เวลาคุณซื้อกองทุนรวมหุ้น (หมายถึง กองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ใช่กองทุนดัชนี) .. คุณเคยรู้สึกแบบนี้บ้างมั๊ย ..
- ทำไมเก็บค่าธรรมเนียมแพงจัง (จะกำไร หรือ ขาดทุน ลูกค้าก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะจ้างเค้าบริหาร)
- ทำไมต้องเลือกหุ้นตัวนี้ .. ทำไมต้องปรับหุ้นตัวนี้ออก
- ทำไมต้องซื้อ-ขายหุ้นบ่อย ๆ
- ทำไมพอร์ตกองทุน 5 อันดับแรก เปลี่ยนหุ้นแทบทุกเดือน (ไม่คิดจะถือยาว ๆ บ้างหรือไง)
- ทำไมวันนี้ ตลาดหุ้นบวก .. แต่กองทุนเราติดลบ
- ผจก.กองทุน จะถือกองทุนที่ตัวเองบริหารอยู่บ้างมั๊ยนะ
- ผจก.กองทุน เค้าก็อาจจะคิดว่า บริหารแล้วได้กำไร ก็ดี .. ขาดทุน ก็ช่างแม่ม (เพราะเป็นเงินของลูกค้า ไม่ใช่เงินของ ผจก.กองทุน)
นี่คือห้วงความคิดเล็ก ๆ ของผม เมื่อตอนซื้อกองทุน และ อาจจะมีหลายคน คิดคล้าย ๆ กับผม .. แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเรายังไม่มีความรู้มากพอ ที่จะลงทุนซื้อหุ้นด้วยตัวเอง
เอาล่ะ .. จบเรื่องความคิดไร้สาระบ้า ๆ ไปซะ (แล้วจะพิมพ์มาทำไมเนี่ย) .. แล้วไปทำความรู้จักกับกองทุนดัชนีกันดีกว่าครับ
ปัจจุบัน อุตสาหกรรม “กองทุนรวมหุ้น” .. ถูกแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. กองทุนรวมหุ้น แบบ Active (คือ กองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไปที่เรา ๆ ชอบซื้อ-ขาย กันปกตินี่แหละ .. กว่า 90% ของกองทุนรวมหุ้นทั้งระบบ จะเป็นกองทุนรวมหุ้น ที่มีการบริหารจัดการโดย ผจก.กองทุน ถือเป็นกองทุนแบบ Active)
2. กองทุนรวมหุ้น แบบ Passive (คือ กองทุนหุ้น ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ผจก.กองทุน ในการบริหารจัดการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นกองทุนดัชนี หรือ Index Fund)
แต่วันนี้ ผมจะมาพูดถึงแต่กองทุนดัชนีเท่านั้น (เพราะ กองทุนหุ้นแบบ Active ทั่ว ๆ ไป หลาย ๆ คนก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว)
ถ้าถามผมว่า ทำไมต้องกองทุนดัชนี .. มันน่าสนใจตรงไหน ถึงต้องเอามาเป็นประเด็นในการตั้งกระทู้
ผมก็จะบอกว่า .. มันน่าสนใจ ก็เพราะ .. มันเป็น “กองทุนที่ถูกลืม” นี่แหละครับ .. เพราะไม่มีคนสนใจ , ไม่ค่อยมีคนซื้อ , ไม่ค่อยมีคนพูดถึง .. ผมถึงอยากเอากองทุนดัชนีมาเป็นประเด็นทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกัน (นักลงทุนเก่า ๆ เก่ง ๆ หรือ เซียนกองทุน ก็อ่านข้าม ๆ หรือ ปิดกระทู้ไปได้เลยนะครับ)
เอ่อ .. เราเกริ่นกันมาเยอะแล้ว .. ผมว่า เรามาเริ่มทำความรู้จัก กองทุนดัชนี กันเลยดีกว่า
เอาสั้น ๆ ง่าย ๆ เลยนะ .. กองทุนดัชนี หรือ Index Fund .. คือ กองทุนรวมหุ้น ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนสร้างผลตอบแทนให้ “ใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้” .. (หรือ ไม่พยามเอาชนะดัชนี)
เช่น วันนี้ SET + 5% กองทุนดัชนีก็ต้อง +5% หรือ +4.9% หรือ +5.1% โดยประมาณ (ขอให้ได้ใกล้เคียงที่สุด) ..
