ส่วนใหญ่ก็มาคนเดียว”
“วันนี้คงเป็นวันพิเศษ”
“เปล่าครับ วันนี้วันเสาร์”
“อืมม์ มุกนี้ผ่านค่ะ”
ขณะคุยกันอย่างออกรสด้วยเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่หนังสือที่ชอบ กีฬาที่เล่น กระทั่งดนตรีที่โปรด อยู่ๆ ก็มีเด็กสาวหน้าตาดี อายุน่าระอยู่ราวๆ มหาวิทยาลัยปีสี่ มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยประโยคว่า
“ลุงคะ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยได้มั้ยคะ”
จิรวิตกใจเพราะอยู่ๆ มีคนมาขอถ่ายรูปกลางร้านกาแฟ แต่ก็เริ่มเข้าใจเมื่อนึกได้ว่าเขาใส่เสื้อเชิ้ตรีดเรียบกลีบโง้ง ติดกระดุมถึงคอ กางเกงสแล็คเรียบร้อยแบบชายหนุ่มผู้ดียุคซิกส์ตี้ไม่มีผิด สาวน้อยคนนั้นเข้าใจว่าเขาเป็นพรีเซนเตอร์ของร้าน จึงได้ขอถ่ายรูป เจ้าของร้านยักคิ้วให้ เขาเลยได้โอกาสโพสท์ท่าใส่ไม่อายใคร เจ้าของร้านฉวยกล้องได้ก็ยกขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง และเหมือนอุปาทานหมู่ ดูเหมือนทั้งร้านจะพร้อมใจกันถ่ายรูป “นายแบบ” ในอริยาบทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าเขาคือพรีเซนเตอร์ของร้านจริงๆ กระทั่งปณตมาตามที่ร้านทั้งสองคนจึงหมดสนุก เจ้าของร้านไม่คิดเงินค่าเครื่องดื่ม ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยทำให้ร้านขายดีขึ้น
“คุณว่าผมดูแก่มั้ย”
“ก็ไม่นี่คะ คุณยังดูเหมือนยี่สิบห้าอยู่เลยค่ะ”
“นั่นสินะ ผมก็ว่างั้น แต่น้องคนนั้นน่ะสิ เธอเรียกผมว่าลุงได้เต็มปากเต็มคำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะน่ารักล่ะก็ โดนลุงเบิ๊ดโหลกไปแล้ว”
ความร่าเริงจนดูเว่อของจิรวิทำให้เพื่อนหนุ่มแอบหัวเราะหึหึ นี่เองสินะ อาการของคนตกหลุมรัก สองหนุ่มไม่ได้ไปส่งหญิงสาวกลับบ้านอย่างที่ควรทำ เธอบอกว่าเพิ่งเจอกันแค่สองสามครั้งยังไม่นับว่าสนิทกันมากพอจะไปส่งถึงบ้านได้ เอาแค่รถไฟฟ้าใต้ดินก็พอที่เหลือจะเดินทางเอง แล้วเมื่อเธอเดินลับตาลงสถานีไป
“กลุ้มใจว่ะ เธอยังคิดว่านายกับฉันเป็นคู่เกย์กันอยู่เลย ลืมแก้ตัวมัวแต่คุยเพลินไปหน่อย”
“ตัวใครตัวมันนะงานนี้”
ปณตไม่ขอเอี่ยว กับเรื่องความรักของใครเพราะลำพังหัวใจตัวเองก็อยู่ในขั้น สะบักสะบอม ต้องซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว
ตกหลุมรัก... ขาไม่หักหรอกนะ แต่อาจจะอกหัก
นิยาย : ระหว่างน้ำกับฟ้า ตอนที่ ๔
หน้าโรงหนังหมายเลข ๖ ทั้งสองเดินออกมาจากที่นั่งคนละด้าน ชายหนุ่มมากจากด้านซ้าย ขณะที่หญิงสาวเดินออกมาจากด้านขวา มันเป็นความบังเอิญที่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน
“อ้าว”
“อ้าว”
ทั้งสองคนอ้าวพร้อมกัน ทั้งที่อากาศค่อนข้างเย็นจัดในโรงหนังที่ราคาตั๋วแบบถูกสุดเกือบเท่าค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานตามกฎหมาย
“ผมนึกว่าคุณจะดูหนัง”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ”
“ง่ายงั้นเลย”
