เหตุผลในการเลือกตั้ง แต่ละครั้งของผม ทำให้ผมรักในระบอบประชาธิปไตย

นี่คือสิ่งที่ผมจะบ่น

การเลือกตั้ง 6 มกราคม พ.ศ. 2544 เป็นครั้งแรกของผม ผมเลือก พรรคประชาธิปัตย์
บ้านผมเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งบ้านครับ เพราะยังไม่เห็นรัฐบาลไทยเข้ามาพัฒนาประเทศอย่างจริงจังครับ มีแต่ล้มเหลว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลง พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล ผมเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ได้อ่านหนังสือของ อาจารย์ปุระชัย อาจารย์สมคิด ผมติดตามการทำงานของพรรคไทยรักไทย บริหารประเทศ มันแตกต่างจาก แต่ก่อน ในสมัย พรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ อย่างเห็นได้ชัด รู้สึก นโยบายต่างๆ เข้าใจง่าย และผมลองศึกษานโยบายของพรรคไทยรักไทย บางอย่าง นำมาจากแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยซ้ำ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำ ผมคิดว่าการนำการบริหารงานแบบเอกชน มาปรับใช้กับระบบราชการ มันคือสิ่งที่ทำได้ และทำได้ดีมากๆ ด้วย ความเปลี่ยนแปลงชัดเจน

การเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ผมเลือกพรรคไทยรักไทย
ผม ดูผลงานมา 4 ปี ผมคิดว่าโครงการหลายๆโครงการ ควรมีการทำต่อ ประเทศไทย เมือเปลี่ยนรัฐบาล มักจะไม่นำโครงการของรัฐบาลเก่า ที่เป็นประโยชน์มาทำต่อ แต่ก็เห็นได้ว่า มี ส.ส. เยอะเกิน ก็ดีคือ จะทำอะไรในระบบรัฐสภา มันง่าย ผ่านงาน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านที่ดี แล้วขุดเรื่องทุจริตมาหลายเรื่อง เจอแผลรัฐบาลไทยรักไทยเยอะ

การเลือกตั้ง 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ผมเลือก ไม่ลงคะแนน
เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่ง คนลงเลือกตั้ง ผมก็ไม่ชอบนะ วิธีที่ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง เพราะระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องมีฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ผมไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เบื่อการเมือง ทั้งพรรคไทยรักไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทยก็คอรัปชั่นสูง พรรคประชาธิปัตย์ ก็นักเลงไม่ยอมรับระบอบ

การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ผมเลือกพรรคพลังประชาชน
ถึงแม้ผมจะรู้ว่า การคอรัปชั่นใน ยุคของพรรคไทยรักไทย  2 จะมีเยอะ แต่พอผมลองไปดูรัฐบาลเก่าๆ ไม่ว่าจะของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เยอะพอๆ กัน และที่สำคัญ ผมไม่นิยมการรัฐประหาร ผมยังนิยมในระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญ ผมก็ลงคะแนนประชามติรัฐธรรมนูญ ปี 50  ไม่รับ ร่างเพราะผมคิดว่าคำพูดของนักวิชาการผู้ร่างที่ว่า รับไปก่อน แก้ง่ายนิดเดียว หรือค่อยมาแก้ที่หลังก็ได้ สำหรับการเมืองไทย ผมมองว่ามันไม่จริงและสุดท้าย ก็ไม่จริง แก้ยากสุดๆ และผมก็ได้เห็น ความเป็นจริงของพรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ที่แอบอิงกับระบบ อะไรสักอย่าง และนโยบายที่ออกมาแต่ละอย่าง ไม่ต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ในยุคชวนเลย ใจหวังลึกๆ พรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีทิศทางพรรคใหม่ ให้มองดูไทยรักไทย 1 ในการบริหารงาน ผมได้แค่หวังกับพรรคประชาธิปัตย์

การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ผมเลือกพรรคเพื่อไทย
บอกตรงๆ ผมมีความหวังตอนการหาเสียง ผมอยากเห็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ในการมาสู้กับพรรคเพื่อไทย ตอนแรกก็ใช่นโยบายมาแข่งกันแต่สุดท้าย ก็ยังไม่ข้ามทักษิณ ก็โจมตีทักษิณโดยลืมอธิบายว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจะทำอะไร มียุทธศาสตร์ระยะสั้น กลาง ยาว และเร่งด่วนอย่างไร

ผมไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. สุดซอย แต่ผมก็ไม่เห็นด้วย ที่ใครหลายๆคน ใช้คำว่าคนไทยทั้งประเทศ โดยใช้ 1 สิทธิ ของผมโดยที่ผมไม่รับรู้ ไปแอบอ้างในม๊อบนกหวีด ผมไม่รู้ว่าสภาประชาชนเป็นอย่างไรผมก็ยังหวังจะเห็นโรคสร้าง แต่ก็ไม่เห็นพูดลอยไปลอยมา ผมอยากเห็นแผนการปฎิรูปที่เป็นรูปธรรม มีโครงสร้างชัดเจน แต่ก็ยังไม่เห็น และที่สำคัญผมรอมาตลอดว่าเมือไร พรรคประชาธิปัตย์จะ ปฎิรูป แต่สุดท้ายก็เป็นเช่นเดิม คือทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ม๊อบกับพรรคประชาธิปัตย์ผมไม่ได้มองโลกสวย มันคือทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด เดินคนละขา แต่ระวังนะครับ จะสะดุดขากันเอง จะล้มทั้งคู่ ตอน พ.ร.บ.สุดซอยออกมา ผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก และผมก็อ่านบทความของ คุณอลงกรณ์ ผมเห็นแสงที่พรรคประชาธิปัตย์ทันที ถ้าลงตั้งแต่ พ.ร.บ. สุดซอย และเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ปฎิรูปพรรค คุณได้คะแนน 1 เสียงของผม แน่นอนครับ แต่ตอนนี้

การเลือกตั้งครั้งหน้า...ผมเลือกพรรคเพื่อไทยครับ

อย่าด่าผมเลยนะครับ ผมมีสิทธิที่จะเลือก เพราะ 1 เสียงของผม เท่ากับ 1 เสียงของนายแพทย์ ของมหาเศรษฐี หรือแม้กระทั้ง ของคนเร่ร่อนครับ และที่สำคัญ ผมไม่ชอบพวกโหนเจ้า และ พวกเมืออีกฝ่ายเห็นต่างก็ผลักไปอยู่อีกข้าง โดนไม่ฟังและอ่านอะไรเลย ขอบคุณที่ฟังผมบ่นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่