ถ้าวันนี้ SET -3% กองทุนดัชนีก็ต้อง -3% หรือ -2.9% หรือ -3.1% โดยประมาณ (ขอให้ได้ใกล้เคียงที่สุด)
กองทุนดัชนี ยังแบ่งออกได้อีกหลายประเภท เช่น
- กองทุนดัชนี ที่แบ่งตามหมวดอุตสาหกรรม หรือ แบ่งตามธุรกิจ เช่น พลังงาน , ธนาคาร , อาหาร , สื่อสาร , เป็นต้น
- กองทุนดัชนี ที่แบ่งตามดัชนี หรือ Benchmark ที่กองทุนนั้น ๆ ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียง เช่น SET , SET100 , SET50 , SETHD เป็นต้น
หลายคนคงจะสงสัยว่า .. แล้วกองทุนดัชนีที่ไม่พยามเอาชนะตลาด มันมีดีตรงไหน ?
ผมก็จะตอบว่า “ดีสิ” .. เพราะการลงทุนในกองทุนดัชนี คือ การลงทุนโดยเรามีความเชื่อที่ว่า “ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพ” และ “ราคาหุ้นทุกตัวในตลาด เป็นราคาที่สมเหตุ สมผล”
ถามว่า แล้วราคาหุ้นทุกตัวในตลาด มันสมเหตุ สมผล ตรงไหน .. บางตัวไม่มี MOS .. บางตัว MOS เพียบเลย (แล้วคุณรู้มั๊ยว่า หุ้นตัวไหน มี MOS หรือ ไม่มี MOS .. ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ยังวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น หรือ คำนวณ MOS ไม่เป็น โดยเฉพาะมือใหม่ ซึ่งรวมถึงผมด้วย)
ที่ราคาหุ้นทุกตัวในตลาด มันสมเหตุ สมผล ในตัวมันเอง (ในทางทฤษฎี) ก็เพราะว่า .. ราคาที่คุณเห็นในแต่ละวัน เป็นราคาที่คนทั้งตลาดเห็นเหมือนกัน เพียงแต่คิดไม่เหมือนกัน จึงเกิดการซื้อ-ขาย .. ฉะนั้น ราคาดัชนีที่ขึ้นลงในแต่ละวัน จึงเปรียบเสมือนว่า ทุก ๆ คนเห็นตรงกันว่าราคาหุ้น ณ. ตอนนั้น ควรอยู่ที่ระดับราคาเท่านั้น .. เมื่อสิ้นวัน ถึงจะคำนวณราคาปิดของหุ้นทั้งหมด แล้วออกมาเป็นระดับของดัชนีในแต่ละวัน
ฉะนั้น การลงทุนในกองทุนดัชนี จึงเป็นการลงทุนโดยซื้อหุ้นทั้งตลาดตามดัชนี .. โดยกองทุนดัชนี จะไม่พยามทำตัวเหมือนว่า เลือกหุ้นที่ “ดีที่สุด” หรือ หลีกเลี่ยงหุ้นที่ “แย่ที่สุด” (เพราะในความเป็นจริง ก็ไม่มีใครรู้ เพราะถ้ารู้ ก็รวยกันหมดแล้ว จะมานั่งเลือกหุ้นในเสียเวลาทำไม)
ผมไม่ปฏิเสธ ว่ากองทุนแบบ Active ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนดัชนี .. ผลการดำเนินงานเป็นข้อพิสูจน์ได้ .. แต่คุณจะรู้มั๊ยว่า ในแต่ละปี กองทุนไหนจะสร้างผลตอบแทนสูงสุด หรือ ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ทุก ๆ ปี
ผมเชื่อว่า หลายคนไม่รู้หรอก .. แต่ถึงกระนั้นก็ตาม .. กองทุนแบบ Active ยังคงมีความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ก็คือ “Manager Risk” หรือ ความเสี่ยงของผจก.กองทุน
ผจก.กองทุน จะเก่งขนาดไหนเราไม่รู้หรอก .. เรารู้ว่า ผจก.กองทุน มีเครื่องมือ หรือ ข้อมูลอินไซด์มากมายที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น รวมไปถึงแต่ละกองทุนต่างก็มี ผจก.กองทุนหลายคนรวมหัวกันช่วยกันตัดสินใจ
