ที่มาที่ไป
ผมได้รับคำชวนจาก Admin ท่านหนึ่งของเพจ "เรื่องวิ่งเรื่องกล้วย" ใน Facebook (
www.facebook.com/BananaRunning) นั่นก็คือ คุณกล้วยหอม ให้มาลองใส่รองเท้า Adidas Energy Boost ที่กำลังโหมโฆษณากันตอนนี้ดู เนื่องจากพี่เขาต้องการที่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ Fanpage มีส่วนร่วมในการ Review สินค้าที่ทางผู้ผลิตนำมาให้ลองใช้ และลองกันหลายๆ คนเพื่อให้ดูเป็นกลางมากที่สุด
เกร็ดเล็กน้อย: ตอนที่พี่กล้วยหอมให้รองเท้ามาเลือกใส่นั้น พี่เขาให้มา 3 คู่ สองคู่แรกเป็นแบบลงปลายเท้า ซึ่งไม่เหมาะกับผม ที่วิ่งลงส้น จึงเลือก Boost ที่เหมาะกับคนที่วิ่งลงส้นมาให้ลอง Review
ข้อมูลเบื้องต้นของรองเท้า Boost ที่ได้จากคำบอกเล่า (ไม่ได้อ่านคำโฆษณาในเว็บใดๆ) ซึ่งก็ตรงกับคุณสมบัติที่แท้จริง

(ขอขอบคุณภาพจาก
http://www.runblogger.com/2013/02/adidas-officially-announces-their.html)
- ใช้ผ้า techfit ระบายลมเป็นเลิศ: สัมผัสแรกที่ลองใส่นั้นรู้สึกถึงลมที่ผ่านกระทบหลังเท้า ซึ่งรองเท้าวิ่งที่เคยใช้มาไม่มีคู่ไหนที่ระบายลมได้เป็นเลิศเท่านี้
- สืบเนื่องข้อบนที่รองเท้าใช้ผ้า techfit ทำให้การยืดหยุ่นของรองเท้าดี คนหน้าเท้ากว้างก็ใส่ได้เพราะผ้าจะยืดออก จากประสบการณ์ตรงคือ รองเท้าคู่ที่ใช้ทดสอบนี้เบอร์ 10.5 แต่ปกติผมใส่เบอร์ 9 แต่ก็ใส่ได้ แต่ด้านหน้ามีพื้นที่เหลือบ้าง ด้านข้างรัดเท้ากระชับไม่หลวม ซึ่งตรงนี้จากที่สอบถามบางคนก็ไม่ชอบ (ในกรณีที่ใส่เบอร์พอดีเท้า) เพราะว่ามันรัดไป
- พื้นรองเท้าเป็นแผ่นเดียวกันหมด (ยกเว้นยางรองเท้า) ลดการหลุดลอกของรองเท้า
- พื้นรองเท้าที่ดูคล้ายๆ โฟมเป็นวัสดุพิเศษของ Adidas ที่คล้ายๆ Gel ในยี่ห้ออื่นๆ จากที่คุณกล้วยหอมเข้าไปในงานเปิดตัว เอาดินสอทิ่มไป ปรากฏว่าทิ่มไม่เข้า (สงสัยสักเสือเผ่นคงกระพัน) นอกจากนี้ยังได้ทดสอบการโยนสิ่งของไปกระทบโฟมนี้ ยังมีการเด้งสนองตอบขึ้นมาในระดับสูง เมื่อเทียบกับวัสดุอื่น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลส่วนตัว:
- ผมเป็นนักวิ่งที่วิ่งลงส้นเท้า
- เป็นนักวิ่งแนวหลังค่อนไปทางหน้า (ออกตัวหลังชาวบ้าน แต่วิ่งแซงไปเรื่อยๆ) วิ่ง 10กิโลเมตรที่เวลา 52-54 นาที (เคยวิ่งได้เร็วสุด 48.46 นาที ณ สวนลุมพินี)
- ฮาล์ฟมาราธอนที่เวลา 1:55 ชม. ยังไม่เคยวิ่งมาราธอน
สถิติส่วนตัว
รองเท้าที่ใช้อยู่ Asics Gel Kayano18 (เบอร์ 9) แม้ Kayano ที่ใช้อยู่จะเบอร์เล็กกว่า Boost แต่น้ำหนักกลับมากกว่า Boost เกือบๆ 1 ขีดต่อข้าง ทำให้รู้สึกเบาเวลาใส่วิ่ง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลงสนาม
เนื่องจากผม ได้รองเท้ามาในวันพฤหัสเย็น แต่วันศุกร์ติดธุระและเสาร์เจาะเลือดตรวจร่างกาย (อาจจะส่งผลทำให้อ่อนเพลียบ้าง) ไม่สามารถซ้อมได้ จึงลองใส่ในงานวิ่งจริงเลย ไม่ต้องซ้อม
ชื่องาน : งานเดิน-วิ่ง เพื่อโลกสดใส ของคนสายตาเลือนราง ( Big C )
วัน/เวลา: วันที่ 17 มีนาคม 2556 เวลา 05.45 น.
