จิบกาแฟคุยกับอาจารย์นิเวศ

เมื่อ สามปีที่แล้ว.........ห่านทองคำ

12 มีนาคม 2553

คำถาม “อาจารย์มีแนวทางการเลือกหุ้นในการลงทุนอย่างไร”

อาจารย์นิเวศตอบ  

1.ผมพยายามมองไปรอบๆตัวว่ามีอะไรสัมพันธ์กับหุ้นบ้าง พยายามคิดว่าในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่เราต้องเจอกับอะไร แล้วอะไรที่เป็นโอกาสในการลงทุน

2.บริษัทนั้นมันดียังไง ธุรกิจมันดีขึ้นไหม เช่นเราลงทุนในโรงพยาบาล คนไข้เยอะไหม เปิดสาขาไหม บริการดีไหม หรืออย่าง 7-11สาขาเพิ่มขึ้นไหม สินค้าในร้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คนเข้าเยอะไหม เป้นต้น

3.แล้วก็วิเคราะห์ว่าสิ่งที่ทำให้บริษัทหรือธุรกิจนั้นๆเติบโต มันเติบโตจริงๆหรือโตหลอกๆชั่วคราว เติบโตแข็งแรงไหม อย่างกรณี 7-11 ผมชอบกรณีพนักงานของร้านนี้ที่มีบริการที่ดีมาก อบรมมาอย่างดี ต่างจากที่อื่นๆ (อาจารย์ก็แอบเฉลยมาว่าต้นทุนอาจารย์มีอยู่ราวๆ 7 บาท)

4.มองศักยภาพในอนาคตว่าอีก 5-10 ปีจะยังดีอยู่หรือเปล่า ยังมีช่องทางให้เติบโตหรือมีโครงสร้างธุรกิจที่รองรับชีวิตประจำวันในอนาคต ขนาดไหน

5.พอสนใจแล้วก็ค่อยมาดูตัวเลขคราวๆว่ากำไรแต่ละปีเป็นอย่างไร พอตรงๆกับที่เราคิดไว้หรือไม่ แต่ผมไม่ค่อยติดในกรณี พีอี สูงๆเท่าไหรดูศักยภาพรวมๆมากกว่า

6.สุดท้ายก่อนซื้อหุ้น  เราถึงจะมาเจาะลงไปลึกๆเลยผมดูงบย้อนหลังตาม Q เลยย้อนไปซัก 10 ปี ว่ามันกำไรไหม มีขาดทุนไหม ถ้าขาดทุนขาดทุนจากอะไร ฉะนั้นการเลือกหุ้นที่เข้าตลาดใหม่ๆอย่าพึ่งไว้ใจเพราะ ตามแนวคิดทฤษฏีต่างๆมันยังไม่ตกผลึกพอที่จะวิเคราะห์ได้ อย่างกรณีพวกพัฒนาอสังหาฯดูย้อนหลังไปได้ 5 ปีก็ไม่พอเมื่อก่อน LH มันเป็นเบอร์ 1 ถ้าดูย้อยหลังแค่นี้ก็มองว่าคงเป็น 1 ตลอด แล้วอยู่ดีดี PS ก็โผล่มาล้มแชมป์แสดงว่างบแค่ 5 ปี อาจยังดูได้ไม่พอ แล้วมันก็ยังไม่ชัดว่าจุดแข็งแต่ละรายมันคืออะไร บอกว่า เน้นราคาถูก ก็เห็นว่าทุกรายมันก็ถูกหมดไม่มีใครทำบ้านที่ต้นทุนต่ำๆได้แท้จริง”
คำถาม “ช่วงนี้หลักสั้นๆจะเลือกหุ้นแนวไหนดี”
อาจารย์ นิเวศตอบ “ผมก็มองแค่ว่ามันได้ปันผล 6-7%แล้วจ่ายสม่ำเสมอ ไม่ลดลงก็โอเคแล้ว ตอนนี้จะไปหาหุ้นที่จ่ายปันผลดี กิจการเติบโต ธุรกิจสอดคล้องกับอนาคต มันหาไม่ค่อยได้แล้ว เจอก็ราคาไปไกลแล้ว”

จากนั้นก็ขอสรุปหุ้นแต่ละตัวที่อาจารย์แสดงความคิด เห็นตามที่ผู้เข้าร่วมงานได้ถามมาตามนี้ครับ

