การลงทุนและเล่นหุ้นเบื้องต้น 101

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ
กระทู้สนทนา
หลังจากที่ไม่ได้เล่นพันทิปมานานนมกาเล เนื่องจากบริษัทที่ทำอยู่นั้นblockไม่ให้ผมเข้าเล่น
แถมพอเลิกงานก็หมดพลัง ไม่ได้เล่นเวปหรืออะไรแล้วครับ แต่เหมือนสวรรค์มีตา หลังจากที่ทำงานสำคัญให้กับบริษัทสำเร็จ
ท่านITผู้มีเมตตาก็ปลดบล๊อกเวปให้ผม (ฮาเลลูย่าๆๆๆ)เม่าเริงร่า
อีกทั้งคิดถึงสมาชิกท่านเก่าๆที่หายหน้าหายตากันไป (รวมถึงผมด้วย)
จึงขออนุญาตตั้งกระทู้ที่ไม่ค่อยจะได้ตั้งเสียหน่อย....

*อนึ่ง*
    หลายๆท่านไม่ต้องคาดหวังให้ผมโชว์พอร์ทนะครับ พอร์ทผมมีเงินวิ่งอยู่ราวๆ 30,000 บาท ทุกครั้งที่มีกำไรถึงจุดๆนึง
ผมจำเป็นต้องถอนออก และหุ้นที่ผมซื้อๆขายๆ *ย้ำ* ซื้อๆขายๆ มีแค่ตัวเดียวนะครับ อันเนื่องมาจากปัญหาทางการเงินของทางบ้านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ท่านกำลังมีปัญหากับสภาวะตลาดอยู่ใช่หรือไม่?เม่าจอแดง
ท่านไม่รู้ว่าทำไมหุ้นเราขึ้นแบบหอยทากเป็นตะคริว?เม่าติดดอย
ท่านไม่รู้ว่าทำไมหุ้นที่รับมาเมื่อวานลงแบบเพนกวินพุ่งลงสไลเดอร์สวนสยามทะเลกรุงเทพ?เม่าร้องไห้

วันนี้ กระผมนักสืบจิ๋ว ขอเสนอหน้าแนะนำการลงทุนและการเล่นหุ้นเบื้องต้น 101
ก่อนอื่น เราต้องยอมรับว่า เราชอบมองข้ามสิ่งสำคัญเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น
คุณจะเล่นหุ้น
หรือคุณจะลงทุน

ยกตัวอย่างเช่นตัวผมเองนั้นเป็นคนเล่นหุ้น

คำว่า "เล่น" นั่นหมายความว่า คุณต้องเข้าใจกติกาพื้นฐานของตลาดหุ้น
ซื้อยังไง? ขายยังไง? ตลาดเปิดกี่โมง? อะไรคือหุ้น?
การซื้อหุ้น ขายหุ้นตามมีตามเกิด
มันก็ไม่ต่างอะไรจากการซื้อหวย ที่มีprobability ในการถูกรางวัลที่สูงขึ้น
ทำไม? ถึงมีVI ที่ประสบความสำเร็จมากมาย ทำไมถึงมีนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จในการเทรดมากมาย?
ข้อแตกต่างระหว่างเรากับเขาคืออะไร?
เงินทุน? ประสบการณ์? insider? หรือว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์กันแน่
ในกระบวนการการลงทุนและเล่นหุ้นของผมนั้นประกอบไปด้วยปัจจัยใหญ่ๆ 3 ข้อ

1.Trading factor
2.ความสามารถในการชี้วัดได้
3.ความยั่งยืน



1.ในการลงทุนและเล่นหุ้นนั้นในมุมมองของผม ผ่านประสบการณ์ลงทุน 6 ปี นั้น Trading factor ประกอบไปด้วย

ไม่ว่าคุณจะเล่นหุ้น หรือคุณจะลงทุน กราฟข้างบนนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณจะมีความสำเร็จมากน้อยเพียงใดในการเทรด
สำหรับผมที่เวียนว่ายตายเกิดในตลาดนี้มากว่า 6 ปี แถมเงินลงทุนยังมีแค่ 30,000 บาทเท่าเดิมนั้น ก็สามารถบอกได้ว่า