ระยะทางจริง: ประมาณ 10.80 กิโลเมตร
เส้นทางวิ่ง: เริ่มต้นจาก หน้า Big C ราชดำหริ ตรงไปทางสวนลุมพินี เลี้ยวซ้ายถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จากนั้นเลี้ยวซ้ายจนถึงแยกอโศกเพชรบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายจนถึงแยกราชประสงค์และเลี้ยวซ้ายกลับ Big C ตามแผนที่ด้านล่าง
เนื่องจาก GPS ในวันงาน ติดๆ ดับๆ ทำให้ไม่สามารถวัดระยะเวลาที่แม่นยำได้ ซึ่งขอ copy หน้าจอมาให้ดูดังด้านล่าง (ถ้วยทองทั้งหลายอย่าได้ไปสนใจมันเลยนะครับ เป็นเพราะ GPS ติดๆ ดับๆ ตลอดทาง)
ความรู้สึกในการใส่
ความรู้สึกที่วิ่งนั้น พื้นรองเท้าเด้งดีแต่ก็ไม่ถึงกับสปริงตัวไปด้านหน้าอย่างที่โฆษณา (ตอนนั้นยังไม่ทราบวิธีใช้)
ช่วง 5 กิโลแรก (จากบิ๊กซีถึงแยกศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์) ความเร็วน่าจะอยู่ pace 5.10 (5.10 นาทีต่อกิโลเมตร) ความเหนื่อยถือว่ายังพอรับได้
ช่วง 5 กิโลเมตรหลัง สภาพร่างกายของผมยอมแพ้ให้แก่ควันรถ สภาพอากาศที่ร้อนและการเปิดการจราจรเพื่อระบายรถตามแยกต่างๆ ทำให้วิ่งชลอลงเหลือ Pace 5.40 และนิ่งสนิทถึงกับเดินช่วงใกล้ถึงแยกประตูน้ำก่อนเลี้ยวเข้าบิ๊กซี (ผมไม่เคยเดินในงานวิ่งแข่งมาก่อน แม้จะเป็น Half Marathon ก็ไม่เคยเดิน) ตอนนั้นความปวดร้าวของกล้ามเนื้อขึ้นมาถึงก้น ซึ่งปกติผมไม่เคยวิ่งจนปวดถึงก้นมาก่อน ในระหว่างที่เดินนั้นคุณกล้วยหอม ผู้ที่ให้รองเท้ามาทดสอบ วิ่งมาทันตรงแยกประตูน้ำ แต่ผมเหนื่อยล้าเกินบรรยาย จึงได้แต่ผายมือให้วิ่งไปก่อน แต่คุณกล้วยหอมรอ ผมจึงกัดฟันเฮือกสุดท้ายวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกัน

ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก โปรรุตน์
www.shutterrunning.com
**ผมเป็นนักวิ่ง Green Runner คือถือเมื่อถึงจุดให้น้ำ จะนำน้ำจากแก้วพลาสติกรินใส่แก้วซิลิโคนส่วนตัว จากนั้นก็วางแก้วพลาสติกไว้ที่เดิมเพื่อให้ทางผู้จัดงานได้รินน้ำให้ผู้อื่นดื่มต่อไป เพื่อรณรงค์ลดโลกร้อน**
รายละเอียด Green Runner:
www.facebook.com/photo.php?fbid=497663343610028
www.facebook.com/photo.php?fbid=489751964401166
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทดสอบในการซ้อม
หลังจากพัก 1 วันจากงานวิ่ง (เนื่องจากระบม) มาทดสอบ Boost ในวันอังคาร ณ รอบพระราชวังสวนจิตรลดา การทดสอบนี้ไม่สามารถวัดอะไรได้เลยเนื่องจากผมเองยังเหนื่อยล้า วิ่งได้แค่ 4 กิโลเมตรก็หมดแรง (ตอนแรกคิดว่าเป็นที่รองเท้า แต่วันต่อมาใส่ Kayano ก็ยังวิ่งได้แค่ 5 กิโล ดังนั้นจึงเลิกคิดที่จะโทษรองเท้า มาโทษแก๊สโซฮลล์ เอ้ย โทษตัวเองดีกว่า)
หลังจากทำร่างกายตัวเองให้ฟิตอีกครั้ง ในวันเสาร์ (ซ้อมก่อนวิ่งงาน MITSUBISHI) ได้ลองใส่ Boost ไปวิ่ง ณ สวนรมณีนาถ ประมาณ 5 กิโลเมตร คราวนี้สถิติดีขึ้นมาก Pace อยู่ที่ 5.15 นาที แต่ยังคงมีอาการปวดกล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาอยู่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทดสอบ ณ สนามที่สอง
ชื่องาน : BANGKOK MITSUBISHI ELECTRIC RUN FOR HEALTH
วัน/เวลา : มีนาคม 2556 เวลา 6.00 น.