MAKCO อาจารย์มองว่ามาจิ้นบาง กิจการก็เติบโตช้า แต่ข้อดีของมันก็คือ ผู้บริการค่อนข้างดูแลผู้ถือหุ้นดี เรื่องธรรมาภิบาลใช้ได้ จ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ

MBK  ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้บริหารเองโดยตรงเลยปันผลได้เยอะได้ใจเมือ่เทียบกับ กลุ่ม และหุ้นตัวนี้มันมีมูลค่าแฝงเยอะ อย่างไปถือหุ้นสยามพารากอน 15% หุ้นสยามเซ็นเตอร์ 30% แล้วก็ถือหุ้นในเสรีเซ็นเตอร์อีก รวมทั้งยังมีหุ้นใน SCIB อีก ซึ่งสอบถามผู้บริหารก็แจ้งว่าในส่วนหุ้น scib คงขายออกแน่นอน น่าจะได้เงินกลับคืนมาประมาณ 1500ล้านบาท ส่วนที่คนกังวลว่ามันไม่ได้เป้นเช้าของที่ตรง MBK โดยตรงเพียงแต่เซ้งมา อาจารย์มองว่าก้ไม่มีปัญหาเพราะเป็นการเช่าระยะยาว แล้วที่เช่ามันก็ใช้หารายได้ได้

CPN เป็นอีกตัวที่มันมีมูลค่าแฝงเยอะเหมือนกันเพราะที่ดินที่กลุ่มนี้มี อยู่ในทำเลดีมาก แต่ราคาปัจจุบันของตัวนี้ก็ราคาไม่ถูก และปันผลน้อยมาก

IT  อันนี้เป็นอีกตัวที่อาจารย์ก็มองว่าโตได้เรื่อย ตามจังหวัดใหญ่ๆก็ยังมีสาขาน้อยอยู่ อาจารย์มองว่าจริงๆแล้วทุกบริษัทมันก็น่าจะมีสาขาของ it city ได้ การใช้อุปกรณ์ it ในไทยยังน้อยอยู่ และสินค้า it ราคาก็ลดลงมามากใครๆก็ซื้อใช้ได้ แต่ปัญหาของธุรกิจนี้ก็คือ IT ยังมีคู่แข่งเยอะ รายใหม่ๆเข้ามาในธุรกิจได้ง่าย ต่างจาก CPALL ที่โตแบบคนอื่นแข่งไมได้หรือเข้ามาแข่งกับ CPALL ได้ยากมาก

AOT  อาจารย์มองว่าถ้าไม่ใช่รัฐวิสหกิจจะถูกมากๆ หนี้สิ้นของบริษัทอาจารย์มองว่าก็ปกติถือว่าปกติไม่สูงอะไรมากมายเป็นไป ตามธุรกิจปกติ มาร์เกตแคปใหญ่มากๆ แคชโฟลมีไม่ต้องใช้เงินในการดูแลรักษาทรัพย์สินมากๆ แต่ข้อเสียก็คือมันเป็นธุรกิจที่นักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่อนข้าง มาก ผู้บริหารอาจารย์ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ

THAI อันนี้หนี้มันเยอะเกินไป กำไรแต่ละปีซื้อเครื่องใหม่ก็กินเรียบไม่ตกถึงผู้ถือหุ้น ถึงมันจะถูกจริงก็ลงทุนยาวๆลำบาก

CENTEL อันนี้ก็ถูกแต่ยังไม่มีสตอรี่เรื่องกำไรก็รอไปก่อน เอาไปซื้อตัวอื่นที่มีกำไรก่อนดีกว่า

BAFS อันนี้อาจารย์ก็สนใจเพราะมันโตได้พอพอกับ AOT โตปีละ 7-8% ปันผลก็ใช้ได้ การลงทุนไม่เยอะเท่าไหร

NBC อาจารย์มองกว่า แข่งขันรุนแรงแตกต่างจากในอดีตที่มีแค่ไม่กี่ช่อง ตอนนี้เคเบิลเยอะมาก ธุรกิจลำบากทำแล้วเหนื่อย ตอนนี้ที่ฟรีทีวีตังอยู่ได้ขึ้นค่าโฆษณาได้เพราะคนรุ่นเราๆกับรุ่นเก่าๆยัง เคยชินกดอยู่ไม่กี่ช่องแต่อนาคตก็ลำบากเด็กรุ่นใหม่ๆ ดูเคเบิลมากขึ้น รายการเยอะ แถมยังมีพวกทีวีสีเหลือ สีแดง ก็แบงคนดูไปคนละนึดคนละหน่อยมันกระจัดกระจายไปหมดคนละหน่อย