OK. ในภาพรวม เราอาจจะมองว่า ดูดี .. แต่ในความเป็นจริง .. คุณต้องยอมรับว่า .. ผจก.กองทุน ก็เป็นคนเหมือน ๆ กับเรานั่นแหละ .. มีทั้งอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง .. ที่สำคัญคือ คุณจะรู้มั๊ยว่า ผจก.กองทุนคนไหน ที่บริหารกองทุน โดยบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงส่วนตัว (ไม่มีใครรู้หรอก แต่ผมเชื่อว่ามี แต่จะจับได้รึป่าว ก็เป็นอีกเรื่อง) .. แล้ว ผจก.กองทุน ที่เก่งจริง ๆ หรือ บริหารกองทุนด้วยความโปร่งใสจริง ๆ จะมีมั๊ย .. ตอบเลยว่า “อาจจะ” มี .. แต่น้อยมาก
แล้วคุณจะรู้มั๊ยว่า ผจก.กองทุน คนไหนเก่งที่สุด .. ข้อนี้ คุณก็ไม่มีวันรู้หรอก .. แล้วจะแน่ใจได้ไงว่า ผจก.กองทุน เลือกหุ้นได้อย่างถูกต้อง ถูกเวลา ในทุก ๆ ปี .. อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย
ไหนจะบางกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมแพงมาก .. อย่าลืมนะครับว่า ค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่สร้างความแตกต่างระหว่างกองทุนทั่ว ๆ ไป และ กองทุนดัชนี .. กล่าวคือ “ผลกำไร หรือ ขาดทุน ที่ได้จากกองทุน เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน .. แต่ค่าธรรมเนียมแสนแพงนั้นแน่นอน และ คุณต้องเสียให้กองทุนทุกปี”
จะดีกว่ามั๊ย .. ถ้าเราจะหันมามองกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียม “ต่ำมาก” และการันตีผลตอบแทนในระดับเดียวกับบดัชนีอีกต่างหาก .. ซึ่งในระยะยาวเกิน 10 ปีขึ้นไป (เคยมีการประเมินวิเคราะห์กันออกมาแล้ว) .. กองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์ หรือ ใกล้เคียงกับดัชนี .. โดยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย โดยประมาณ 10-15% ต่อปี (ซึ่งกองทุนดัชนีส่วนใหญ่ ก็สร้างผลตอบแทนชนะดัชนีด้วย แต่อาจจะชนะไม่มาก เพราะต้องสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนีที่สุด)
ถ้าจะให้ผมลองเปรียบเทียบกองทุน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง .. ก็คงจะเปรียบได้กับ .. กองทุน Active เปรียบเสมือนคนที่มีความสามารถในการหารายได้เก่งมาก แต่ก็ใช้เงินเก่งด้วย (แต่จะหาได้มากกว่าใช้รึป่าว ก็เป็นอีกเรื่อง) .. แต่ถ้าเงินได้มาก ๆ บ่อย ๆ และ หาได้มากกว่าที่ใช้ไป ก็รวยเร็วเหมือนกัน
ส่วนกองทุนแบบ Passive หรือ กองทุนดัชนี .. เปรียบเสมือนคนที่มีหารายได้ไม่เก่ง (หรือ มนุษย์เงินเดือน มีรายได้ทางเดียว) .. แต่เน้นเก็บออม ใช้จ่ายอย่างประหยัด จึงทำให้มีเงินเหลือเก็บ .. อันนี้ อาจจะรวยได้เพราะเก็บออมเก่ง แต่รวยช้าหน่อย .. แต่ความเสี่ยงต่ำมาก .. และการันตีว่ามีเงินเก็บแน่นอน เพราะต้นทุนชีวิตต่ำ (เน้นประหยัด เก็บออม)
หรือในโลกของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน .. ในระยะยาวแล้ว .. บริษัทไหนที่สามารถผลิตสินค้า หรือ บริการ โดยที่ตัวเองมี “ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง” .. บริษัทนั้น ก็จะได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว และจะเป็นผู้กำหนดราคาในธุรกิจของตัวเองได้ (เพราะต้นทุนต่ำกว่า จึงสามารถตั้งราคาขายให้ต่ำกว่าคู่แข่งได้)
ทีนี้ .. เรามาดู ข้อดี-ข้อเสีย ของกองทุนดัชนีกันบ้าง ..
