"มารุต บุนนาค" ย้อนตำนาน "ประชาธิปัตย์" วิพากษ์กล-เกมการเมืองควบสถาบัน ...

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1366443084&grpid=09&catid=16

ในห้วงที่ขุนพลพรรคประชาธิปัตย์จุดไฟปฏิรูปลุกโชนขึ้นสุมพรรค เพราะไม่สามารถยึดครองหัวใจเสียงข้างมากของประเทศได้เลยในรอบ 20 กว่าปี

สมาชิกพรรคบางรายทนไม่ไหว ไม่อยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ซ้ำซากอีกต่อไป ความคิดปรับปรุงการบริหารงานภายในให้ทันคู่แข่งอย่างพรรคเพื่อไทยจึงอุบัติขึ้น

ท่ามกลางกระแสธารปฏิวัติภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเชี่ยวกราก "ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับบุคคลระดับปูชนียบุคคลของพรรค

"ปู่มารุต" - มารุต บุนนาค อดีตประธานรัฐสภา ในฐานะสมาชิกพรรครุ่นลายคราม ไม่ขอวิจารณ์การทำงานยุคของคนหนุ่มที่มี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นหัวหน้าพรรค

แต่เขายอมเล่า-แก้ต่าง เรื่องราวในอดีตที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกครหาว่าเล่นเกมสกปรก เช่นกรณีมีคนไปตะโกนในโรงหนังว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" จนมาถึงกลเกมยุคปัจจุบัน

ถึงขั้นที่ "ปรีดี" ถามตัวเขาว่า "ทำไมถึงมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์"

- มองการต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกค้านทุกครั้งเมื่อเอ่ยชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร

ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่รายละเอียดถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ค้านกันในเนื้อหา มันแล้วแต่หัวข้อเรื่องอะไร สมัยผมหัวข้อมันไม่หนักหน่วงเหมือนเดี๋ยวนี้

- พรรคประชาธิปัตย์ยุคเก่า เวลาเกิดเรื่องในสภามักไปยื่นตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดเหมือนในสมัยนี้หรือไม่

ก็มีบ้างเล็กน้อย ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะตอนนั้นไม่มีปัญหามาก

- แต่สมัยนี้มีปัญหามากพอที่จะยกเรื่องไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญอยู่บ่อยครั้ง

คือ...อย่าให้วิจารณ์ในเรื่องนี้มากเลย ทุกฝ่ายก็ทำงานไปตามหน้าที่ ผมพ้นมาแล้ว ผมไม่ควรจะวิจารณ์ว่าคนในพรรคทำผิดทำถูกเพราะผมเป็นผู้ใหญ่ จะผิดถูกประการใด ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ เป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาก็แนะนำไป ผมจะไม่ติเตียนหรือให้สัมภาษณ์พรรคในทางที่เสียหาย เราจะไม่ให้ข่าวตีพรรค

- คิดอย่างไรเมื่อฝ่ายตรงข้ามพยายามชี้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเนื้อเดียวกันกับพรรค

คงจะวิจารณ์ไม่ได้ เพราะท่านชวนคุมเกมอยู่ ท่านชวนมีหลักของท่านตั้งแต่ท่านเป็นหัวหน้าพรรค แม้ถึงเวลานี้ สิ่งใดที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาต้องโต้ตอบทันที

ตามหลักการผมเห็นว่าหัวหน้าพรรคควรตอบโต้เฉพาะเรื่องสำคัญ เรื่องปลีกย่อยหัวหน้าพรรคไม่ควรลงมาเล่นเองเพราะมีโฆษกพรรคอยู่

ถ้าเทียบกันกรณีนี้ ขุนพลไม่ควรเอาทวนมาไล่แทงทหารราบของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งปัจจุบันทางพรรคใช้บรรดาโฆษกพรรคมากพอสมควร แนวทางแบบนี้ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว

- แต่ทหารราบฝ่ายตรงข้ามมักพุ่งโจมตีที่ตัวขุนพล

มันก็ต้องดูเป็นเรื่องเป็นราวไป มันต้องถือหลักอย่างนี้ บางเรื่องจำเป็นไหม นี่ผมอาจพูดซ้ำ ยกตัวอย่างอาจารย์คึกฤทธิ์ (ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) ท่านมองพวกที่โจมตีตัวท่านอย่างนี้ ท่านเคยบอกว่า คุณมารุตรู้ไหม เขาเอาผมเป็นบันไดไปสู่ความก้าวหน้าของเขา

ถ้าผมตอบเขา เขาก็ดัง ผมปล่อยให้เขาด่าไปข้างเดียว ไม่ตอบเดี๋ยวก็เงียบไปเอง

มันได้ผลนะ ไอ้คนด่าก็เลิกด่าไปเอง

ผมถือว่ามันเป็นยุคของคนหนุ่ม เป็นการทำงานแบบคนรุ่นใหม่ มีผลงานที่ดีใช้ได้ สิ่งที่เห็นชัดคือพรรคประชาธิปัตย์ไม่ทิ้งกัน ยามทุกข์ยากช่วยกัน