ROBIN อันนี้คล้ายๆแม็คโครคือโคเรื่อยๆ ช้าๆ ไปได้เรือ่ยๆ แบรด์ห้างก็ 2-3 ในกทม ในต่างจังหวัดก็แบรด์นก็ค่อยข้างแข็งแรงดี หนี้ไม่ค่อยมี แต่ราคาก็แพง

HMPRO เทียบกับ โรบินสันเมือ่ก่อน โรบินสันมันเหนือกว่าตลอดแต่หลังๆโฮมโปรก็มาแซงได้เพราะการบริการ การจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพ ดูกำไรย้อยหลังโตขึ้นตลอดถึงจะช้าๆแต่พอหลังๆเพราะการจัดการที่ดีเลยโตด้วย อัตราเร่ง

BIGC น่าสนใจตรงที่มีรายได้จากค่าเช่า ซึ่งมันจะเพิ่มได้ประมาณปีละ 4-5% โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยขึ้นค่าเช่าอย่างเดี่ยว ที่เป็นหุ้นแนวค่าเช่าที่น่าสนใจก็ CPN ROBIN ซึ่งโตโดยไม่ต้องลงทุนเท่าไหร่ แต่ bigc มันยังมีแวลู เพิ่มมาจากการพัฒนาที่ดินถูกๆที่ตัวเองไปสร้างแล้วสร้างกำไรขึ้นมา จากจากรายอื่นๆที่พยายามพัฒนาในย่านที่เจริญแล้วเป็นส่วนใหญ่

MAJOR SF CAWOW  ธุรกิจมันไม่ค่อยแน่นอน อารมณ์คน พฤติกรรมคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไปดูย้อนหลัง 5 ปีกำไรก็ไม่ได้โตอะไรเท่าไหร่เลยไม่ค่อยชอบ

BLA อาจารย์มองว่ามันแพง ถึงคนอื่นจะว่ามันถูกมีโอกาสโตแบบมหาศาล เพราะอาจารย์มองว่าคู่แข่งก็เห็นเข้ามาทำตรงนี้การมากขึ้นแทบจะทุกธนาคาร กำไรส่วนหนึ่งก็คืออาเงินไปลงทุน มันก้จะทำอะไรหวือหวามากไม่ได้เพราะมันก็มีกฏหมายคุมลงไปอีก จำนวนคนทำประกันเพิ่มก็ไม่ได้มากมายอะไรเพราะถ้าเป็นลูกค้าแบงค์ไหนก็มัน เสร็จแบงค์นั้น โตก็ราวๆ 15%  ถึงจะมองว่าในต่างประเทศแต่ละคนมีมีประกันคนละหลายๆฉบับ แต่ในไทยมันยังไม่ถึงขั้นนั้นไม่รู้จะได้เห็นไหมเพราะไม่รุ้จะเอาเงินมาจาก ไหนคนก็ไม่ค่อยสนใจ แบบประเทศที่พัฒนาแล้วที่ทำเพื่อคุมความเสี่ยง

SAT ตัวนี้มันขายยาง เป็นคอมโมมากๆ ถ้าจะเล่นก็เล่นตามรอบไป อาจารย์มองว่า ระบบมนดีจริงไหมตรวจสอบได้ขนาดไหน เช่นไปซื้อยางตามสวน ชาวสวนก็คงไม่ได้สนใจบิลอะไรเท่าไหร มันอาจหมกเม็ดได้ ก็เลยต้องมองยาวๆที่ว่ากำไรโตพรวดๆที่เค้าว่ากัน นี่มันจ่ายปันผลพรวดๆด้วยหรือเปล่า

STANLY อันนี้ก็คือว่าดีเมื่อเทียบกันในอุตสาหกรรม เพราะไทยมีศักยภาพในการเติบโตด้านรถยนต์ รัฐบาลก็สนับสนุน พวกอีโคคาร์ FTA ก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะมีการย้ายฐานมาผลิตที่ไทย แต่ถ้ามองมันก็อยู่ในธุรกิจโรงงานเหนื่อยเหมือนกันเวลาลงทุนด้วย กำไรก็เอาไปสร้างโรงงาน ขยายการผลิต เงินสดเลยไม่ค่อยมี ปันผลก็เลยไม่ค่อยมาก