ข้อดี
- กองทุนดัชนี เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุดในบรรดากองทุนหุ้น หรือ ถ้าจะมีความเสี่ยง ก็จะเสี่ยงในนระดับเดียวกับดัชนี (เพราะกองทุนซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดฯ และ ลงทุนในสัดส่วนเดียวกับดัชนี)
- กองทุนดัชนี มีค่าใช้จ่าย หรือ ค่าธรรมเนียม “ต่ำมาก” .. ฉะนั้น เมื่อกองทุนมีค่าใช้จ่ายต่ำ เพราะไม่ต้องงจ้าง ผจก.กองทุน หรือ ไม่ต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นของ ผจก.กองทุน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำ และ เก็บค่าธรรมเนียมต่ำมาก หรือ บางกอง ก็แทบจะไม่มีค่าธรรมเนียมเลย .. ฉะนั้น ผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ จึงตกถึงผู้ถือหน่วยลงทุนแบบ “เต็มเม็ด เต็มหน่วย”
- ด้วยความที่กองทุนดัชนี ไม่จำเป็นต้องใช้ ผจก.กองทุน ในการคัดเลือกหุ้น .. ดังนั้น ความเสี่ยงในเรื่องของการคัดเลือกหุ้นให้ถูกตัว หรือ เลือกหุ้นผิดตัว จึงตัดทิ้งไปได้เลย
- กองทุนดัชนี เมื่อไม่มี ผจก.กองทุน ในการซื้อ-ขายหุ้น .. จึงทำให้กองทุนดัชนี สามารถถือหุ้นยาวได้ “ตลอดกาล” (ตราบเท่าที่ตลาดหลักทรัพย์ยังเปิดทำการอยู่ และ กองทุนไม่เจ๊งไปซะก่อน) ฉะนั้น ถ้าใครอยากถือหุ้นยาว ๆ หรือ ลงทุนระยะยาว .. กองทุนดัชนี เป็นทางเลือกที่ดีมากครับ .. และ กองทุนดัชนี จะมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตน้อยมาก (คือ เปลี่ยนพอร์ตตามดัชนี ทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี)
ข้อเสีย
- กองทุนดัชนี จำเป็นจะต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา .. ถ้าคุณสังเกตให้ดีจะพบว่า ในภาวะตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น หรือ กระทิงแบบสุด ๆ กองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก .. แต่ในเวลาตลาดเป็นขาลง หรือ หมีแบบสุด กองทุนดัชนี ก็จำเป็นจะต้องถือหุ้นตลอดเวลาด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผลตอบแทนลดลงตามดัชนี ข้อเสียจริง ๆ ก็คือ กองทุนดัชนี ไม่สามารถลดทอน หรือ ขายหุ้นออกจากพอร์ตได้หมด หรือ เก็บเงินสดไว้ในตลาดขาลง (ซึ่ง กองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไปแบบ Active จะได้เปรียบตรงจุดนี้ ในการปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด)
- กองทุนดัชนี มีเป้าหมายเพื่อ “สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี” เท่านั้น .. ฉะนั้น ผู้ลงทุนจึงไม่สามารถคาดหวังถึงการเอาชนะตลาดได้
กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับใคร ?
- กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับ ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว
- กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับ ผู้ลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทน และ รับความเสี่ยงในระดับเดียวกับดัชนีได้ (สูง-ต่ำ กว่าดัชนีเล็กน้อย)
- กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่มีความรู้ในการวิเคราะห์ หรือ คัดเลือกหุ้นรายตัว หรือ ไม่ไว้ใจฝีมือในการคัดเลือกหุ้นของ ผจก.กองทุน
- กองทุนดัชนี (โดยส่วนใหญ่) เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม พลังงาน และ ธนาคารพาณิชย์ (เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์บ้านเรา มีสัดส่วนของหุ้นกลุ่ม พลังงาน และ ธนาคารพาณิชย์ มากที่สุด) .. แต่บางคน อาจจะมองว่าเป็นข้อเสียซะมากกว่า
ทีนี้ หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ คงมีคำถามสำคัญ ที่หลาย ๆ คนคงสงสัย และ อยากจะถามผมว่า .. ตกลงว่า กองทุนดัชนี กองไหนในบ้านเรา “ดีที่สุด” (ผมเข้าใจครับ .. ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอ ผมก็เป็น)