- ทำไมตลอด 67 ปี พรรคประชาธิปัตย์มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเล่นการเมืองสกปรก

เอาอย่างนี้ดีกว่า พูดกว้าง ๆ พรรคเป็นสถาบันไปแล้ว ดังนั้นไม่มีการล้ม สภาพต่าง ๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัยตามผู้นำแต่ละยุค ต้องยอมรับว่าถ้าเราทำดีประชาชนยังมี บางครั้งทำไม่ถูกต้องก็ถูกประชาชนลงโทษ ผู้ที่ถูกลงโทษคือ ส.ส.ในกรุงเทพฯ จะโดนก่อนจริง ๆ

สมัยก่อนเราถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น สมัยนั้นอาจารย์คึกฤทธิ์ยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์

เขาเจอผมเมื่อปี 2517 ก็คุยกัน เฮ้ย...ที่ตะโกนในโรงหนังกล่าวหาปรีดี ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ตะโกนนะ ท่านเอ่ยชื่อผู้แทนอุบลราชธานีคนนึงตายไปแล้ว ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ อย่าให้บอกชื่อเลย ผู้แทนคนนั้นเคยเป็น รมว.ยุติธรรมด้วยซ้ำ คนเข้าใจผิดเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ แต่ท่านบอกว่าไม่ใช่... ท่านกลัวผมเข้าใจผิด เพราะผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ปรีดี (พนมยงค์)

กรณีอาจารย์ปรีดีเวลานี้ไม่มีอะไรนี่ครับ ไม่มีใครว่าท่านเสียหาย ทุกคนยอมรับว่าท่านเป็นรัฐบุรุษที่ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองเยอะ อาจารย์ปรีดียังถามผมเลยว่า คิดยังไงมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ทำไมไม่คิดตั้งพรรคเอง ผมก็บอกท่านว่าอาจารย์ไม่เข้าใจเมืองไทย การทำพรรคเองไม่ได้เหมือนสมัยที่ท่านมีอำนาจอยู่ เดี๋ยวนี้ตั้งพรรคต้องมีเงินเป็นพันล้าน สมัยท่านง่ายไม่มีอะไรก็ตั้งได้ มันเรื่องใหญ่ แล้วพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ปัญหาต่าง ๆ ก็คลี่คลายไป เวลานี้คนในพรรคก็ลูกศิษย์ลูกหาท่านเยอะ ทุกคนให้ความเคารพนับถือท่าน

- อาจารย์ปรีดีอาจไม่เห็นด้วยที่ท่านไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์

ท่านถามว่าทำไมไปอยู่ แต่ท่านไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ท่านขอทราบเหตุผลเท่านั้น

- ครั้งหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับอาจารย์ปรีดี แล้วกลับมายอมรับภายหลัง ในอนาคตจะเกิดกรณีแบบนี้กับคุณทักษิณหรือไม่

เอ้ย..มันอนาคต ไม่พูดเรื่องอนาคต แต่จะพูดว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เคารพท่านปรีดีทุกคนตระหนักแล้วว่า...ท่านทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน โครงการเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ท่านมีความคิดล้ำหน้าหลายสิบปี ที่ถูกกล่าวหาว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ก็เห็นแล้วว่ามันไม่จริง

- ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับทหารหรือพลเรือน มักจะพ่ายแพ้ตลอดมา ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

มันก็เหนื่อยทั้งนั้น โดนอิทธิพล แต่ว่าในกรุงเทพฯแตกยาก

- อาจเป็นยุคคนหนุ่มที่ขาดขุนพลที่เก๋าประสบการณ์

ผมพูดถึงคนที่เข้ามาแล้วดีกว่า อย่างคุณสุรินทร์ (พิศสุวรรณ) ก็เหมาะ เพราะเป็นคนมีความสามารถ แต่ผมว่าดูแล้วมีคนเก่งเยอะ

มันต้องดูโอกาส อย่างพรรคเดโมแครตของญี่ปุ่นซึ่งหายไปนานกว่า 20 ปี แพ้เลือกตั้ง แต่กลับมาได้ พรรคประชาธิปัตย์เนี่ยพูดตรง ๆ มันต้องแก้ที่ภาคอีสาน ภาคใต้ไม่มีปัญหา ท่านชวนเป็นหลักชัยแน่นอน กรุงเทพฯถ้าไม่ทำอะไรเสียหาย แล้วกระแสไม่ตก กรุงเทพฯก็รักษาได้ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่แน่

- สถานการณ์แบบไหนพรรคประชาธิปัตย์ถึงจะกลับมาได้

มันอยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจข้อเท็จจริง เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน ถ้าสามารถทำให้ประชาชนเข้าใจนโยบายพรรคว่าทำได้จริงและดีกว่าพรรคอื่นก็จะกลับมาได้ อยู่ที่การบริหารงาน คิดว่าคงพยายามกันอยู่ เพราะที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามออกปราศรัยตามที่ต่าง ๆ ก็ได้ผลมากพอสมควร

