สมัยที่ผมยังเด็ก (ถ้าไม่เด็กก็ไม่มีเรื่องเล่าสิ)

ไปเยี่ยมบ้านย่าที่กลางนาเมืองอุทัยธานีนั้น ตกค่ำ เขาก็จุดตะเกียงเจ้าพายุรับแขกเหรื่อที่มาเยือนถึงบ้าน
พี่เขาผูกไส้ตะเกียง เติมน้ำมันก๊าดให้เต็ม เสร็จแล้วก็เรื่มพิธีกรรม ใช้แอลกอฮอลเผาไส้จนกลายเป็นถ่าน แล้วก็เติมปั้มลมไปเรื่อยๆ จนเข็มความดันลมเต็ม ปรับลิ้นความดันลมให้เหมาะสม แสงสว่างจากมีเปลวเล็กน้อย จะสว่างจ้ายิ่งกว่าหลอดไฟมีไส้สมัยก่อนอีก เขาดูจนเปลวหาย พอสว่างได้ที่ ปลดกระจกลงครอบ กันแรงลมพัด นำไปแขวนให้แสงสว่าง เป็นอันเสร็จพิธี
ที่ว่าเป็นงานใหญ่นั้น เพราะตามปกติ จะใช้แต่ตะเกียงรั้วเท่านั้น ก็สว่างเพียงพอแล้ว
ว่ากันว่า ถ้าไส้ในตะเกียงเจ้าพายุขาด หรือรั่ว ต้องเปลื่ยนใหม่ เพราะเปลวน้ำมันผสมอัดลมจะพุ่งออกมาจนโดนกระจกโคมทำให้แตกได้
แสดงว่า ไส้ตะเกียงเจ้าพายุนั้น เหมือนเป็นตัวกรองความดันลมและเปลวน้ำมันก๊าด มิให้กระจายไปที่อื่นกระมัง ?
อย่างไรก็ดี ผมยังจุดตะเกียงเจ้าพายุไม่เป็นจนกระทั่งบัดนี้ครับ
ภาพเก่าเล่าเรื่อง (๗๓)
สมัยที่ผมยังเด็ก (ถ้าไม่เด็กก็ไม่มีเรื่องเล่าสิ)
พี่เขาผูกไส้ตะเกียง เติมน้ำมันก๊าดให้เต็ม เสร็จแล้วก็เรื่มพิธีกรรม ใช้แอลกอฮอลเผาไส้จนกลายเป็นถ่าน แล้วก็เติมปั้มลมไปเรื่อยๆ จนเข็มความดันลมเต็ม ปรับลิ้นความดันลมให้เหมาะสม แสงสว่างจากมีเปลวเล็กน้อย จะสว่างจ้ายิ่งกว่าหลอดไฟมีไส้สมัยก่อนอีก เขาดูจนเปลวหาย พอสว่างได้ที่ ปลดกระจกลงครอบ กันแรงลมพัด นำไปแขวนให้แสงสว่าง เป็นอันเสร็จพิธี
ที่ว่าเป็นงานใหญ่นั้น เพราะตามปกติ จะใช้แต่ตะเกียงรั้วเท่านั้น ก็สว่างเพียงพอแล้ว
ว่ากันว่า ถ้าไส้ในตะเกียงเจ้าพายุขาด หรือรั่ว ต้องเปลื่ยนใหม่ เพราะเปลวน้ำมันผสมอัดลมจะพุ่งออกมาจนโดนกระจกโคมทำให้แตกได้
แสดงว่า ไส้ตะเกียงเจ้าพายุนั้น เหมือนเป็นตัวกรองความดันลมและเปลวน้ำมันก๊าด มิให้กระจายไปที่อื่นกระมัง ?
อย่างไรก็ดี ผมยังจุดตะเกียงเจ้าพายุไม่เป็นจนกระทั่งบัดนี้ครับ