ผมก็จะบอกว่า ถ้าในความคิดของผมนะ (ส่วนตัวนะ) .. กองทุน TMB50 คือ กองทุนดัชนี “ที่ดีที่สุดในประเทศ” เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2540 .. ซึ่งเป็นปีที่ไม่มีใครอยากจะซื้อหุ้น เพราะเพิ่งจะเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” .. ฉะนั้น ถ้าใครกล้าซื้อกองทุนดัชนี TMB50 ตั้งแต่ตอนนั้น ผมต่อให้ซื้อถัว DCA ทุกเดือนด้วย .. ลองมาดู ราคา NAV ตอนนี้สิครับปาเข้าไป 80 กว่าบาท .. ย้อนหลัง 10 ปีผ่านไป .. ผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยแล้วสูงถึงเกือบ 20% ต่อปี (ข้อมูลจากเว็บไซต์ Morningstarthailand.com)
กองทุนดัชนี | Index Fund | Passive Fund .. "กองทุนที่ถูกลืม"
- ทำไมเก็บค่าธรรมเนียมแพงจัง (จะกำไร หรือ ขาดทุน ลูกค้าก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะจ้างเค้าบริหาร)
- ทำไมต้องเลือกหุ้นตัวนี้ .. ทำไมต้องปรับหุ้นตัวนี้ออก
- ทำไมต้องซื้อ-ขายหุ้นบ่อย ๆ
- ทำไมพอร์ตกองทุน 5 อันดับแรก เปลี่ยนหุ้นแทบทุกเดือน (ไม่คิดจะถือยาว ๆ บ้างหรือไง)
- ทำไมวันนี้ ตลาดหุ้นบวก .. แต่กองทุนเราติดลบ
- ผจก.กองทุน จะถือกองทุนที่ตัวเองบริหารอยู่บ้างมั๊ยนะ
- ผจก.กองทุน เค้าก็อาจจะคิดว่า บริหารแล้วได้กำไร ก็ดี .. ขาดทุน ก็ช่างแม่ม (เพราะเป็นเงินของลูกค้า ไม่ใช่เงินของ ผจก.กองทุน)
นี่คือห้วงความคิดเล็ก ๆ ของผม เมื่อตอนซื้อกองทุน และ อาจจะมีหลายคน คิดคล้าย ๆ กับผม .. แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเรายังไม่มีความรู้มากพอ ที่จะลงทุนซื้อหุ้นด้วยตัวเอง
เอาล่ะ .. จบเรื่องความคิดไร้สาระบ้า ๆ ไปซะ (แล้วจะพิมพ์มาทำไมเนี่ย) .. แล้วไปทำความรู้จักกับกองทุนดัชนีกันดีกว่าครับ
ปัจจุบัน อุตสาหกรรม “กองทุนรวมหุ้น” .. ถูกแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. กองทุนรวมหุ้น แบบ Active (คือ กองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไปที่เรา ๆ ชอบซื้อ-ขาย กันปกตินี่แหละ .. กว่า 90% ของกองทุนรวมหุ้นทั้งระบบ จะเป็นกองทุนรวมหุ้น ที่มีการบริหารจัดการโดย ผจก.กองทุน ถือเป็นกองทุนแบบ Active)
2. กองทุนรวมหุ้น แบบ Passive (คือ กองทุนหุ้น ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ผจก.กองทุน ในการบริหารจัดการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นกองทุนดัชนี หรือ Index Fund)
แต่วันนี้ ผมจะมาพูดถึงแต่กองทุนดัชนีเท่านั้น (เพราะ กองทุนหุ้นแบบ Active ทั่ว ๆ ไป หลาย ๆ คนก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว)
ถ้าถามผมว่า ทำไมต้องกองทุนดัชนี .. มันน่าสนใจตรงไหน ถึงต้องเอามาเป็นประเด็นในการตั้งกระทู้
ผมก็จะบอกว่า .. มันน่าสนใจ ก็เพราะ .. มันเป็น “กองทุนที่ถูกลืม” นี่แหละครับ .. เพราะไม่มีคนสนใจ , ไม่ค่อยมีคนซื้อ , ไม่ค่อยมีคนพูดถึง .. ผมถึงอยากเอากองทุนดัชนีมาเป็นประเด็นทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกัน (นักลงทุนเก่า ๆ เก่ง ๆ หรือ เซียนกองทุน ก็อ่านข้าม ๆ หรือ ปิดกระทู้ไปได้เลยนะครับ)
เอ่อ .. เราเกริ่นกันมาเยอะแล้ว .. ผมว่า เรามาเริ่มทำความรู้จัก กองทุนดัชนี กันเลยดีกว่า
เอาสั้น ๆ ง่าย ๆ เลยนะ .. กองทุนดัชนี หรือ Index Fund .. คือ กองทุนรวมหุ้น ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนสร้างผลตอบแทนให้ “ใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้” .. (หรือ ไม่พยามเอาชนะดัชนี)
เช่น วันนี้ SET + 5% กองทุนดัชนีก็ต้อง +5% หรือ +4.9% หรือ +5.1% โดยประมาณ (ขอให้ได้ใกล้เคียงที่สุด) ..
