เพราะศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็น ศาลยุติธรรม ไม่ใช่ 1 ในอำนาจอธิปไตย สภานิติบัญญัติไม่ควรก้มหัวให้อำนาจพิเศษนี้ เห็นประธานสภาไปยืนตัวสั่นงันงกให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญครั้งก่อน ผมรู้สึกสมเพชเต็มที
ความจริงแล้วศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระที่ใช้คำเรียกชื่อนำหน้าว่า "ศาล" เท่านั้น เพราะตามรัฐธรรมนูญ2550 หมวด ๑๐ เรื่องศาล ศาลรัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้ในส่วนที่ ๒ ในขณะที่ศาลยุติธรรม บัญญัติไว้ในส่วนที่ ๓ เป็นการแสดงชัดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาลยุติธรรม และถ้าเป็นศาลยุติธรรมจริง ก็ต้องอยู่ใต้การบริหารงานของประธานศาลฎีกา รวมทั้งที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ก็ต้องมีอำนาจที่จะควบคุมสั่งการเหนือ ศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ตามข้อเท็จจริงในปัจจุบันไม่ใช่ (ถึงแม้ที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะมาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็ตาม)
เมื่อไม่ใช่ศาลยุติธรรม จึงไม่ใช่อำนาจฝ่ายตุลาการ หากแต่เป็นอำนาจพิเศษตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพียงแค่มีหน้าที่ชี้ขาดและตีความเฉพาะเรื่องเท่านั้น คล้ายกับอนุญาโตตุลาการ อัยการ ฯลฯ เพียงแต่เรื่องที่ตีความนี้ คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่อำนาจฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นอำนาจหลัก แต่เป็นอำนาจพิเศษในรัฐธรรมนูญ เพื่อตีความรัฐธรรมนูญและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี2550 ฉลาดมากครับ โดยทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีสภาพคล้ายศาลยุติธรรม ด้วยการนำระบบการจัดองค์กรและวิธีการดำเนินงานของศาลยุติธรรมมาใช้ แล้วซ่อนอำนาจที่แท้จริงไว้ในมาตราต่างๆของรัฐธรรมนูญให้มีอำนาจเหนือกว่ารัฐบาล สภา และศาลยุติธรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้ เพราะจะขัดกับหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ หลักการแบ่งอำนาจอธิปไตยเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่เขาก็ทำซ่อนไว้
เดิมไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ มีเพียงตุลาการรัฐธรรมนูญ ต่อมามีการยกฐานะเป็นศาล เพื่อจะได้อ้างอิงว่าเป็นอำนาจฝ่ายตุลาการ
คำเรียกว่า "ตุลาการ" ก็เป็นการใช้คำเลียนแบบศาลยุติธรรม เพื่อให้คนเข้าใจว่าเป็นอำนาจฝ่ายตุลาการ ที่จริงควรใช้ว่า "ผู้วินิจฉัย" มากกว่า
การตีความ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ มองเผินๆเหมือนกับเป็นองค์กรที่มีอำนาจจำกัด แต่ในความจริงแล้ว เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด จึงเป็นหลักพื้นฐานในการปกครองทั้งหมด กล่าวได้ว่า ทุกเรื่องสามารถดึงให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญได้ทั้งสิ้น
ในยามปกติศาลรัฐธรรมนูญก็แสดงตนเสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจตุลาการ เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันตน แต่เมื่อเขาจะขยายอำนาจ หรือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายเขา เขาก็จะงัดเอาถ้อยคำที่หมกเม็ดไว้เหล่านั้นมาใช้ เช่น มาตรา 27 มาตรา216 ฯลฯ ที่ระบุให้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ "ผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรง"
ดังนั้น แม้การตีความมาตรา 68 จะไม่ถูกต้อง ขัดแย้ง กับ ศาลรัฐธรรมนูญชุดก่อน เขาก็อ้างได้ว่า เขามีสิทธิตีความเช่นนั้น เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ และคำวินิจฉัยของเขา ผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรง ครับ
พูดง่ายๆ คือ เขาสามารถร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ได้เอง โดยอาศัยการตีความขยายไปตามที่เขาต้องการได้ นั่นเอง
อำนาจแบบนี้ องค์กรแบบนี้ เรายังควรจะต้องยอมรับอีกหรือ?
ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ก็ถูกแล้วนี่ครับ ควรทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว
ความจริงแล้วศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระที่ใช้คำเรียกชื่อนำหน้าว่า "ศาล" เท่านั้น เพราะตามรัฐธรรมนูญ2550 หมวด ๑๐ เรื่องศาล ศาลรัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้ในส่วนที่ ๒ ในขณะที่ศาลยุติธรรม บัญญัติไว้ในส่วนที่ ๓ เป็นการแสดงชัดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาลยุติธรรม และถ้าเป็นศาลยุติธรรมจริง ก็ต้องอยู่ใต้การบริหารงานของประธานศาลฎีกา รวมทั้งที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ก็ต้องมีอำนาจที่จะควบคุมสั่งการเหนือ ศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ตามข้อเท็จจริงในปัจจุบันไม่ใช่ (ถึงแม้ที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะมาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็ตาม)
เมื่อไม่ใช่ศาลยุติธรรม จึงไม่ใช่อำนาจฝ่ายตุลาการ หากแต่เป็นอำนาจพิเศษตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพียงแค่มีหน้าที่ชี้ขาดและตีความเฉพาะเรื่องเท่านั้น คล้ายกับอนุญาโตตุลาการ อัยการ ฯลฯ เพียงแต่เรื่องที่ตีความนี้ คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่อำนาจฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นอำนาจหลัก แต่เป็นอำนาจพิเศษในรัฐธรรมนูญ เพื่อตีความรัฐธรรมนูญและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี2550 ฉลาดมากครับ โดยทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีสภาพคล้ายศาลยุติธรรม ด้วยการนำระบบการจัดองค์กรและวิธีการดำเนินงานของศาลยุติธรรมมาใช้ แล้วซ่อนอำนาจที่แท้จริงไว้ในมาตราต่างๆของรัฐธรรมนูญให้มีอำนาจเหนือกว่ารัฐบาล สภา และศาลยุติธรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้ เพราะจะขัดกับหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ หลักการแบ่งอำนาจอธิปไตยเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่เขาก็ทำซ่อนไว้
เดิมไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ มีเพียงตุลาการรัฐธรรมนูญ ต่อมามีการยกฐานะเป็นศาล เพื่อจะได้อ้างอิงว่าเป็นอำนาจฝ่ายตุลาการ
คำเรียกว่า "ตุลาการ" ก็เป็นการใช้คำเลียนแบบศาลยุติธรรม เพื่อให้คนเข้าใจว่าเป็นอำนาจฝ่ายตุลาการ ที่จริงควรใช้ว่า "ผู้วินิจฉัย" มากกว่า
การตีความ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ มองเผินๆเหมือนกับเป็นองค์กรที่มีอำนาจจำกัด แต่ในความจริงแล้ว เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด จึงเป็นหลักพื้นฐานในการปกครองทั้งหมด กล่าวได้ว่า ทุกเรื่องสามารถดึงให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญได้ทั้งสิ้น
ในยามปกติศาลรัฐธรรมนูญก็แสดงตนเสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจตุลาการ เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันตน แต่เมื่อเขาจะขยายอำนาจ หรือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายเขา เขาก็จะงัดเอาถ้อยคำที่หมกเม็ดไว้เหล่านั้นมาใช้ เช่น มาตรา 27 มาตรา216 ฯลฯ ที่ระบุให้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ "ผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรง"
ดังนั้น แม้การตีความมาตรา 68 จะไม่ถูกต้อง ขัดแย้ง กับ ศาลรัฐธรรมนูญชุดก่อน เขาก็อ้างได้ว่า เขามีสิทธิตีความเช่นนั้น เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ และคำวินิจฉัยของเขา ผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรง ครับ
พูดง่ายๆ คือ เขาสามารถร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ได้เอง โดยอาศัยการตีความขยายไปตามที่เขาต้องการได้ นั่นเอง
อำนาจแบบนี้ องค์กรแบบนี้ เรายังควรจะต้องยอมรับอีกหรือ?