จะว่าไปแล้ว เพลงญี่ปุ่นเกี่ยวกับซากุระ/ฤดูใบไม้ผลิ นั้นมีเยอะจนสามารถแยกไปตั้งเป็นกลุ่มเฉพาะได้เลยทีเดียว
สำหรับผมเองนั้น ก็มีเพลงแนวซากุระ/ฤดูใบไม้ผลิ ที่ชื่นชอบอยู่หลายเพลงทีเดียว
แต่เพลงที่นับได้ว่าเป็นที่หนึ่งในใจ ก็คือ Hana ของ ชินจิ ทานิมูระ ครับ สาเหตุที่ชอบมีอยู่หลายประการทีเดียว
(ต่อไปนี้เป็นการเวิ่นเว้อส่วนตัวครับ อ่านข้ามเลยก็ได้)
โดยส่วนตัว ผมรู้จักเพลงนี้เป็นครั้งแรกขณะที่กำลังเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่ญี่ปุ่นมาได้ครึ่งปีพอดี
ช่วงนั้น เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวที่โทโฮคุและวิกฤติฟุคุชิม่า มาเพียง 1-2 สัปดาห์ได้
เป็นช่วงปลายหนาว ต้นใบไม้ผลิพอดี ถ้าจำไม่ผิดดอกบ๊วย (อุเมะ) เริ่มบานแ้ล้ว
เนื่องจากผมเองอยู่ที่โอซาก้า ผมไม่ห่วงว่าจะได้รับผลกระทบอะไร แต่ก็ยังเครียดอยู่
เพราะหลังจากที่อยู่มาได้สักพักใหญ่ ก็รู้สึกผูกพันกับผู้คนและบ้านเมืองไม่น้อย ตอนนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ประเทศนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
เพราะจากข่าวในตอนนั้น อะไรๆมาดูใหญ่หลวงเหลือเกิน
ระหว่างที่ติดตามข่าวอยู่นั้น ก็ไปเจอคลิปเพลง "ดอกไม้ของน้ำใจ" ของวงสาว สาว สาว ที่รายการเรื่องเล่าเช้านี้เอามาเปิดให้กำลังใจญี่ปุ่น
ก็รู้สึกว่าเพลงนี้เพราะดี และให้กำลังใจ แต่ก็สังเกตเห็นว่าเพลงมีเนื้อญี่ปุ่นด้วย พอค้นข้อมูลเข้าก็พบว่า เป็นเพลงที่แปลงมาจากเพลงญี่ปุ่นของ ชินจิ ทานิมูระ ซึ่งเป็นคนเดียวกันที่ร้องเพลงคลาสสิกอย่าง ซูบารุ
พอยิ่งมาฟังฉบับออริจินัลแล้ว ก็ยิ่งหลงรักเพลงนี้ขึ้นไปใหญ่ และมีพลังใจมากขึ้น
ในช่วงเดียวกัน ผมเองก็เดินทางไปพบปะผู้คนที่รู้จักแถวบ้านและมหาวิทยาลัยพักๆ เพื่อไม่ให้ใจฟุ้งซ่าน
พอได้เห็นความใจเย็น และความพยายามกันอย่างแข็งขันที่จะทำสิ่งที่ตัวเองทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
ผมก็เริ่มตระหนักว่า "ขนาดที่นี่เป็นบ้านของพวกเขาแท้ๆ ยังรักษาใจไว้ได้ เราเป็นแค่ผู้มาเยือน ไม่ร้อนใจเกินไปหรือ"
(ตอนหนึ่ง ผมไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ เห็นกระปุกบริจาคเงินเพื่อชาวโตโฮคุที่ข้างแคชเชียร์จึงเอาเงินทอนไปหยอด ปรากฎว่าคุณคนขายโค้งให้ ) สภาวะจิตใจเลยดีขึ้นจนกลับมาเป็นปกติ
แต่ถึงแม้จะไม่เอาเรื่องสถานการณ์ตัวมาพิจารณา ผมว่าเพลงนี้ก็ยังมีความพิเศษเป็นของตัวเอง
ถ้าลองฟังทำนองดูแล้ว จะรู้สึกได้เลยว่ามันได้อารมณ์ของฤดูใบไม้ผลิจริงๆ
เพราะมีทั้งอารมณ์ความเงียบเหงา ความสดชื่น และความหวังที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่นเองก็เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นช่วงที่ธรรมชาติกำลังเปลี่ยนผ่านจากความเงียบเหงาแห่งฤดูหนาว เข้าสู่ความสดชื่น อีกทั้งยังเป็นช่วงที่สิ่งใหม่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น เพราะโรงเรียน/มหาวิทยาลัยก็จะเริ่มเปิดเทอม พนักงานบริษัทเข้าใหม่ก็เริ่มทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ฤดูใบไม้ผลิ ก็เป็นช่วงแห่งการลาจาก เพราะโรงเรียนและมหาวิทยาลัยก็จะจัดพิธีสำเร็จการศึกษาในช่วงนี้ เพื่อนๆที่รู้จักกันมาเป็นปีๆ ก็ต่างต้องแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของตน
ถึงแม้ตอนที่ฟังเพลงนี้เมื่อสองปีก่อน ผมจะไม่เข้าใจเนื้อเพลงนัก แต่ท่วงทำนองอย่างเดียวก็สามารถสะท้อนอารมณ์ข้างต้นได้ครบถ้วน
พอได้ทีโอกาสอ่านคำแปลของเพลงในภายหลัง เนื้อเพลงไม่เพียงแต่สะท้อนอารมณ์ของฤดูใบไม้ผลิออกมาเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นมุมมองทางปรัชญาที่คนญี่ปุ่นมีต่อดอกซากุระ ซึ่งจัดเป็น “นางเอก” ของช่วงเวลานี้ด้วย
ซึ่งนั่นจะแตกต่างไปจากฉบับภาษาไทย ที่จะสะท้อนว่ามิตรภาพที่หยิบยื่นมาให้เพื่อนในยามยากนั้น เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ
ทั้งนี้ ดังที่จะเห็นได้จากท่อนเพลงที่ว่า
永遠に 散ることない 花を
人は 愛してくれるでしょうか
やさしい雨に打たれて 落ちる
儚さ故 人は 愛するのでしょう
towani chiru kotono nai hanao
hitowa aishite kureru deshooka
yasashii ameni utarete ochiru
hakanasayue hitowa aisuru no deshioo
( อะไรกันที่ทำให้ดอกไม้เป็นที่รักในใจคน
สิ่งนั้นคือความสามารถที่จะบานไปตลอดกาลโดยไม่เหี่ยวเฉาใช่ไหม
หรือสิ่งที่ทำให้ดอกไม้เป็นที่รักนั้น
มาจากความเปราะบาง ที่ร่วงโรยได้แม้เจอฝนพรำกันแน่ )
ในความเป็นจริง ดอกซากุระนั้นจะสวยงาม แต่ก็เปราะบางนัก หากเจอลงฝนกระหน่ำ ก็จะร่วงโรยรา
ยอดนักเขียนนิยายจีนกำลังภายในอย่างท่านโกวเล้ง ยังเคยเขียนตำหนิเรื่องนี้ในนิยายชอลิ้วเฮียงตอนหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนตำนานกระบี่หยก) ด้วยทำนองว่า ดอกเหมยของจีนนั้นน่าชื่นชมกว่าซากระญี่ปุ่น เพราะซากุระเพียงเตอฝนก็ร่วงโรยแล้ว ส่วนดอกเหมย ยิ่งเจออากาศหนาวก็ยิ่งงดงาม
ที่จริงทัศนคติของจีนดังกล่าว ก็ไม่ผิดนัก แต่ชาวญี่ปุ่นจะมองด้วยมุมที่ต่างกันออกไปว่า ความเปราะบางนี่ล่ะ ที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ และพยายามทะนุถนอมมันให้ดีที่สุด ซึ่งชีวิตของคนญี่ปุ่นนั้นก็คล้ายคลึงกัน ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงมหันตภัยธรรมชาติ มากๆแห่งหนึ่งบนโลก และภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ก็จะตามมาอีกในอนาคตอันไม่ไกลนัก (มีความเป็นไปได้สูงมากที่ โตเกียวจะเจอแผ่นดินไหวใหญ่ภายในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้า) แต่ชีวิตพวกเขาก็คงเดินหน้าต่อไป โดยยังพยายามทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุด สิ่งนี้อาจสะท้อนให้เห็นได้จากท่อนฮุคของเพลงที่ว่า
花は花よ ひたすら咲く 花は花よ ひたすらに舞う
花は花よ ひたすら咲く 花は花よ ひたすらに散る
hanawa hanayo hitasurasaku
hanawa hanayo hitasurani mau
hanawa hanayo hitasurasaku
hanawa hanayo hitasurani shiru
(ดอกไม้ก็คือดอกไม้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่แย้มบาน ถูกลมโชยโบกไสว หรือร่วงโรยรา ก็เต็มที่ไปตามวิถีของมัน)
ทิ้งท้ายด้วยฉบับภาษาไทยครับ