ถ้าวันนี้ SET -3% กองทุนดัชนีก็ต้อง -3% หรือ -2.9% หรือ -3.1% โดยประมาณ (ขอให้ได้ใกล้เคียงที่สุด)
กองทุนดัชนี ยังแบ่งออกได้อีกหลายประเภท เช่น
- กองทุนดัชนี ที่แบ่งตามหมวดอุตสาหกรรม หรือ แบ่งตามธุรกิจ เช่น พลังงาน , ธนาคาร , อาหาร , สื่อสาร , เป็นต้น
- กองทุนดัชนี ที่แบ่งตามดัชนี หรือ Benchmark ที่กองทุนนั้น ๆ ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียง เช่น SET , SET100 , SET50 , SETHD เป็นต้น
หลายคนคงจะสงสัยว่า .. แล้วกองทุนดัชนีที่ไม่พยามเอาชนะตลาด มันมีดีตรงไหน ?
ผมก็จะตอบว่า “ดีสิ” .. เพราะการลงทุนในกองทุนดัชนี คือ การลงทุนโดยเรามีความเชื่อที่ว่า “ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพ” และ “ราคาหุ้นทุกตัวในตลาด เป็นราคาที่สมเหตุ สมผล”
ถามว่า แล้วราคาหุ้นทุกตัวในตลาด มันสมเหตุ สมผล ตรงไหน .. บางตัวไม่มี MOS .. บางตัว MOS เพียบเลย (แล้วคุณรู้มั๊ยว่า หุ้นตัวไหน มี MOS หรือ ไม่มี MOS .. ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ยังวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น หรือ คำนวณ MOS ไม่เป็น โดยเฉพาะมือใหม่ ซึ่งรวมถึงผมด้วย)
ที่ราคาหุ้นทุกตัวในตลาด มันสมเหตุ สมผล ในตัวมันเอง (ในทางทฤษฎี) ก็เพราะว่า .. ราคาที่คุณเห็นในแต่ละวัน เป็นราคาที่คนทั้งตลาดเห็นเหมือนกัน เพียงแต่คิดไม่เหมือนกัน จึงเกิดการซื้อ-ขาย .. ฉะนั้น ราคาดัชนีที่ขึ้นลงในแต่ละวัน จึงเปรียบเสมือนว่า ทุก ๆ คนเห็นตรงกันว่าราคาหุ้น ณ. ตอนนั้น ควรอยู่ที่ระดับราคาเท่านั้น .. เมื่อสิ้นวัน ถึงจะคำนวณราคาปิดของหุ้นทั้งหมด แล้วออกมาเป็นระดับของดัชนีในแต่ละวัน
ฉะนั้น การลงทุนในกองทุนดัชนี จึงเป็นการลงทุนโดยซื้อหุ้นทั้งตลาดตามดัชนี .. โดยกองทุนดัชนี จะไม่พยามทำตัวเหมือนว่า เลือกหุ้นที่ “ดีที่สุด” หรือ หลีกเลี่ยงหุ้นที่ “แย่ที่สุด” (เพราะในความเป็นจริง ก็ไม่มีใครรู้ เพราะถ้ารู้ ก็รวยกันหมดแล้ว จะมานั่งเลือกหุ้นในเสียเวลาทำไม)
ผมไม่ปฏิเสธ ว่ากองทุนแบบ Active ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนดัชนี .. ผลการดำเนินงานเป็นข้อพิสูจน์ได้ .. แต่คุณจะรู้มั๊ยว่า ในแต่ละปี กองทุนไหนจะสร้างผลตอบแทนสูงสุด หรือ ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ทุก ๆ ปี
ผมเชื่อว่า หลายคนไม่รู้หรอก .. แต่ถึงกระนั้นก็ตาม .. กองทุนแบบ Active ยังคงมีความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ก็คือ “Manager Risk” หรือ ความเสี่ยงของผจก.กองทุน
ผจก.กองทุน จะเก่งขนาดไหนเราไม่รู้หรอก .. เรารู้ว่า ผจก.กองทุน มีเครื่องมือ หรือ ข้อมูลอินไซด์มากมายที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น รวมไปถึงแต่ละกองทุนต่างก็มี ผจก.กองทุนหลายคนรวมหัวกันช่วยกันตัดสินใจ
