Active Fund หรือกองทุนรวมเชิงรุก: มุ่งสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด
กองทุนประเภทนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการ เอาชนะตลาด หรือทำผลตอบแทนให้ได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (Benchmark) เช่น SET50 หรือ SET100 พูดง่าย ๆ คือ ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นอย่างพิถีพิถันและใช้กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อหาโอกาสทำกำไรที่เหนือกว่าตลาดทั่วไป ยิ่งทำผลงานได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทีมบริหารมากเท่านั้น
จุดเด่น: โอกาสทำกำไรที่โดดเด่น
ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือการใช้โมเดลและหลักการเฉพาะตัวในการเลือกหุ้น โดยส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่สุดเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าการลงทุนตามตลาดทั่วไป
ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงและค่าธรรมเนียม
แม้จะมีความน่าสนใจ แต่ Active Fund ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า หากผู้จัดการกองทุนตัดสินใจผิดพลาด และเลือกหุ้นไม่ถูกตัว นักลงทุนก็อาจขาดทุนได้ ที่สำคัญคือ กองทุนประเภทนี้มี ค่าธรรมเนียมการบริหารที่ค่อนข้างสูง เพราะต้องใช้ความเชี่ยวชาญของทีมผู้จัดการกองทุนในการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปแล้ว กองทุน Active Fund จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงและความผันผวน ที่อาจเกิดขึ้นได้ และพร้อมที่จะมอบความไว้วางใจในการตัดสินใจให้กับผู้จัดการกองทุน
Passive Fund: ลงทุนตามตลาดแบบสบายใจ
มาดูกองทุนรวมประเภทที่สองกันบ้าง นั่นคือกองทุนรวมเชิงรับ หรือ Passive Fund ซึ่งมีจุดประสงค์ที่แตกต่างจาก Active Fund โดยสิ้นเชิง กองทุนประเภทนี้ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาชนะตลาด แต่จะ สร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) มากที่สุด พูดง่าย ๆ คือ กองทุนจะลงทุนตามดัชนีนั้น ๆ แบบเป๊ะ ๆ โดยไม่ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนมากนัก ส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Robot) ในการบริหารแทน
ข้อดี: ต้นทุนต่ำ ติดตามง่าย
ข้อดีเด่น ๆ ของ Passive Fund คือ ค่าธรรมเนียมที่ถูกมาก หรือบางกองทุนแทบไม่เก็บเลย เพราะไม่ต้องใช้ต้นทุนหรือความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ากองทุนลงทุนในหุ้นตัวไหนบ้าง เพราะเป็นไปตามดัชนีที่เราเลือกนั่นเอง
ข้อเสีย: ข้อจำกัดและการเติบโตที่จำกัด
ข้อจำกัดสำคัญของ Passive Fund คือ ความยืดหยุ่นในการลงทุนที่น้อยมาก เพราะกองทุนจะถูกออกแบบมาให้ลงทุนตามตลาดเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่อยู่นอกเหนือจากดัชนีได้ และหากช่วงไหนที่ตลาดไม่ดี หรือดัชนีไม่ขยับ กองทุนประเภทนี้ก็จะไม่สามารถสร้างกำไรให้เราได้เช่นกัน
Passive vs. Active: เลือกลงทุนแบบไหนดี?
โดยสรุปแล้ว Passive Fund เหมาะกับการลงทุนแบบ ระยะยาว และเป็น กองทุนหลัก ในพอร์ต เพราะถึงแม้กำไรจะไม่หวือหวาเท่ากับ Active Fund แต่ก็ช่วยให้เราได้ผลตอบแทนตามตลาด ซึ่งถือเป็นการเซฟความเสี่ยงไปในตัว
ในต่างประเทศ การลงทุนแบบ Passive Fund ได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากตลาดหุ้นมีขนาดใหญ่และมีหุ้นให้เลือกมากมาย การลงทุนตามดัชนีจึงมักให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่สำหรับตลาดหุ้นในบ้านเราที่ยังมีขนาดเล็กกว่า การเลือกลงทุนก็อาจต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกกองทุนแบบไหนดี การลงทุนทั้งสองแบบเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ
Active Fund เเละ Passive Fund เเตกต่างกันอย่างไร ?
กองทุนประเภทนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการ เอาชนะตลาด หรือทำผลตอบแทนให้ได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (Benchmark) เช่น SET50 หรือ SET100 พูดง่าย ๆ คือ ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นอย่างพิถีพิถันและใช้กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อหาโอกาสทำกำไรที่เหนือกว่าตลาดทั่วไป ยิ่งทำผลงานได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทีมบริหารมากเท่านั้น
จุดเด่น: โอกาสทำกำไรที่โดดเด่น
ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือการใช้โมเดลและหลักการเฉพาะตัวในการเลือกหุ้น โดยส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่สุดเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าการลงทุนตามตลาดทั่วไป
ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงและค่าธรรมเนียม
แม้จะมีความน่าสนใจ แต่ Active Fund ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า หากผู้จัดการกองทุนตัดสินใจผิดพลาด และเลือกหุ้นไม่ถูกตัว นักลงทุนก็อาจขาดทุนได้ ที่สำคัญคือ กองทุนประเภทนี้มี ค่าธรรมเนียมการบริหารที่ค่อนข้างสูง เพราะต้องใช้ความเชี่ยวชาญของทีมผู้จัดการกองทุนในการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปแล้ว กองทุน Active Fund จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงและความผันผวน ที่อาจเกิดขึ้นได้ และพร้อมที่จะมอบความไว้วางใจในการตัดสินใจให้กับผู้จัดการกองทุน
Passive Fund: ลงทุนตามตลาดแบบสบายใจ
มาดูกองทุนรวมประเภทที่สองกันบ้าง นั่นคือกองทุนรวมเชิงรับ หรือ Passive Fund ซึ่งมีจุดประสงค์ที่แตกต่างจาก Active Fund โดยสิ้นเชิง กองทุนประเภทนี้ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาชนะตลาด แต่จะ สร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) มากที่สุด พูดง่าย ๆ คือ กองทุนจะลงทุนตามดัชนีนั้น ๆ แบบเป๊ะ ๆ โดยไม่ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนมากนัก ส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Robot) ในการบริหารแทน
ข้อดี: ต้นทุนต่ำ ติดตามง่าย
ข้อดีเด่น ๆ ของ Passive Fund คือ ค่าธรรมเนียมที่ถูกมาก หรือบางกองทุนแทบไม่เก็บเลย เพราะไม่ต้องใช้ต้นทุนหรือความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ากองทุนลงทุนในหุ้นตัวไหนบ้าง เพราะเป็นไปตามดัชนีที่เราเลือกนั่นเอง
ข้อเสีย: ข้อจำกัดและการเติบโตที่จำกัด
ข้อจำกัดสำคัญของ Passive Fund คือ ความยืดหยุ่นในการลงทุนที่น้อยมาก เพราะกองทุนจะถูกออกแบบมาให้ลงทุนตามตลาดเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่อยู่นอกเหนือจากดัชนีได้ และหากช่วงไหนที่ตลาดไม่ดี หรือดัชนีไม่ขยับ กองทุนประเภทนี้ก็จะไม่สามารถสร้างกำไรให้เราได้เช่นกัน
Passive vs. Active: เลือกลงทุนแบบไหนดี?
โดยสรุปแล้ว Passive Fund เหมาะกับการลงทุนแบบ ระยะยาว และเป็น กองทุนหลัก ในพอร์ต เพราะถึงแม้กำไรจะไม่หวือหวาเท่ากับ Active Fund แต่ก็ช่วยให้เราได้ผลตอบแทนตามตลาด ซึ่งถือเป็นการเซฟความเสี่ยงไปในตัว
ในต่างประเทศ การลงทุนแบบ Passive Fund ได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากตลาดหุ้นมีขนาดใหญ่และมีหุ้นให้เลือกมากมาย การลงทุนตามดัชนีจึงมักให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่สำหรับตลาดหุ้นในบ้านเราที่ยังมีขนาดเล็กกว่า การเลือกลงทุนก็อาจต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกกองทุนแบบไหนดี การลงทุนทั้งสองแบบเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