
.. ตั้งแต่พันทิปปรับลุคใหม่ เพิ่งจะได้มีโอกาสตั้งกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกค่ะ หลังจากที่ห่างหายไปตั้งแต่ช่วงเพิ่งเรียนจบเมื่อหลายปีก่อน พอทำงานแล้วทำให้ไม่ค่อยได้มีเวลาแวะมาอ่านและคอมเม้นท์ซักเท่าไหร่ .. แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน โชคดีได้ไปเดินเล่นที่งานสัปดาห์หนังสือ เห็นหนังสือน่าอ่านหลายๆเล่ม และมีอยู่เล่มนึง ที่ชวนให้เรานึกถึงหนังสือเก่าที่เราได้รับมาจากหัวหน้าที่ทำงานที่เราเคารพมากคนนึง เป็นสิ่งสุดท้ายที่ให้ไว้ก่อนที่พี่เค้าจะลาออกไป หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า Tuesdays with Morrie นี่แหละค่ะ

หลายๆคนที่เป็นหนอนหนังสือ หรือคอกีฬารุ่นเก๋าซักหน่อย คงจะคุ้นเคยกับหนังสือเล่มนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นหนังสือเก่าตั้งแต่สมัยปี 1997 เคยขึ้นแท่น No. 1 Bestseller ในอเมริกาอยู่พักใหญ่ และเขียนโดย Mitch Albom ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เขียน Five People You Meet in Heaven เป็นคอลัมนิสท์ข่าวกีฬา เป็นนักจัดรายข่าวกีฬาทาง ESPN และทางวิทยุที่เค้าว่าวิเคราะห์เกมส์ได้อย่างเฉียบคมคนหนึ่ง (เราไม่ได้ติดตามกีฬาเลยไม่รู้เรื่องเลย ^^) นอกจากนี้ยังเป็นนักแต่งเพลง คนเขียนบท ผู้ประกาศ และอีกหลายๆอาชีพ ซึ่งส่วนมากจะเน้นไปในทางงานเกี่ยวกับสื่อค่ะ
หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie นี้เป็นเรื่องเล่าแบบ Non-fiction เล่าถึงแง่มุมทั่วๆไปในชีวิตที่ทุกคนต้องได้พบเจอ ซึ่งถ้าดูจากสารบัญแล้วจะพบว่าธรรมดามากจนอาจจะน่าเบื่อได้ ทั้งเรื่อง หลักในการตัดสินใจ การเลือกทางเดินในชีวิตและเลือกอาชีพ ความผิดพลาดที่เราได้ทำ ทรรศนคติที่มีต่อเงิน ความหมายครอบครัว ความสำคัญของความรัก ความสุข การให้อภัย และ ความตาย .. แต่ทุกๆเรื่องทั่วไปนี้เองที่มักจะผลัดเปลี่ยนกันมารบกวนจิตใจเราทุกคนอยู่เสมอ หลายๆครั้งที่ไม่มีความสุข เหนื่อยใจ หรืออาจจะกระทั่งรู้สึกหลงทาง หนังสือเล่มนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความหมายที่สำคัญของประเด็นที่ว่ามาทั้งหมดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คมคาย งดงาม และอ่อนโยน จนถึงกับเป็น คำตอบ หรือ ทางออก ให้กับชีวิตได้ ผ่านการเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติ เจืออารมณ์ขันแบบอบอุ่นและเฉียบคม และแทบไม่ได้พยายามจะสร้างความสนุกสนานหรือปรุงแต่งให้สวยงามใดๆ
แต่สำหรับเรา หนังสือเล่มนี้สวยงามมากๆในความหมายและแง่คิดที่ได้รับจากทุกๆ Chapter ที่อ่านผ่านไป สัมผัสได้ถึงแก่นของคนเล่าเรื่อง ที่ให้ความสำคัญกับ ความรัก ความเป็นธรรมชาติของชีวิต และความละเอียดอ่อนในวิธีคิด ที่แฝงอยู่ในแง่มุมต่างๆที่ได้เล่าออกมา คอยชี้ให้เห็นว่า จิตใจของคนนี่เองที่มีความสำคัญหนือกว่าวัตถุใดๆ .. หลายๆครั้งมีประโยคที่ทั้งสวยงามและคมกริบ จนเราแทบจะอยากขีดเส้นใต้ หรือ quote เก็บเอาไว้เตือนใจตัวเองทีหลังเลยค่ะ