OK. ในภาพรวม เราอาจจะมองว่า ดูดี .. แต่ในความเป็นจริง .. คุณต้องยอมรับว่า .. ผจก.กองทุน ก็เป็นคนเหมือน ๆ กับเรานั่นแหละ .. มีทั้งอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง .. ที่สำคัญคือ คุณจะรู้มั๊ยว่า ผจก.กองทุนคนไหน ที่บริหารกองทุน โดยบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงส่วนตัว (ไม่มีใครรู้หรอก แต่ผมเชื่อว่ามี แต่จะจับได้รึป่าว ก็เป็นอีกเรื่อง) .. แล้ว ผจก.กองทุน ที่เก่งจริง ๆ หรือ บริหารกองทุนด้วยความโปร่งใสจริง ๆ จะมีมั๊ย .. ตอบเลยว่า “อาจจะ” มี .. แต่น้อยมาก
แล้วคุณจะรู้มั๊ยว่า ผจก.กองทุน คนไหนเก่งที่สุด .. ข้อนี้ คุณก็ไม่มีวันรู้หรอก .. แล้วจะแน่ใจได้ไงว่า ผจก.กองทุน เลือกหุ้นได้อย่างถูกต้อง ถูกเวลา ในทุก ๆ ปี .. อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย
ไหนจะบางกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมแพงมาก .. อย่าลืมนะครับว่า ค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่สร้างความแตกต่างระหว่างกองทุนทั่ว ๆ ไป และ กองทุนดัชนี .. กล่าวคือ “ผลกำไร หรือ ขาดทุน ที่ได้จากกองทุน เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน .. แต่ค่าธรรมเนียมแสนแพงนั้นแน่นอน และ คุณต้องเสียให้กองทุนทุกปี”
จะดีกว่ามั๊ย .. ถ้าเราจะหันมามองกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียม “ต่ำมาก” และการันตีผลตอบแทนในระดับเดียวกับบดัชนีอีกต่างหาก .. ซึ่งในระยะยาวเกิน 10 ปีขึ้นไป (เคยมีการประเมินวิเคราะห์กันออกมาแล้ว) .. กองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์ หรือ ใกล้เคียงกับดัชนี .. โดยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย โดยประมาณ 10-15% ต่อปี (ซึ่งกองทุนดัชนีส่วนใหญ่ ก็สร้างผลตอบแทนชนะดัชนีด้วย แต่อาจจะชนะไม่มาก เพราะต้องสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนีที่สุด)
ถ้าจะให้ผมลองเปรียบเทียบกองทุน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง .. ก็คงจะเปรียบได้กับ .. กองทุน Active เปรียบเสมือนคนที่มีความสามารถในการหารายได้เก่งมาก แต่ก็ใช้เงินเก่งด้วย (แต่จะหาได้มากกว่าใช้รึป่าว ก็เป็นอีกเรื่อง) .. แต่ถ้าเงินได้มาก ๆ บ่อย ๆ และ หาได้มากกว่าที่ใช้ไป ก็รวยเร็วเหมือนกัน
ส่วนกองทุนแบบ Passive หรือ กองทุนดัชนี .. เปรียบเสมือนคนที่มีหารายได้ไม่เก่ง (หรือ มนุษย์เงินเดือน มีรายได้ทางเดียว) .. แต่เน้นเก็บออม ใช้จ่ายอย่างประหยัด จึงทำให้มีเงินเหลือเก็บ .. อันนี้ อาจจะรวยได้เพราะเก็บออมเก่ง แต่รวยช้าหน่อย .. แต่ความเสี่ยงต่ำมาก .. และการันตีว่ามีเงินเก็บแน่นอน เพราะต้นทุนชีวิตต่ำ (เน้นประหยัด เก็บออม)
หรือในโลกของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน .. ในระยะยาวแล้ว .. บริษัทไหนที่สามารถผลิตสินค้า หรือ บริการ โดยที่ตัวเองมี “ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง” .. บริษัทนั้น ก็จะได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว และจะเป็นผู้กำหนดราคาในธุรกิจของตัวเองได้ (เพราะต้นทุนต่ำกว่า จึงสามารถตั้งราคาขายให้ต่ำกว่าคู่แข่งได้)
ทีนี้ .. เรามาดู ข้อดี-ข้อเสีย ของกองทุนดัชนีกันบ้าง ..