ระยะทางจริง : ประมาณ 11.50 กิโลเมตร
เส้นทางการวิ่ง : สะพานพระราม 8 วิ่งเข้าเส้นบรมราชชนนี กลับตัว ที่ก่อนถึงทางลงตลิ่งชัน
ณ สนามนี้ ผมได้เตรียมใจไว้แล้วว่า มีระยะแถมแน่ๆ คงไม่ใช่ 10 กิโลตามกล่าวอ้าง (มีประสบการณ์จากงาน Thailand Int' Half Marathon)
ช่วงก่อนถึงจุดกลับตัวความเร็วอยู่ที่เกือบ pace 5 (5 นาทีต่อกิโลเมตร) ความเหนื่อยถือว่ายังพอรับได้
ช่วงหลังจากกลับตัว ผมก็ยังคงรักษาความเร็ว pace 5 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งตอนท้ายๆ เริ่มแรงหมด แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีระยะแถมแต่ผมกะว่าจะวิ่งสุดแรงที่ 10 กิโลเมตร ในกิโลสุดท้ายจึงวิ่งแบบเร็ว จึงได้ผลออกมาตามด้านล่าง (งานนี้ GPS ติดตลอด)
**งานนี้ก็ยังคงเป็น Green Runner เช่นเดิมนะครับ**

ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก น้าแพท
www.patrunning.com ครับ
******ปัญหาใหญ่หลวงที่สุดของ Boost ปรากฏเด่นชัดในงานนี้ (ความจริงงานที่แล้วก็รู้สึกแต่ไม่เด่นเท่านี้) นั่นก็คือ เมื่อพื้นรองเท้าโดนน้ำเมื่อไร จะลื่นมาก (พื้นถนนยางมะตอย) ตอนที่รับน้ำจากจุดให้น้ำผู้ทดสอบชลอแล้ว เท้าหน้าก็ยังลื่นไถลออกไป แต่ยังดีที่เท้าหลังยังยืนหยัดได้อยู่ทำให้ไม่ล้ม (เอ๊ะ ตัวอะไรมีเท้าหน้าเท้าหลัง) แต่ก็ทำให้เห็นถึงน้ำใจของนักวิ่งข้างๆ ที่ยื่นมือมาช่วยประคองตอนที่เราไถล
หลังจากงานนี้ไปก็ยังคงปวด แต่ไม่ถึงกับปวดถึงก้นแบบงานที่แล้ว แต่เวลาดีมาก เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่วิ่งได้ต่ำกว่า 50 นาที และเป็นครั้งแรกสำหรับงานแข่งวิ่งอย่างเป็นทางการ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ค้นพบวิธีการใช้งานที่ถูกจริตกับตนเอง
ที่ใช้คำว่าถูกจริต (ไม่ใช้คำว่าถูกต้อง) เนื่องจากผู้ทดสอบใช้วิธีนี้แล้วได้ผลดี วิ่งได้เร็ว ไม่เหนื่อยมาก แต่ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะเป็นแบบเดียวกันหรือไม่
หลังจากพัก 1 วันหลังงานวิ่ง MITSUBISHI แล้ว ผู้ทดสอบก็ได้ลองวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรอีกครั้งรอบพระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่งทำให้ผู้ทดสอบได้ค้นพบความลับบางอย่าง เนื่องจากความเด้งของรองเท้า ทำให้ทุกครั้งที่วิ่งผู้ทดสอบจะมีอาการปวดเข่า จากการวิ่งทำให้คิดได้ว่า ทำไมไม่ลองจิกส้นเท้าไปด้านหลัง