เนื้อเรื่องโดยย่อๆนั้นสปอยล์เอาไว้ด้านล่างนี้สำหรับใครที่สนใจ แต่เราคิดว่ามันช่วยอธิบายถึงคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นเองนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เนื้อเรื่องโดยย่อนั้น เล่าถึง Morrie ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์สมัยมหาวิทยาลัยของ Mitch ผู้เขียน .. Morrie นั้นชราและป่วยด้วยโรค ALS ซึ่งรักษาไม่หายและจะทำให้กล้ามเนื้อค่อยๆอ่อนแรงและลีบจนไม่สามารถหายใจได้และจะตายจากไปในเวลาไม่นาน แต่แม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่น่ารันทดนี้ Morrie ผู้ซึ่งมีรอยยิ้มและความสดใสแฝงอยู่ในความคิดและจิตใจอยู่เสมอ ยังสามารถใช้สติปัญญาที่ยังแข็งแรงในการหาแง่มุมที่ยังคงสวยงามของชีวิตช่วงสุดท้าย และพูดคุยกับ Mitch อดีตลูกศิษย์ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมทุกสัปดาห์ในวันอังคาร บทสนทนาถึงเรื่องต่างๆของทั้งคู่เป็นทั้งบทเรียนสำคัญของชีวิต และจะเป็นความทรงจำที่สวยงามของทั้งคู่ แม้หลังจากวันที่ Morrie ต้องจากไป .. Mitch ได้เรียนรู้ในแง่คิดของชีวิตสำหรับตัวเองไปพร้อมๆกับทำความเข้าใจถึงการสูญเสียคนที่เป็นที่รัก และเห็นถึงความเจ็บป่วยที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงชีวิตและข้อจำกัดของคนๆหนึ่งไปได้อย่างน่าสะท้อนใจ .. การตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ก็เกิดขึ้นเพื่อหารายได้มาจุนเจือค่ารักษาพยาบาลของ Morrie ในช่วงก่อนที่เค้าจะจากไป ซึ่งค่าใช้จ่ายนั้นก็สูงเกินกว่าที่อาจารย์วัยเกษียณคนหนึ่งจะรับไหว และ Mitch ก็อยากให้คนอ่านได้รับรู้ถึงความสวยงามในใจของ Morrie ที่ยังคงอยู่เสมอและเป็นบทเรียนที่ดีให้กับทุกคน ไม่ว่าสภาพร่างกายจะผุพังซักแค่ไหนก็ตาม
หลังจากที่เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก (ไม่ทันจะถึงครึ่งเล่มดี) ก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะเป็นหนังสือที่เรารักมาก และรู้สึกได้ว่านี่คงจะเป็นหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดในชีวิต (ของคนที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไหร่อย่างเรา ^^) .. มันต่างจากนิยายสนุกสนานที่เคยอ่านมา แต่คุณค่าของมันทำให้คนอ่านอย่างเรา อิ่ม มากก

.. หลังจากที่เราอ่านจบแล้วก็เคยคิดว่าจะมาแชร์กับเพื่อนๆในพันทิป แต่ด้วยความที่งานยุ่ง เลยไม่มีโอกาสซักที ได้แต่แนะนำให้รุ่นน้องที่รู้จักหลายคน เคยให้เป็นของขวัญรับปริญญาน้องคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบและกำลังตัดสินใจเลือกวิธีการใชีชีวิตและการทำงาน และพบว่าน้องเค้าก็รักหนังสือเล่มนี้มากพอๆกัน
