น. ๓๕.๓๘
เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ ในขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่ ถ้าจิตอยู่กับบริกรรมภาวนาก็ให้อยู่ไป
ถ้าเวลาเราคิดพิจารณา ถ้าจิตอยู่กับเรื่องคิดพิจารณาก็ปล่อยให้อยู่ไป
ถ้าหากว่าจิตมีอาการสงบลง นิดหน่อย ทิ้งอารมณ์เดิม ไปคิดอย่างอื่น ปล่อยให้คิดไปเลย
แต่ให้มีสติตามรู้เรื่อยไป อันนี้คือหลักการปฏิบัติสมาธิตามหลักของธรรมชาติ
อย่าไปบังคับจิต อย่าไปตกแต่งจิต อย่าไปเพ่งอะไรให้แรงเกินไป
เพียงแต่ประคองจิตให้นึกอยู่ที่บริกรรมภาวนา หรือในอารมณ์ที่เราต้องการคิดอยู่เท่านั้น
น. ๓๖.๒๖
ความสงบของจิตปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจิตเอง จิตจะสงบก็ให้เป็นหน้าที่ของจิต
จิตจะไม่สงบก็ให้เป็นหน้าที่ของจิต หน้าที่ของเรา มีสติกำหนดดูอย่างเดียว
ธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จะต้องเกิดความสงบขึ้นมาแน่นอน
น. ๓๖.๕๐
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนว่า "จงทำจติให้ว่าง จงทำจิตให้ว่าง"
ทีนี้บางท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ไปเขียนหนังสือโจมตีท่าน
ว่าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นลูกศิษย์เดียรถีย์ เขียนหนังสือเล่มเบ้อเร่อ
แต่แท้ที่จริงผู้ที่เขียนหนังสือโจมตีท่านนั้น ยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติสมาธิเพียงพอ
อันนี้จะว่าหลวงพ่อช่วยท่านพุทธทาสแก้ก็ได้ เพราะอาจารย์พุทธทาส ท่านเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง
รู้จริงว่าธรรมชาติของจิตนี้ เขาจะว่างอยู่ตลอดกาลไม่ได้ ในเมื่อกำหนดรู้จิตว่างอยู่เฉยๆ
อย่างว่างก็ดี เพียงแค่ว่างอยู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ประเดี๋ยวก็เกิดความคิดขึ้นมาแน่นอน
น. ๓๗.๕๓
ทีนี้เมื่อจิตเกิดความคิดขึ้นมาแล้ว ท่านให้มีสติกำหนดตามรู้ความคิด
ถ้าจิตว่างให้กำหนดรู้ความว่าง คิดให้กำหนดรู้ความคิด
แล้วในที่สุด จิตจะเข้าสู่สมาธิเอง อันนี้เรามีหลักฐานที่จะพึงยืนยัน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฯ
น. ๓๘.๑๘
ฯลฯ
อ้างจาก "ศีล ๕ กับสังคม" โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.dhammathai.org/sounds/phuth.php
อย่าไปเพ่งอะไรให้แรงเกินไป(หลวงพ่อพุธ)
เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ ในขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่ ถ้าจิตอยู่กับบริกรรมภาวนาก็ให้อยู่ไป
ถ้าเวลาเราคิดพิจารณา ถ้าจิตอยู่กับเรื่องคิดพิจารณาก็ปล่อยให้อยู่ไป
ถ้าหากว่าจิตมีอาการสงบลง นิดหน่อย ทิ้งอารมณ์เดิม ไปคิดอย่างอื่น ปล่อยให้คิดไปเลย
แต่ให้มีสติตามรู้เรื่อยไป อันนี้คือหลักการปฏิบัติสมาธิตามหลักของธรรมชาติ
อย่าไปบังคับจิต อย่าไปตกแต่งจิต อย่าไปเพ่งอะไรให้แรงเกินไป
เพียงแต่ประคองจิตให้นึกอยู่ที่บริกรรมภาวนา หรือในอารมณ์ที่เราต้องการคิดอยู่เท่านั้น
น. ๓๖.๒๖
ความสงบของจิตปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจิตเอง จิตจะสงบก็ให้เป็นหน้าที่ของจิต
จิตจะไม่สงบก็ให้เป็นหน้าที่ของจิต หน้าที่ของเรา มีสติกำหนดดูอย่างเดียว
ธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จะต้องเกิดความสงบขึ้นมาแน่นอน
น. ๓๖.๕๐
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนว่า "จงทำจติให้ว่าง จงทำจิตให้ว่าง"
ทีนี้บางท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ไปเขียนหนังสือโจมตีท่าน
ว่าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นลูกศิษย์เดียรถีย์ เขียนหนังสือเล่มเบ้อเร่อ
แต่แท้ที่จริงผู้ที่เขียนหนังสือโจมตีท่านนั้น ยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติสมาธิเพียงพอ
อันนี้จะว่าหลวงพ่อช่วยท่านพุทธทาสแก้ก็ได้ เพราะอาจารย์พุทธทาส ท่านเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง
รู้จริงว่าธรรมชาติของจิตนี้ เขาจะว่างอยู่ตลอดกาลไม่ได้ ในเมื่อกำหนดรู้จิตว่างอยู่เฉยๆ
อย่างว่างก็ดี เพียงแค่ว่างอยู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ประเดี๋ยวก็เกิดความคิดขึ้นมาแน่นอน
น. ๓๗.๕๓
ทีนี้เมื่อจิตเกิดความคิดขึ้นมาแล้ว ท่านให้มีสติกำหนดตามรู้ความคิด
ถ้าจิตว่างให้กำหนดรู้ความว่าง คิดให้กำหนดรู้ความคิด
แล้วในที่สุด จิตจะเข้าสู่สมาธิเอง อันนี้เรามีหลักฐานที่จะพึงยืนยัน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฯ
น. ๓๘.๑๘
ฯลฯ
อ้างจาก "ศีล ๕ กับสังคม" โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.dhammathai.org/sounds/phuth.php