เพื่อให้แรงสะท้อนไปด้านหน้าแทนที่จะสะท้อนขึ้นเข่าล่ะ (จิกส้นเท้าไปด้านหลังความหมายของผมคือคล้ายๆ กับตอกส้น) และผลที่ได้คือ pace 5.15 ตลอด 10 กิโลเมตร (ที่ไม่เร็วเท่างานแข่ง เป็นเพราะวิ่งตอนเย็นอากาศร้อน และไม่มีน้ำดื่มระหว่างทาง) ถือว่าเร็วระดับ 1 ใน 3 ของสถิติตัวเองที่วิ่งที่นี่เลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทสรุป
หลังจากที่ได้ใช้รองเท้า Adidas Energy Boost มาเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ ใส่ซ้อม 4 ครั้ง แข่งจริง 2 ครั้ง มีความเห็นส่วนตัวดังนี้
- เหมาะสมสำหรับคนวิ่งลงส้นเท้า ซึ่งอาจจะนำเคล็ดลับผมไปใช้คือให้ตอกส้นเวลาเท้าลงพื้น เพื่อเพิ่มแรงส่งตัวไปข้างหน้า
- หากกระแทกเท้าลงไปตรงๆ อาจจะมีอาการเสี่ยงบาดเจ็บหัวเข่าได้ เนื่องจากแรงสะท้อนกลับขึ้นเข่าเต็มๆ (โดนกับตัวมาหลายรอบ)
- เสริมสร้างกล้ามเนื้อ hamstring (ต้นขาด้านหลังได้เป็นอย่างดี วิ่งทีไร ปวดตรงนี้ทุกที)
- ไม่ควรใส่วิ่งผ่านพื้นที่เปียกน้ำ เนื่องจากพื้นรองเท้าเมื่อโดนน้ำจะลื่นมากๆ (ควรพิจารณาถึงในหน้าฝนหรือช่วงหลังฝนตก)
- (นอกเหนือจากการวิ่ง) หากนำไปใส่ขับรถ จากประสบการณ์ บางจังหวะร่องดอกยางรองเท้าขัดกับแป้นเบรกและคันเร่ง ทำให้เวลาเปลี่ยนแป้นเหยียบติดขัดเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตราย แค่พอตกใจ (แต่จะให้ดีที่สุดคือควรหาคู่อื่นมาใส่ขับรถแทน)
สรุปสุดท้าย
เนื่องจากเวลาที่ทดสอบน้อยไปหน่อย ทำให้ผมคิดว่าคำโฆษณาของ Boost และพวกที่อวยต่างๆ อาจจะเกินจริงไปหน่อย คือไม่ใช่ใส่ปุ๊บวิ่งเร็วปั๊บทันที แต่ผมเชื่อมั่นว่าหากว่าได้ใส่คู่นี้ไปสัก 1-2 เดือน น่าจะทำเวลาอยู่ที่ IT SQUARE (หลักสี่ปลายๆ) ได้ไม่ยาก (คือทำเวลาได้น้อยกว่ากิโลเมตรละ 5 นาที ในระยะ 10 กิโลเมตร) เพราะทั้งคุณสมบัติรองเท้าที่เด้งดีและทำให้ท่าวิ่งเสริมสร้างกล้ามเนื้อ hamstring ครับ
จบการ Review แต่เพียงเท่านี้
[SR] SR REVIEW: Adidas Energy Boost by Fanpage เรื่องวิ่งเรื่องกล้วย
ผมได้รับคำชวนจาก Admin ท่านหนึ่งของเพจ "เรื่องวิ่งเรื่องกล้วย" ใน Facebook (www.facebook.com/BananaRunning) นั่นก็คือ คุณกล้วยหอม ให้มาลองใส่รองเท้า Adidas Energy Boost ที่กำลังโหมโฆษณากันตอนนี้ดู เนื่องจากพี่เขาต้องการที่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ Fanpage มีส่วนร่วมในการ Review สินค้าที่ทางผู้ผลิตนำมาให้ลองใช้ และลองกันหลายๆ คนเพื่อให้ดูเป็นกลางมากที่สุด