ตอนนี้เลยอยากถือโอกาสที่มีเวลามาตั้งกระทู้ (และโอกาสปีใหม่ไทยด้วยซะเลยแบบเนียนๆ ^^) มาแนะนำสิ่งดีๆเล่มเล็กๆนี้ไว้ให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันนะคะ คิดว่าเหมาะมากเป็นพิเศษสำหรับคนที่กำลังค้นหาตัวเอง ค้นหาความหมายของชีวิต กำลังตัดสินใจ คนมีครอบครัวต้องดูแล มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานหนักเพื่อเงินอย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก หรือแม้กระทั่งใครที่กำลังป่วย ตอนที่เราอ่านคิดว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ต่างจากหนังสือธรรมะที่สอนให้เห็นถึงมรณานุสติด้วยซ้ำ
วันก่อนที่เราไปเดินงานสัปดาห์หนังสือและเห็นว่าเล่มนี้ยังมีขายอยู่ก็ดีใจมาก แล้วก็ซื้อกลับมาสองเล่มกะไว้เป็นของฝากเพื่อนๆน้องๆหลายคน .. มีฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วยนะคะ แปลโดยคุณ อมรรัตน์ โรเก้ เป็นฉบับครบรอบ 10 ปีเมื่อปี 2007 ค่ะ .. หนังสือเล่มนี้ยังเคยถูกปรับเป็นหนังเมื่อปี 1999 กำกับโดย Mick Jackson มี Oprah Winfrey เป็นหนึ่งใน Executive Director ด้วย เผื่อใครถนัดรับชมแบบไหน จะได้เลือกได้ตามสะดวกค่ะ ^^


ใครที่ได้อ่านแล้ว รู้สึกยังงัยกับหนังสือเล่มนี้บ้าง มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ
[CR] : : : : ชวนมาอ่านหนังสือดีๆ ซักเล่มนึงค่ะ ชื่อว่า Tuesdays with Morrie : : : :
หลายๆคนที่เป็นหนอนหนังสือ หรือคอกีฬารุ่นเก๋าซักหน่อย คงจะคุ้นเคยกับหนังสือเล่มนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นหนังสือเก่าตั้งแต่สมัยปี 1997 เคยขึ้นแท่น No. 1 Bestseller ในอเมริกาอยู่พักใหญ่ และเขียนโดย Mitch Albom ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เขียน Five People You Meet in Heaven เป็นคอลัมนิสท์ข่าวกีฬา เป็นนักจัดรายข่าวกีฬาทาง ESPN และทางวิทยุที่เค้าว่าวิเคราะห์เกมส์ได้อย่างเฉียบคมคนหนึ่ง (เราไม่ได้ติดตามกีฬาเลยไม่รู้เรื่องเลย ^^) นอกจากนี้ยังเป็นนักแต่งเพลง คนเขียนบท ผู้ประกาศ และอีกหลายๆอาชีพ ซึ่งส่วนมากจะเน้นไปในทางงานเกี่ยวกับสื่อค่ะ
หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie นี้เป็นเรื่องเล่าแบบ Non-fiction เล่าถึงแง่มุมทั่วๆไปในชีวิตที่ทุกคนต้องได้พบเจอ ซึ่งถ้าดูจากสารบัญแล้วจะพบว่าธรรมดามากจนอาจจะน่าเบื่อได้ ทั้งเรื่อง หลักในการตัดสินใจ การเลือกทางเดินในชีวิตและเลือกอาชีพ ความผิดพลาดที่เราได้ทำ ทรรศนคติที่มีต่อเงิน ความหมายครอบครัว ความสำคัญของความรัก ความสุข การให้อภัย และ ความตาย .. แต่ทุกๆเรื่องทั่วไปนี้เองที่มักจะผลัดเปลี่ยนกันมารบกวนจิตใจเราทุกคนอยู่เสมอ หลายๆครั้งที่ไม่มีความสุข เหนื่อยใจ หรืออาจจะกระทั่งรู้สึกหลงทาง หนังสือเล่มนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความหมายที่สำคัญของประเด็นที่ว่ามาทั้งหมดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คมคาย งดงาม และอ่อนโยน จนถึงกับเป็น คำตอบ หรือ ทางออก ให้กับชีวิตได้ ผ่านการเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติ เจืออารมณ์ขันแบบอบอุ่นและเฉียบคม และแทบไม่ได้พยายามจะสร้างความสนุกสนานหรือปรุงแต่งให้สวยงามใดๆ