“สิ่งที่ง่ายคือสุดในการลงทุนและเล่นหุ้นนั้นคือสิ่งที่ยากที่สุด”

ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นนั้น ผมขอเปรียบเทียบและแบ่งออกเป็นดังนี้

จะเห็นได้ว่า กติกาดังกล่าวข้างต้นนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดจากตัวเราเอง
ไม่มีใครบีบให้คุณซื้อหรือขาย นอกจากตัวคุณเอง
ดังนั้นเราจะเห็นได้บ่อยๆในหนังสือและรายการต่างๆว่ามีคนนั้นคนนี้ประสบความสำเร็จจากการลงทุน
เพียงเพราะเค้าเล่นตามกติกาที่เขากำหนดขึ้นมาเอง
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ตลาดถล่มทลายแบบนี้ ทำไมเราไม่นั่งลงและกางกระดานใหญ่ๆสักแผ่น
แล้วลองเขียนลงไปดูว่าเรามี Trading factor ตกอยู่ในภาพนั้นแบบใด? ซึ่งผมมั่นใจว่าในช่วงแรกๆ ท่านต้องมีอย่างละช่องสองช่อง
อาจจะเป็นระบบแบบเด็กเทคนิค วินัยแบบVI และการบริหารเงินแบบเม่า ก็เป็นได้ เม่าออกรถ


B.ความสามารถในการชี้วัดได้
โดยปรกติแล้วเวลาหลายท่านเทรดหุ้นนั้น มักจะดูแค่กำไร ณ จุดๆนั้น หรือขาดทุน ณ จุดๆนั้น
ผมขอยกตัวอย่างพอร์ตของผมเองแล้วกันนะครับ
ผมเริ่มต้นด้วยเงิน 30,000 บาท แต่ละไม้ในการเทรดแต่ละครั้งจะไม่ให้เกินครั้งละ 22,000 บาท หรือคิดเป็น 73% ของพอร์ท
แต่ผมจะซื้อหุ้นตัวเดียวเท่านั้น ภายใต้ระบบการซื้อขายที่มีการออกแบบ ด้วยแนวรับแนวต้านที่ชัดเจน เป็นตัวกำหนดจุดซื้อขาย ทุกครั้งที่เกิดกำไรสะสมถึงจุดๆหนึ่ง ผมจะถอนเงินออกและเปลี่ยนเงินดังกล่าวเป็นสินทรัพย์อื่นๆ เช่น
Smartphone > เอาไว้ต่อยอดดูกราฟและเทรด ในกรณีที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์
Notebook > เอิ่ม อันนี้ต้องบอกว่า PCตัวเก่าผมพังไปแล้ว ซื้อnotebookเอาเองครับ
คอร์สเรียนภาษาexcel vbaเพิ่มเติมและค่าDataตลอดจนค่าโปรแกรมดูกราฟ> ตกปีละเกือบๆ10,000 บาท (รวมๆกันนะครับ)
ลงทุนอื่นๆ > ราวๆ 30,000 บาทเป็นขายของ ด้วยการซื้อเงินUSDแล้วไปหิ้วจากเมืองนอกมาขายครับ
ดังนั้นผมจะวัดผลตอบแทนที่เกิดขึ้นยังไงดี??

Smartphone = 22,900บาท
Notebook = 25,000 บาท
คอร์ส+data = 10,000 บาท ต่อปี*6
ลงทุนอื่นๆ = 30,000 บาท ในปีที่ผ่านมา

รวม 137,900 บาท จากเงินลงทุน 30,000 บาท (แน่นอนครับว่ามีขาดทุนด้วยจากการเป็นเม่า แต่มามีกติกาจริงๆแค่3-4ปีหลัง)

คิดเป็นการเติบโต 459 % จากเงินต้นครับ ถ้าหารเฉลี่ยต่อปีก็ ราวๆ 76%
ดูเหมือนเยอะนะครับ 555+ แต่เงินต้น 30,000 จะโตเยอะก็ไม่แปลก เพราะถ้าพอร์ทยิ่งใหญ่ ยิ่งขยับยากครับ ในหัวข้อนี้ ผมจะขอยกไปพูดในกระทู้หน้าๆนะครับ สำหรับในหัวข้อ 102 (ถ้ายังได้เขียนนะครับ ฮ่าๆ)

