กับดักความดี

กระทู้สนทนา
ดูเหมือนว่า   ผู้คนอยากเป็นคนดี   เป็นผู้เข้าถึงศาสนา  และเข้ามาแข่ง"ดี"
ด้วยการถาม-ตอบ  โต้เถียง  ไปในแนวทาง ของฉันถูก  ของฉันก็ถูก  อย่างนั้นผิด ไม่ตรงตามคำภีร์บ้าง
เป็นมิจฉาทิฐิบ้าง  ของฉันซิของแท้  ของฉันซิอิงตามต้นตำรับ  สรุปคือ  ต่างหาความถูก-ผิด มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

โดยไม่ได้มอง หรือมองข้าม  ขีดศักยภาพของแต่ละคน ประหนึ่งบัวสี่เหล่าที่ สมรรถนะในการเข้าถึงธรรมะนั้น มีต่างกัน
และมักมีแนวโน้ม ขยายอัตตาของความดีที่ยึดถือ จนกลายเป็นการข่มกัน  ประนามหรือพิพากษาผู้อื่นว่ารู้น้อย  รู้ไม่จริง
จนอาจเลยเถิดไปถึงกล่าวหาว่า บิดเบือนศาสนา  ทั้งที่ต่างก็อยู่ในวิถีแห่งธรรม หรือใฝ่ดีด้วยกัน

พระไพศาล วิศาโล ได้เขียนไว้ตอนหนึ่ง  หัวเรื่อง กับดักความดี   ซึ่งผมอ่านแล้ว พบว่า ก็น่าสนใจดี จึงขอยกมาบางส่วน

ปัญหาของการทำดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำแล้วรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น  ความรู้สึกว่าเหนือกว่านี้จัดว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
เรียกว่า “มานะ” (ซึ่งไม่ได้แปลว่าความพยายาม)  กิเลสชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ดูถูกคนอื่น
เกิดอาการหลงตัวลืมตน ใครวิจารณ์หรือตำหนิไม่ได้ ถูกแตะต้องเมื่อใดเป็นโกรธเมื่อนั้น  
นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อย เมื่อถูกทักท้วงว่ากำลังหงุดหงิดหรือไม่มีสติ ก็จะรู้สึกโกรธหนักกว่าเดิม  
ทั้ง ๆ ที่อาการดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน  บางคนเมื่อรู้ว่าได้ทำความผิดพลาดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย  
อย่างมากก็แค่ “หน้าแตก”เท่านั้น   กลับพยายามกลบเกลื่อนหรือถึงกับโกหก ทั้งนี้ก็เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์คนดีหรือนักปฏิบัติธรรม

ความดีนั้นหากยึดติดถือมั่นมาก สามารถนำไปสู่การทำชั่วได้ไม่ยาก เพราะเมื่อพบว่าคนอื่นไม่ดีเหมือนตน หรือไม่ดีตามความคิดของตน  
ย่อมเกิดความเกลียดและโกรธตามมา  ถ้าไม่รู้ทัน ปล่อยให้มันครองใจ ก็สามารถทำร้ายเขาได้ง่ายมาก ไม่ด้วยการกระทำก็ด้วยคำพูด

ความดีนั้นหากตั้งจิตไว้ไม่ถูกตั้งแต่แรก หรือไม่รู้ทันตนเองเมื่อได้ทำไปแล้ว ก็อาจเปิดช่องให้กิเลสครอบงำใจได้  
นอกจากตัณหา (ความอยากได้นั่นได้นี่เป็นผลตอบแทนในทางปรนเปรอตัวตน)  และมานะ (ความถือตัวถือตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น) แล้ว  
ทิฏฐิก็เป็นกิเลสอีกชนิดหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การยึดมั่นในความคิดว่าต้องดีเหมือนตนเท่านั้นจึงจะถูก  
ถ้าไม่ดีเหมือนตน หรือไม่ดีอย่างที่ตนคิด ก็แสดงว่าผิด   และสิ่งที่มักจะตามมาก็คือ  ความไม่พอใจ การดูถูก หรือถึงกับเกลียดชังคนที่ไม่ดีเหมือนตน  ยิ่งคน ๆ นั้นเป็นคนใกล้ตัว รู้สึกรักหรือผูกพัน
ก็ยิ่งเป็นทุกข์เพราะความผิดหวัง จนกลายเป็นความโกรธเคืองอย่างรุนแรง            

เมื่อใดก็ตามที่เราเชื่อมั่นว่าเรากำลังยึดถือสิ่งที่ดีงาม  เป็นไปได้ง่ายมากที่เราจะมองคนที่คิดหรือนับถือต่างจากเราว่าเป็นคนที่หลงผิด
และเห็นเขาเป็นคนเลวในที่สุด  ทันทีที่เห็นว่าเขาเป็นคนเลว ความเกลียดโกรธก็ตามมา จากนั้นการมุ่งร้ายก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก   
เริ่มจากการประณามหยามเหยียดเขาอย่างสาดเสียเทเสีย ต่อด้วยการทำร้ายเขาด้วยวิธีสกปรก
โดยรู้สึกว่าตนมีความชอบธรรมที่จะกระทำเช่นนั้น (“คนเลว ๆ อย่างมัน สมควรแล้วที่จะต้องเจอแบบนี้”)
กลายเป็นว่ายิ่งเห็นเขาเป็นคนเลวมากเท่าไร  ก็ยิ่งประจานตัวเองด้วยการทำสิ่งเลวร้ายมากเท่านั้น  
ยิ่งคิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐกว่าผู้อื่น ก็ยิ่งถลำเข้าสู่ความเสื่อมจนตกต่ำย่ำแย่กว่าเขา

การที่สังคมไทย มักนิยมยกย่อง คนดี
บนการทับซ้อน ของ ความไม่ดี ไม่ปกติ ที่ผันผวนปรวนแปร  มีความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ส่งผลให้ อาจมีบางคน  บางกลุ่ม  เอี๋ยนคนดี  เอี๋ยนความดี  เลยปฏิเสธศาสนา และบอกว่า  ตนไม่มีศาสนา ก็มี

ทำให้แปลกใจไปได้ว่า ........................   
ในเมื่อคนส่วนใหญ่อยากเป็นคนดี  แล้วทำไมสังคมจริงจึงดูไม่ค่อยดี   หล่ะ

ขอบคุณhttp://www.prachatai.com/journal/2013/04/46331
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่