ข้อดี
- กองทุนดัชนี เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุดในบรรดากองทุนหุ้น หรือ ถ้าจะมีความเสี่ยง ก็จะเสี่ยงในนระดับเดียวกับดัชนี (เพราะกองทุนซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดฯ และ ลงทุนในสัดส่วนเดียวกับดัชนี)
- กองทุนดัชนี มีค่าใช้จ่าย หรือ ค่าธรรมเนียม “ต่ำมาก” .. ฉะนั้น เมื่อกองทุนมีค่าใช้จ่ายต่ำ เพราะไม่ต้องงจ้าง ผจก.กองทุน หรือ ไม่ต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นของ ผจก.กองทุน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำ และ เก็บค่าธรรมเนียมต่ำมาก หรือ บางกอง ก็แทบจะไม่มีค่าธรรมเนียมเลย .. ฉะนั้น ผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ จึงตกถึงผู้ถือหน่วยลงทุนแบบ “เต็มเม็ด เต็มหน่วย”
- ด้วยความที่กองทุนดัชนี ไม่จำเป็นต้องใช้ ผจก.กองทุน ในการคัดเลือกหุ้น .. ดังนั้น ความเสี่ยงในเรื่องของการคัดเลือกหุ้นให้ถูกตัว หรือ เลือกหุ้นผิดตัว จึงตัดทิ้งไปได้เลย
- กองทุนดัชนี เมื่อไม่มี ผจก.กองทุน ในการซื้อ-ขายหุ้น .. จึงทำให้กองทุนดัชนี สามารถถือหุ้นยาวได้ “ตลอดกาล” (ตราบเท่าที่ตลาดหลักทรัพย์ยังเปิดทำการอยู่ และ กองทุนไม่เจ๊งไปซะก่อน) ฉะนั้น ถ้าใครอยากถือหุ้นยาว ๆ หรือ ลงทุนระยะยาว .. กองทุนดัชนี เป็นทางเลือกที่ดีมากครับ .. และ กองทุนดัชนี จะมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตน้อยมาก (คือ เปลี่ยนพอร์ตตามดัชนี ทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี)
ข้อเสีย
- กองทุนดัชนี จำเป็นจะต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา .. ถ้าคุณสังเกตให้ดีจะพบว่า ในภาวะตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น หรือ กระทิงแบบสุด ๆ กองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก .. แต่ในเวลาตลาดเป็นขาลง หรือ หมีแบบสุด กองทุนดัชนี ก็จำเป็นจะต้องถือหุ้นตลอดเวลาด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผลตอบแทนลดลงตามดัชนี ข้อเสียจริง ๆ ก็คือ กองทุนดัชนี ไม่สามารถลดทอน หรือ ขายหุ้นออกจากพอร์ตได้หมด หรือ เก็บเงินสดไว้ในตลาดขาลง (ซึ่ง กองทุนหุ้นทั่ว ๆ ไปแบบ Active จะได้เปรียบตรงจุดนี้ ในการปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด)
- กองทุนดัชนี มีเป้าหมายเพื่อ “สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี” เท่านั้น .. ฉะนั้น ผู้ลงทุนจึงไม่สามารถคาดหวังถึงการเอาชนะตลาดได้
กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับใคร ?
- กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับ ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว
- กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับ ผู้ลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทน และ รับความเสี่ยงในระดับเดียวกับดัชนีได้ (สูง-ต่ำ กว่าดัชนีเล็กน้อย)
- กองทุนดัชนี เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่มีความรู้ในการวิเคราะห์ หรือ คัดเลือกหุ้นรายตัว หรือ ไม่ไว้ใจฝีมือในการคัดเลือกหุ้นของ ผจก.กองทุน
- กองทุนดัชนี (โดยส่วนใหญ่) เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม พลังงาน และ ธนาคารพาณิชย์ (เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์บ้านเรา มีสัดส่วนของหุ้นกลุ่ม พลังงาน และ ธนาคารพาณิชย์ มากที่สุด) .. แต่บางคน อาจจะมองว่าเป็นข้อเสียซะมากกว่า
ทีนี้ หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ คงมีคำถามสำคัญ ที่หลาย ๆ คนคงสงสัย และ อยากจะถามผมว่า .. ตกลงว่า กองทุนดัชนี กองไหนในบ้านเรา “ดีที่สุด” (ผมเข้าใจครับ .. ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอ ผมก็เป็น)
ผมก็จะบอกว่า ถ้าในความคิดของผมนะ (ส่วนตัวนะ) .. กองทุน TMB50 คือ กองทุนดัชนี “ที่ดีที่สุดในประเทศ” เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2540 .. ซึ่งเป็นปีที่ไม่มีใครอยากจะซื้อหุ้น เพราะเพิ่งจะเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” .. ฉะนั้น ถ้าใครกล้าซื้อกองทุนดัชนี TMB50 ตั้งแต่ตอนนั้น ผมต่อให้ซื้อถัว DCA ทุกเดือนด้วย .. ลองมาดู ราคา NAV ตอนนี้สิครับปาเข้าไป 80 กว่าบาท .. ย้อนหลัง 10 ปีผ่านไป .. ผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยแล้วสูงถึงเกือบ 20% ต่อปี (ข้อมูลจากเว็บไซต์ Morningstarthailand.com)