“ค่ะ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ง่ายๆ”
“ผมก็เหมือนกัน”
ทั้งสองออกมายืนอยู่หน้าโรงหนัง ยืนคุยกันท่ามกลางผู้คนที่รอดูหนังในรอบถัดไป หรืออาจจะเพียงแค่นั่งรอใคร บางคนก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกส่วนตัวสนทนากันอย่างเมามันผ่านสื่อออนไลน์ ขณะที่กับคนที่นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ แค่หันไปยิ้มให้ยังไม่ทำ เรื่องทักทายคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับคนในยุคสมัยการสื่อสารออนไลน์ครองเมือง
“แล้วเพื่อนชายของคุณล่ะคะ”
“เขายังอยู่ในโรงหนัง”
“อ่อ ถ้างั้นฉันขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ... รอก่อนได้มั้ยผมจะไปเอาซีดีอรวีมาให้ มันอยู่ในรถน่ะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ ฉันไม่รีบ”
“งั้น... ทานกาแฟก่อนมั้ย คือ ผมต้องรอเพื่อนอยู่ดี”
สาบานได้ว่าเขาไม่เคยพูดจาติดขัด และไม่เคยต้องสรรหาถ้อยคำมากมายเพื่อเป็นข้ออ้างแบบนี้มาก่อนในการชวนใครสักคนนั่งดื่มกาแฟ
แล้วทั้งสองพาตัวเองเข้าไปนั่งในร้านกาแฟที่ตกแต่งเลียนแบบยุคหกสิบปีที่แล้ว ซึ่งนัยว่าเป็นการตกแต่งเพื่อเอาใจลูกค้าสมัยใหม่ที่โหยหาความโบร่ำโบราณแบบถากๆ ไม่ใช่เพื่อคนที่ใช่อยากหยั่งลึกลงไปในรากเหง้าของบรรพบุรุษสักเท่าใดนัก หลังจากหาที่นั่งในมุมส่วนตัวได้แล้ว ชายหนุ่มเลือกเมนูเป็นชาอังกฤษ ส่วนหญิงสาวเธอเลือกทีรามิสึเค้ก กับชาเขียวร้อน
“ไม่ชอบกาแฟเย็นเหรอครับ ร้านนี้กาแฟเย็นอร่อยนะ”
“ไม่ล่ะค่ะ ไม่นิยมของขมในน้ำแข็ง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ดื่มเหล้าสิ”
“พยายามปั้นมุก อยู่ใช่มั้ยคะ”
“ว้า คุณรู้ทัน เขินจัง”
“มุกคุณฝืดมาก”
“ว่าแต่ที่ตกบันได หายดีหรือยังครับ”
“หายแล้วค่ะ”
“ยาดี หรือกำลังใจดี”
คำถามชี้นำเผื่อบางทีอาจจะได้คำตอบที่สงสัยอยู่ แต่เธอกลับตอบมาว่า
“ทั้งสองอย่างค่ะ”
นั่นอาจจะหมายถึงหายป่วยเพราะยาและมีกำลังใจดีจากคนรักก็เป็นได้ คิดแล้วปวดใจเป็นบ้า จิรวิดื่มชาหมดถ้วย ลืมไปว่าชาร้อน น้ำตาแทบไหล
“คุณสองคนคบกันมานานแล้วเหรอคะ”
“ฮะ อะไรนะครับ”
ใครจะไปรู้ อยู่ๆ จะถูกถามแบบนี้ ชาร้อนเมื่อกี้แทบจะสำลักออกทางเดิม
“ฉันหมายถึง คุณกับเพื่อนชายของคุณ”
“ก็ตั้งแต่ไฮสะ เอ่อ มอปลาย น่ะครับ”
“ไฮสคูลไปเลยก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจ”
“ครับ ตั้งแต่ไฮสคูล แต่ผมกับเขาไม่ได้เป็นคู่รักกันนะครับ เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น คือ ไม่ใช่แต่คุณหรอกครับที่เข้าใจผิด ทุกคนที่เห็นผมกับปณตมาด้วยกันเขาก็เข้าใจว่าเราเป็นคู่รักกันทั้งนั้น”