จะเห็นได้ว่าแม้ว่าผลกำไรของผมไม่ได้ออกมาเป็นตัวเงิน แต่ผมเปลี่ยนมันเป็นในรูปสินทรัพย์ ซึ่ง ณ จุดตรงนี้มันสามารถชี้วัดได้ว่าส่วนหนึ่ง การเทรดของเรานั้นไม่ได้มาผิดทาง
ตลอดจนผมมีการback test ระบบการซื้อขายหุ้น ภายใต้สมมติฐานเดียวกันคือ

1.ผมไม่มีเวลามานั่งดูหุ้นแบบreal time
2.ผมรู้เทคนิคเคิลมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน (แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วฮะว่าอะไรเยอะกว่ากัน)
3.เงินผมน้อย ทนความเสี่ยงได้ต่ำ

**note**
ความเสี่ยงต่ำนั้นขึ้นอยู่กับคำนิยามของแต่ละท่าน อย่างของผม ผมจะเสี่ยงไม่เกิน 3-5%ของpositionต่อครั้งที่เทรด (positionของผมจะเท่ากับไม้ละ 22000 บาทครับ)
แปลเป็นภาษาคนคือ คัตลอสครั้งละ ราวๆ 660-1100 บาทครับ

ดังนั้นระบบในการซื้อขายหุ้นด้วยกราฟของผมนั้น เรียกได้ว่าเข้าขั้นไร้ใจ ไร้สมองในตอนซื้อขายครับ แถมยังback testมาแล้วยิ่งมั่นใจว่า เราต้องทำให้ได้ตามระบบครับผม

C.ความยั่งยืน
การซื้อขายของเราที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้นั้น จำเป็นจะต้องมีความยั่งยืนครับ ไม่ใช่ว่าตลาดขาขึ้นก็กำไรเพียบ ขาลงกำไรก็หายตามๆกันไป แบบนี้เรียกว่าไม่ยั่งยืนครับ
ทั้งการเลือกหุ้น เลือกหลักทรัพย์ เราจำเป็นต้องมีเหตุผลมาซัพพอร์ทที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าเลือกเพราะว่าดี
ผมขอยกตัวอย่างเคสPTT
บริษัท PTT นั้นเคยมีคนพูดว่าชาตินี้ยังไงก็ไม่เจ๊ง แต่แน่นอนครับ ก็ไม่ได้มีperformanceด้านราคาที่ดีเท่าไหร่นัก เรียกว่าอยู่ๆกันไป แกว่งกันแคบๆ แต่มีส่วนต่างให้เล่นอยู่ครับ ลองมาดู TDEXที่ใครว่าขึ้นน้อยยยยยจุงกับPTTที่ขึ้นแบบฮวบๆกันดีกว่า
เส้นดำคือ TDEXรายweekนะครับ
เส้นสีๆคือ PTT รายweek


จะเห็นว่าTDEXโตเยอะกว่านะครับ ถ้าเปรียบเทียบกันจริงๆ

ตรงนี้ จะสอดคล้องกับในหัวข้อ B คือ ถ้าระบบคุณสามารถชี้วัดได้ คุณจะสามารถทำการวิเคราะห์แบบ walk forward หรือเป็นการทดลองเทรดด้วยเงินปลอมๆ พอร์ทจำลอง หรือการทำ paper tradeครับ ว่ามันยั่งยืน สร้างกำไรให้เราจริงหรือไม่
(แต่ในทางทฤษฎีแล้ว ในอนาคตมักจะมีความผันผวนที่สูงกว่า ครับ)

ทั้งหมดนี้คือโครงสร้างแผน ในการซื้อขายหุ้นของผมครับ
ผมไม่ได้บอกว่ามันดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา แต่เป็นวิธีที่ผมออกแบบให้ระบบการลงทุนนั้น
เข้ากับตัวผมให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อให้ได้กำไรเยอะที่สุดครับ

เดี๋ยวค่อยเพิ่มเติมในหัวข้อถัดๆไปนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่