- มองอย่างไรในยุคนี้ที่เป็นฝ่ายค้าน และสู้กันอย่างดุเดือดในสภา

มันคล้าย ๆ กัน สมัยที่ผมเป็นประธานสภามันเป็นยุคที่แบ่งค่ายกัน ฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร พรรคประชาธิปัตย์อยู่ฝ่ายเทพ ในวาระแรก วันแรกก็มีปัญหา มีระเบียบวาระอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งควรเอาเข้าแต่ไม่เอาเข้า คือเรื่อง พ.ร.ก.นิรโทษกรรม กรณีพฤษภาทมิฬ ท่านสมัคร สุนทรเวช ก็เล่นงานผมว่าทำไมกักเรื่องนี้ไว้ ผมชี้แจงว่าที่ไม่มีการเลื่อนวาระขึ้นมาพิจารณา เพราะรัฐบาลยังไม่ปฏิญาณตัว ถ้าเสนอไปรัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์จะตอบ จึงถูกลองของในวันแรก และยังพบปัญหาสมาชิกอาวุโสที่อยู่มานานมักจะอ้างว่าแม่นข้อบังคับกับผม ซึ่งผมก็ต้องศึกษามาก แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อย

- การเมืองตั้งแต่ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2489 มาจนถึงปัจจุบัน การเล่นเกมในสภาส่วนใหญ่มักยึดข้อบังคับพรรค แล้วไปเล่นงานพรรคอื่นจนเกิด Dead Lock แม้แต่ตัวอาจารย์ยังบอกว่าถูกพวกเดียวกันลองของ คิดว่าการเล่นเกมข้อบังคับทุกข้อเป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม

สมัยปัจจุบันผมไม่วิจารณ์ เพราะผมไม่ได้อยู่ในสภา แต่ทุกคนเล่นไปตามข้อบังคับไม่เป็นอะไร แต่ถ้าอ้างผิดข้อบังคับมันก็ผิด ประธานก็ชี้แจง แต่ถ้าอ้างถูกอีกฝ่ายก็ต้องแก้ไข ผมเองตอนเป็นประธานสภาก็แก้ไขนะ เราต้องยอมบ้าง นักการเมืองถ้าเราเป็นรัฐมนตรีอยู่กระทรวง คิดอะไรเรามีที่ปรึกษา แต่งานสภามันต้องตัดสินทันที ตัดสินผิดก็ไปเลย

- หากเป็นประธานสภาในยุคนี้ ควรจะต้องบริหารจัดการอย่างไร

พูดตรง ๆ นะ สมัยนั้นมันไม่มีจุดโต้แย้งที่สำคัญ แต่ขณะนี้พูดตรง ๆ มันมีปัญหาสำคัญบางอย่างมั้งที่ทั้งสองฝ่ายรู้อยู่ แต่มันบอกไม่ได้ว่ามีปัญหาอะไร ซึ่งผมไม่ทราบ อาจมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น

ถ้าเราถือแพ้ชนะเหมือนกีฬาก็ไม่มีปัญหา ในสมัยก่อนนักการเมืองรุ่นเก่าเคารพอาวุโสอย่างยิ่ง ตอนผมเป็นนักการเมืองใหม่ไหว้ทุกคน แต่เดี๋ยวนี้ ส.ส.สมัยแรก ลุกขึ้นว่ากล่าวท่านชวน ซึ่งเป็น ส.ส.12 สมัย อดีตนายกฯ 2 สมัยเสียหาย (เน้นเสียง) ว่า โอ้ย...นายชวน หลีกภัย พูดจาแผ่นเสียงตกร่อง เราไม่รู้นะ ส.ส.สมัยนี้อาจมองว่าอภิปรายโต้เถียงนักการเมืองอาวุโสได้แล้วมันดังดีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ ส.ส.รุ่นเก่าเขาให้เกียรติกัน (หัวเราะ)

- ส.ส.รุ่นใหม่ไม่เคารพ ส.ส.รุ่นเก่า เพราะมีจุดโต้แย้งคนละอย่าง

สมัยก่อนก็มี พรรคประชาธิปัตย์รุ่นเก่าสู้กับทหาร แต่เวลาพูดจากันก็เรียบร้อยยกมือไหว้ ไม่มีอะไร อย่างคนของจอมพลถนอมที่เป็นผู้อาวุโสกว่าเราก็ยกมือไหว้ ไม่มีอะไร ต้องเคารพความอาวุโส


แหม่... ว่าก็ว่าเถิด แต่จากคำพูดของคุณมารุตที่ว่า "มันอยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจข้อเท็จจริง เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน ถ้าสามารถทำให้ประชาชนเข้าใจนโยบายพรรคว่าทำได้จริงและดีกว่าพรรคอื่นก็จะกลับมาได้ อยู่ที่การบริหารงาน คิดว่าคงพยายามกันอยู่ เพราะที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามออกปราศรัยตามที่ต่าง ๆ ก็ได้ผลมากพอสมควร"

ผมว่าถ้าคนในพรรคส่วนใหญ่มีความคิดแบบเดียวกับคุณมารุต คงจะอีกนานเลยครับกว่า ปชป พรรคนี้จะกลับมาได้...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่