จิรวิมั่นใจว่าการชี้แจงชัดเจนแล้ว เขาจึงสบายใจไม่รู้สึกเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบเหมือนสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่แท้จริงแล้วเปล่าเลย ถึงแม้เธอจะเชื่อว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นคนรักกันแต่ก็ยังเชื่อว่าเขามีคนรักเป็นผู้ชายอยู่ดี ทำไงได้เล่าก็ในเมื่อสังคมสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้น ผู้ชายหันมารักกันเปิดเผยมากขึ้น จะตำหนิ หรือต่อว่าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องของความรักเป็นเรื่องของหัวใจห้ามปรามได้หรือก็เปล่า
“คุณมาดูหนังคนเดียวไม่เหงาเหรอครับ”
“ไม่เหงาหรอกค่ะ แหม แค่การดูหนัง ใช่ต้นเหตุของความเหงาเมื่อไหร่กัน แล้วคุณล่ะคะไม่ลองมาดูหนังคนเดียวบ้าง”
“ก็บ่อยนะครับ ส่วนใหญ่ก็มาคนเดียว”
“วันนี้คงเป็นวันพิเศษ”
“เปล่าครับ วันนี้วันเสาร์”
“อืมม์ มุกนี้ผ่านค่ะ”
ขณะคุยกันอย่างออกรสด้วยเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่หนังสือที่ชอบ กีฬาที่เล่น กระทั่งดนตรีที่โปรด อยู่ๆ ก็มีเด็กสาวหน้าตาดี อายุน่าระอยู่ราวๆ มหาวิทยาลัยปีสี่ มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยประโยคว่า
“ลุงคะ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยได้มั้ยคะ”
จิรวิตกใจเพราะอยู่ๆ มีคนมาขอถ่ายรูปกลางร้านกาแฟ แต่ก็เริ่มเข้าใจเมื่อนึกได้ว่าเขาใส่เสื้อเชิ้ตรีดเรียบกลีบโง้ง ติดกระดุมถึงคอ กางเกงสแล็คเรียบร้อยแบบชายหนุ่มผู้ดียุคซิกส์ตี้ไม่มีผิด สาวน้อยคนนั้นเข้าใจว่าเขาเป็นพรีเซนเตอร์ของร้าน จึงได้ขอถ่ายรูป เจ้าของร้านยักคิ้วให้ เขาเลยได้โอกาสโพสท์ท่าใส่ไม่อายใคร เจ้าของร้านฉวยกล้องได้ก็ยกขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง และเหมือนอุปาทานหมู่ ดูเหมือนทั้งร้านจะพร้อมใจกันถ่ายรูป “นายแบบ” ในอริยาบทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าเขาคือพรีเซนเตอร์ของร้านจริงๆ กระทั่งปณตมาตามที่ร้านทั้งสองคนจึงหมดสนุก เจ้าของร้านไม่คิดเงินค่าเครื่องดื่ม ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยทำให้ร้านขายดีขึ้น
“คุณว่าผมดูแก่มั้ย”
“ก็ไม่นี่คะ คุณยังดูเหมือนยี่สิบห้าอยู่เลยค่ะ”
“นั่นสินะ ผมก็ว่างั้น แต่น้องคนนั้นน่ะสิ เธอเรียกผมว่าลุงได้เต็มปากเต็มคำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะน่ารักล่ะก็ โดนลุงเบิ๊ดโหลกไปแล้ว”
ความร่าเริงจนดูเว่อของจิรวิทำให้เพื่อนหนุ่มแอบหัวเราะหึหึ นี่เองสินะ อาการของคนตกหลุมรัก สองหนุ่มไม่ได้ไปส่งหญิงสาวกลับบ้านอย่างที่ควรทำ เธอบอกว่าเพิ่งเจอกันแค่สองสามครั้งยังไม่นับว่าสนิทกันมากพอจะไปส่งถึงบ้านได้ เอาแค่รถไฟฟ้าใต้ดินก็พอที่เหลือจะเดินทางเอง แล้วเมื่อเธอเดินลับตาลงสถานีไป
“กลุ้มใจว่ะ เธอยังคิดว่านายกับฉันเป็นคู่เกย์กันอยู่เลย ลืมแก้ตัวมัวแต่คุยเพลินไปหน่อย”
“ตัวใครตัวมันนะงานนี้”
ปณตไม่ขอเอี่ยว กับเรื่องความรักของใครเพราะลำพังหัวใจตัวเองก็อยู่ในขั้น สะบักสะบอม ต้องซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว
ตกหลุมรัก... ขาไม่หักหรอกนะ แต่อาจจะอกหัก