IRC ก็มองว่าราคายางก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆตามวัฏจัก ผู้บริการมองกำไร ก็ไม่ค่อยพลาด ถือว่า IRC เก่งมากๆอยู่ในธุรกิจที่เหนื่อยแต่ก็ยังทำได้ดี กำไรที่ได้ราคาก้ยังไม่ตอบรับเท่าไหรส่วนหนึงก็เพราะอย่างที่บอกปันผลไม่สูง จุดที่น่าสนใจอีกคือ FTA น่าจะทำให้มีการส่งออกมากขึ้นเพราะเมื่อก่อนส่งไปโดนภาษีแล้วมันไม่คุ้ม ตอนนี้มัน 0% ก็น่าจะส่งออกแล้วคุ้ม น่าจะเพิ่มได้ซัก 5%

QLT ,TNDT ก็ถือว่าพอใช้แต่ศักยภาพมันก็จำกัดจะโตมากๆหวือหวาคงลงลดไปเรื่อยๆ แต่ก็ดูว่ามันอยู่ในกลุ่มรับจ้างทำงานจะไปต่อรองเอากำไรสูงๆมากๆก็ไม่ได้ เพราะ เจ้าของโครงการใหญ่ๆก็คงกดราคาได้ไม่ให้มันสูงเกินไป อำนาจต่อรองมีเยอะ

ESWT  ดีใจแง่ของการเติบโต ขึ้นค่าน้ำแต่ก็ระวังเรื่องอนาคตน้ำมันลดลงเปลี่ยนแปลงไปจะกระทบอะไรไหม

SVI ทำสินค้าโดดเด่นจับกลุ่มสูง พึ่งจะเริ่มมาประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ต้องระวังคู่แข่งในอนาคตโดย เฉพาะจีน ตรงนี้อาจารย์ออกตัวว่าไม่ค่อยติดตาม

HTECH เป้นธุรกิจที่เฉพาะ ค่แข่งไม่มี แต่เพราะว่าตลดามันยังไม่ใหญ่มาก ถ้ามันเรื่มขยายไปมากๆ อาจเริ่มมีคนสนใจเข้ามาทำแข้งก็น่าจะเป้นได้

TNH เป้นพวกโรงบาลท้องถิ่น ไปได้เรื่อยๆ กำไรโตช้าๆ เน้นเติบโตตามชุมชนนั้นๆจะหวังโตกระโดนเยอะๆคงลำบากต่างจากพวก BH BGH ที่มันเล่นพวกต่างชาติ ฝรั่งเข้าได้มีมาร์เกตแคปพอควร  อีกตัวก็ KH ที่เน้นจับประกันสังคมเป้นนีชของเขา แต่กลุ่มโรงบาลมันมีหมอเปเนตัวลิมิตกำไร จะเพิ่มมากๆก็ลำบากถ้าหมอจำกัด พฤติกรรมการรักษาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากหวังโตมากๆไม่ได้ แต่หลังๆกำไรกำไรมันเริ่มมาจากไอ้พวกไปรักษาแล้วส่งตัวไปตรวจนู่นตรวจนี่ใช้ เครื่องมากมายกินเงินไปเพียบ ซึ่งก็ต้องดูต่อไปยาวๆว่าลูกค้าจะหนีไหม

MOONG,DSGT พวกนี้ก็ไปเรื่อยๆแต่มันมีลิมิตกำไรไม่ได้มากเพราะแรงกดดันจากคู่แข่งซึ่ง เยอะพอควร แถมการลงทุนก็ต้องสร้างโรงงาน มีเรื่องลิขสิทธ์แบรด์นอีก ลำบากพอพอกับกลุ่มยานยนต์

KK พวกสถาบันการเงินกลุ่มนี้เวลาไปก็ไปด้วยกันหมดรวมธนาคารด้วย ปีที่แล้วมันโชคดีเป็นช่วงดอกเบียนต่ำหมด ต้นทุนถูกเอาไปปล่อยกู้ฟิตกำไรสบายๆ แต่อนาคตขึ้นดอกเบี้ยสเปดมันจะแคบลงกำไรตัวนี้น่าจะลดลงเพราะรายได้มันฟิกไป แล้ว แต่พวกธนาคารน่าจะดีขึ้นเพราะปล่อยกู้ แต่ระวังเรื่องหนี้เสียไว้หน่อยกลุ่มสถาบันการเงิน