ขณะซากุระกำลังแย้มบานที่ญี่ปุ่น เรามา post เพลงโปรดเกี่ยวกับ "ซากุระ/ ฤดูใบไม้ผลิ" กันเถอะ
สำหรับผมเองนั้น ก็มีเพลงแนวซากุระ/ฤดูใบไม้ผลิ ที่ชื่นชอบอยู่หลายเพลงทีเดียว
แต่เพลงที่นับได้ว่าเป็นที่หนึ่งในใจ ก็คือ Hana ของ ชินจิ ทานิมูระ ครับ สาเหตุที่ชอบมีอยู่หลายประการทีเดียว
(ต่อไปนี้เป็นการเวิ่นเว้อส่วนตัวครับ อ่านข้ามเลยก็ได้)
โดยส่วนตัว ผมรู้จักเพลงนี้เป็นครั้งแรกขณะที่กำลังเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่ญี่ปุ่นมาได้ครึ่งปีพอดี
ช่วงนั้น เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวที่โทโฮคุและวิกฤติฟุคุชิม่า มาเพียง 1-2 สัปดาห์ได้
เป็นช่วงปลายหนาว ต้นใบไม้ผลิพอดี ถ้าจำไม่ผิดดอกบ๊วย (อุเมะ) เริ่มบานแ้ล้ว
เนื่องจากผมเองอยู่ที่โอซาก้า ผมไม่ห่วงว่าจะได้รับผลกระทบอะไร แต่ก็ยังเครียดอยู่
เพราะหลังจากที่อยู่มาได้สักพักใหญ่ ก็รู้สึกผูกพันกับผู้คนและบ้านเมืองไม่น้อย ตอนนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ประเทศนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
เพราะจากข่าวในตอนนั้น อะไรๆมาดูใหญ่หลวงเหลือเกิน
ระหว่างที่ติดตามข่าวอยู่นั้น ก็ไปเจอคลิปเพลง "ดอกไม้ของน้ำใจ" ของวงสาว สาว สาว ที่รายการเรื่องเล่าเช้านี้เอามาเปิดให้กำลังใจญี่ปุ่น
ก็รู้สึกว่าเพลงนี้เพราะดี และให้กำลังใจ แต่ก็สังเกตเห็นว่าเพลงมีเนื้อญี่ปุ่นด้วย พอค้นข้อมูลเข้าก็พบว่า เป็นเพลงที่แปลงมาจากเพลงญี่ปุ่นของ ชินจิ ทานิมูระ ซึ่งเป็นคนเดียวกันที่ร้องเพลงคลาสสิกอย่าง ซูบารุ
พอยิ่งมาฟังฉบับออริจินัลแล้ว ก็ยิ่งหลงรักเพลงนี้ขึ้นไปใหญ่ และมีพลังใจมากขึ้น
ในช่วงเดียวกัน ผมเองก็เดินทางไปพบปะผู้คนที่รู้จักแถวบ้านและมหาวิทยาลัยพักๆ เพื่อไม่ให้ใจฟุ้งซ่าน
พอได้เห็นความใจเย็น และความพยายามกันอย่างแข็งขันที่จะทำสิ่งที่ตัวเองทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
ผมก็เริ่มตระหนักว่า "ขนาดที่นี่เป็นบ้านของพวกเขาแท้ๆ ยังรักษาใจไว้ได้ เราเป็นแค่ผู้มาเยือน ไม่ร้อนใจเกินไปหรือ"
(ตอนหนึ่ง ผมไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ เห็นกระปุกบริจาคเงินเพื่อชาวโตโฮคุที่ข้างแคชเชียร์จึงเอาเงินทอนไปหยอด ปรากฎว่าคุณคนขายโค้งให้ ) สภาวะจิตใจเลยดีขึ้นจนกลับมาเป็นปกติ
แต่ถึงแม้จะไม่เอาเรื่องสถานการณ์ตัวมาพิจารณา ผมว่าเพลงนี้ก็ยังมีความพิเศษเป็นของตัวเอง
ถ้าลองฟังทำนองดูแล้ว จะรู้สึกได้เลยว่ามันได้อารมณ์ของฤดูใบไม้ผลิจริงๆ
เพราะมีทั้งอารมณ์ความเงียบเหงา ความสดชื่น และความหวังที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่นเองก็เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นช่วงที่ธรรมชาติกำลังเปลี่ยนผ่านจากความเงียบเหงาแห่งฤดูหนาว เข้าสู่ความสดชื่น อีกทั้งยังเป็นช่วงที่สิ่งใหม่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น เพราะโรงเรียน/มหาวิทยาลัยก็จะเริ่มเปิดเทอม พนักงานบริษัทเข้าใหม่ก็เริ่มทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ฤดูใบไม้ผลิ ก็เป็นช่วงแห่งการลาจาก เพราะโรงเรียนและมหาวิทยาลัยก็จะจัดพิธีสำเร็จการศึกษาในช่วงนี้ เพื่อนๆที่รู้จักกันมาเป็นปีๆ ก็ต่างต้องแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของตน
ถึงแม้ตอนที่ฟังเพลงนี้เมื่อสองปีก่อน ผมจะไม่เข้าใจเนื้อเพลงนัก แต่ท่วงทำนองอย่างเดียวก็สามารถสะท้อนอารมณ์ข้างต้นได้ครบถ้วน
พอได้ทีโอกาสอ่านคำแปลของเพลงในภายหลัง เนื้อเพลงไม่เพียงแต่สะท้อนอารมณ์ของฤดูใบไม้ผลิออกมาเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นมุมมองทางปรัชญาที่คนญี่ปุ่นมีต่อดอกซากุระ ซึ่งจัดเป็น “นางเอก” ของช่วงเวลานี้ด้วย
ซึ่งนั่นจะแตกต่างไปจากฉบับภาษาไทย ที่จะสะท้อนว่ามิตรภาพที่หยิบยื่นมาให้เพื่อนในยามยากนั้น เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ
ทั้งนี้ ดังที่จะเห็นได้จากท่อนเพลงที่ว่า
永遠に 散ることない 花を
人は 愛してくれるでしょうか
やさしい雨に打たれて 落ちる
儚さ故 人は 愛するのでしょう
towani chiru kotono nai hanao
hitowa aishite kureru deshooka
yasashii ameni utarete ochiru
hakanasayue hitowa aisuru no deshioo
( อะไรกันที่ทำให้ดอกไม้เป็นที่รักในใจคน
สิ่งนั้นคือความสามารถที่จะบานไปตลอดกาลโดยไม่เหี่ยวเฉาใช่ไหม
หรือสิ่งที่ทำให้ดอกไม้เป็นที่รักนั้น
มาจากความเปราะบาง ที่ร่วงโรยได้แม้เจอฝนพรำกันแน่ )
ในความเป็นจริง ดอกซากุระนั้นจะสวยงาม แต่ก็เปราะบางนัก หากเจอลงฝนกระหน่ำ ก็จะร่วงโรยรา
ยอดนักเขียนนิยายจีนกำลังภายในอย่างท่านโกวเล้ง ยังเคยเขียนตำหนิเรื่องนี้ในนิยายชอลิ้วเฮียงตอนหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนตำนานกระบี่หยก) ด้วยทำนองว่า ดอกเหมยของจีนนั้นน่าชื่นชมกว่าซากระญี่ปุ่น เพราะซากุระเพียงเตอฝนก็ร่วงโรยแล้ว ส่วนดอกเหมย ยิ่งเจออากาศหนาวก็ยิ่งงดงาม
ที่จริงทัศนคติของจีนดังกล่าว ก็ไม่ผิดนัก แต่ชาวญี่ปุ่นจะมองด้วยมุมที่ต่างกันออกไปว่า ความเปราะบางนี่ล่ะ ที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ และพยายามทะนุถนอมมันให้ดีที่สุด ซึ่งชีวิตของคนญี่ปุ่นนั้นก็คล้ายคลึงกัน ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงมหันตภัยธรรมชาติ มากๆแห่งหนึ่งบนโลก และภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ก็จะตามมาอีกในอนาคตอันไม่ไกลนัก (มีความเป็นไปได้สูงมากที่ โตเกียวจะเจอแผ่นดินไหวใหญ่ภายในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้า) แต่ชีวิตพวกเขาก็คงเดินหน้าต่อไป โดยยังพยายามทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุด สิ่งนี้อาจสะท้อนให้เห็นได้จากท่อนฮุคของเพลงที่ว่า
花は花よ ひたすら咲く 花は花よ ひたすらに舞う
花は花よ ひたすら咲く 花は花よ ひたすらに散る
hanawa hanayo hitasurasaku
hanawa hanayo hitasurani mau
hanawa hanayo hitasurasaku
hanawa hanayo hitasurani shiru
(ดอกไม้ก็คือดอกไม้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่แย้มบาน ถูกลมโชยโบกไสว หรือร่วงโรยรา ก็เต็มที่ไปตามวิถีของมัน)
ทิ้งท้ายด้วยฉบับภาษาไทยครับ