แต่สำหรับเรา หนังสือเล่มนี้สวยงามมากๆในความหมายและแง่คิดที่ได้รับจากทุกๆ Chapter ที่อ่านผ่านไป สัมผัสได้ถึงแก่นของคนเล่าเรื่อง ที่ให้ความสำคัญกับ ความรัก ความเป็นธรรมชาติของชีวิต และความละเอียดอ่อนในวิธีคิด ที่แฝงอยู่ในแง่มุมต่างๆที่ได้เล่าออกมา คอยชี้ให้เห็นว่า จิตใจของคนนี่เองที่มีความสำคัญหนือกว่าวัตถุใดๆ .. หลายๆครั้งมีประโยคที่ทั้งสวยงามและคมกริบ จนเราแทบจะอยากขีดเส้นใต้ หรือ quote เก็บเอาไว้เตือนใจตัวเองทีหลังเลยค่ะ
เนื้อเรื่องโดยย่อๆนั้นสปอยล์เอาไว้ด้านล่างนี้สำหรับใครที่สนใจ แต่เราคิดว่ามันช่วยอธิบายถึงคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นเองนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากที่เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก (ไม่ทันจะถึงครึ่งเล่มดี) ก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะเป็นหนังสือที่เรารักมาก และรู้สึกได้ว่านี่คงจะเป็นหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดในชีวิต (ของคนที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไหร่อย่างเรา ^^) .. มันต่างจากนิยายสนุกสนานที่เคยอ่านมา แต่คุณค่าของมันทำให้คนอ่านอย่างเรา อิ่ม มากก
ตอนนี้เลยอยากถือโอกาสที่มีเวลามาตั้งกระทู้ (และโอกาสปีใหม่ไทยด้วยซะเลยแบบเนียนๆ ^^) มาแนะนำสิ่งดีๆเล่มเล็กๆนี้ไว้ให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันนะคะ คิดว่าเหมาะมากเป็นพิเศษสำหรับคนที่กำลังค้นหาตัวเอง ค้นหาความหมายของชีวิต กำลังตัดสินใจ คนมีครอบครัวต้องดูแล มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานหนักเพื่อเงินอย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก หรือแม้กระทั่งใครที่กำลังป่วย ตอนที่เราอ่านคิดว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ต่างจากหนังสือธรรมะที่สอนให้เห็นถึงมรณานุสติด้วยซ้ำ
วันก่อนที่เราไปเดินงานสัปดาห์หนังสือและเห็นว่าเล่มนี้ยังมีขายอยู่ก็ดีใจมาก แล้วก็ซื้อกลับมาสองเล่มกะไว้เป็นของฝากเพื่อนๆน้องๆหลายคน .. มีฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วยนะคะ แปลโดยคุณ อมรรัตน์ โรเก้ เป็นฉบับครบรอบ 10 ปีเมื่อปี 2007 ค่ะ .. หนังสือเล่มนี้ยังเคยถูกปรับเป็นหนังเมื่อปี 1999 กำกับโดย Mick Jackson มี Oprah Winfrey เป็นหนึ่งใน Executive Director ด้วย เผื่อใครถนัดรับชมแบบไหน จะได้เลือกได้ตามสะดวกค่ะ ^^
ใครที่ได้อ่านแล้ว รู้สึกยังงัยกับหนังสือเล่มนี้บ้าง มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