KTC น่าจะโอ ราคาก็ถูกมาก แต่อาจารย์ก็ติดตรงนี้เมือ่ก่อนบอกไม่มีหนี้เสียประวัติก็ดี แล้วอยู่ดีดี มาตั้งสำรองเลยขาดทุนเลยเป็น ? คาใจอยู่ ยิ่งล่าสุดเพิ่มทุนไม่ได้ก็คงไม่โตเท่าไหร ถ้าราคาลงมาอีกก็คงดี

KIAT กลุ่มนี้รับจ้างทำงานไปเรื่อยๆ โดยธรรมชาติต้องไปทำงานบิดงานจากรายใหญ่ๆซึ่งมีอำนาจต่อรองเหนื่อยกว่ามาก ก็กดราคาคุณได้ (ต่างจากพวกค้าปลีกที่มีอำนาจเหนือลูกค้า) จะเข้าไปฟันกำไรก็ลำบาก ต่อรองอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าพีอีถูกๆ ปันผลดีๆ รับได้ก็เอาแต่ลงทุนระยะยาวต้องดูดีดี

BECL มองไม่เห้นกำไร ถือยาวจนกว่าจะได้ปันผลก็ไม่รู้นานขนาดไหน แนะนำตัวอื่นดีกว่า เล่นข่าวจะขยายเส้นทางไปนู่นไปนี่ก็ยังไม่เห้นทางชัดเจน

WG ติดประเด็นเรื่องกำไรดี เงินก็เยอะ แต่ปันผลยังน้อยกว่าที่ควร

ฟาร์มเฮ้า จำตัวย่อไม่ได้ครับ อาจารย์มองว่าวอลลุ่มมันน้อยมาก ไม่ได้ติดตามแต่มองว่ามันถึงเวลาอิ่มตัวแล้วโตไม่ค่อยได้มีแต่คู่แข่งเข้ามา มาม่า TF มั้ง อันนี้เป้นสุดยอดอีกตัว กำไรเพิ่มตลอด โตได้สุดยอด แต่วอลลุ่มน้อย

CPF อาจารย์กลัวกำไรอาจตกได้ เพราะธุรกิจมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ อยู่ดีดี กำไรจากหลักพันล้านมาเป้นหมื่นล้าน มันจะโตแบบนี้อีกนานไหมเลยต้องรอพิสูจน์ว่ามันจะโตแบบนี้ได้นานไหม แล้วผู้บริหารก็ขายเหลือเกิน

RCL กลุ่มนี้ มันก็เป็นสุดยอดคอมโม อีกตัว คอสมันฟิกอยู่ไอ้ค่าระวางต่างๆที่เพิ่มมันกำไรทั้งนั้น แต่ถ้าค่าระวางลงก็ขาดทุนรุนแรง นานๆจะดีระเบิดทีนึง ปกติ ดี 1 ปีแย่ไป 10 ปี แล้วมันก็เป็นกลุ่มที่แข่งขันสมบูรณ์คือความต้องการไม่จำจัด แต่คู่แข่งก็ไม่จำกัดเหมือนกัน พอมันดีดี ก็มีคนแห่มาทำ กำไรเลยมากๆอยุ่ได้ไม่นานก็ลง

BCP ถ้าจะเอาก็เอาที่เป็น DR ดีกว่าเพราะมันลอกราคาขั้นต่ำไว้ให้แต่มันอยู่ในกลุ่มโรงกลั่นซึ่งอนาคตมัน จะล้นตลาดแข่งรุนแรง อาจารย์มองว่าถูกดี แต่ก็เหมือนกันของที่ดีในธุรกิจที่ไม่ดี กำไรไม่แน่นอน ตัวนี้หลังๆเล่นพลังานทดแทนก็ต้องดูกันต่อไปว่ามันสำเร็จขนาดไหน

BOL กำไรเริ่มนิ่งๆ รายได้คือขายให้รายใหญ่ ต่อรองอะไรได้นอย ข้อมูลก็โตไม่ไว แล้วเมืองไทยยังติดเรื่องไอ้พวกการขายข้อมูล ขายความรู้ไม่ค่อยดี ต่างจากเมืองนอกที่ขายกันจริงจัง คนไทยเรื่องข้อมูลชอบของฟรีมากกว่า

TPAC กำไรบางเป็นงานรับจ้างทำ ได้แต่ค่าแรงต่อรองราคากับลุกค้ารายใหญ่ๆลำบาก คู่แข่งก็เยอะ ต่างจาก IRC ที่ตัวนี้มันมีโนฮาวมากกว่า เปลี่ยนเจ้าลำบากเพราะมันซับซ้อนกว่า tpac

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่