เกร็ดเล็กน้อย: ตอนที่พี่กล้วยหอมให้รองเท้ามาเลือกใส่นั้น พี่เขาให้มา 3 คู่ สองคู่แรกเป็นแบบลงปลายเท้า ซึ่งไม่เหมาะกับผม ที่วิ่งลงส้น จึงเลือก Boost ที่เหมาะกับคนที่วิ่งลงส้นมาให้ลอง Review
ข้อมูลเบื้องต้นของรองเท้า Boost ที่ได้จากคำบอกเล่า (ไม่ได้อ่านคำโฆษณาในเว็บใดๆ) ซึ่งก็ตรงกับคุณสมบัติที่แท้จริง
(ขอขอบคุณภาพจาก http://www.runblogger.com/2013/02/adidas-officially-announces-their.html)
- ใช้ผ้า techfit ระบายลมเป็นเลิศ: สัมผัสแรกที่ลองใส่นั้นรู้สึกถึงลมที่ผ่านกระทบหลังเท้า ซึ่งรองเท้าวิ่งที่เคยใช้มาไม่มีคู่ไหนที่ระบายลมได้เป็นเลิศเท่านี้
- สืบเนื่องข้อบนที่รองเท้าใช้ผ้า techfit ทำให้การยืดหยุ่นของรองเท้าดี คนหน้าเท้ากว้างก็ใส่ได้เพราะผ้าจะยืดออก จากประสบการณ์ตรงคือ รองเท้าคู่ที่ใช้ทดสอบนี้เบอร์ 10.5 แต่ปกติผมใส่เบอร์ 9 แต่ก็ใส่ได้ แต่ด้านหน้ามีพื้นที่เหลือบ้าง ด้านข้างรัดเท้ากระชับไม่หลวม ซึ่งตรงนี้จากที่สอบถามบางคนก็ไม่ชอบ (ในกรณีที่ใส่เบอร์พอดีเท้า) เพราะว่ามันรัดไป
- พื้นรองเท้าเป็นแผ่นเดียวกันหมด (ยกเว้นยางรองเท้า) ลดการหลุดลอกของรองเท้า
- พื้นรองเท้าที่ดูคล้ายๆ โฟมเป็นวัสดุพิเศษของ Adidas ที่คล้ายๆ Gel ในยี่ห้ออื่นๆ จากที่คุณกล้วยหอมเข้าไปในงานเปิดตัว เอาดินสอทิ่มไป ปรากฏว่าทิ่มไม่เข้า (สงสัยสักเสือเผ่นคงกระพัน) นอกจากนี้ยังได้ทดสอบการโยนสิ่งของไปกระทบโฟมนี้ ยังมีการเด้งสนองตอบขึ้นมาในระดับสูง เมื่อเทียบกับวัสดุอื่น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลส่วนตัว:
- ผมเป็นนักวิ่งที่วิ่งลงส้นเท้า
- เป็นนักวิ่งแนวหลังค่อนไปทางหน้า (ออกตัวหลังชาวบ้าน แต่วิ่งแซงไปเรื่อยๆ) วิ่ง 10กิโลเมตรที่เวลา 52-54 นาที (เคยวิ่งได้เร็วสุด 48.46 นาที ณ สวนลุมพินี)
- ฮาล์ฟมาราธอนที่เวลา 1:55 ชม. ยังไม่เคยวิ่งมาราธอน
สถิติส่วนตัว
รองเท้าที่ใช้อยู่ Asics Gel Kayano18 (เบอร์ 9) แม้ Kayano ที่ใช้อยู่จะเบอร์เล็กกว่า Boost แต่น้ำหนักกลับมากกว่า Boost เกือบๆ 1 ขีดต่อข้าง ทำให้รู้สึกเบาเวลาใส่วิ่ง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลงสนาม
เนื่องจากผม ได้รองเท้ามาในวันพฤหัสเย็น แต่วันศุกร์ติดธุระและเสาร์เจาะเลือดตรวจร่างกาย (อาจจะส่งผลทำให้อ่อนเพลียบ้าง) ไม่สามารถซ้อมได้ จึงลองใส่ในงานวิ่งจริงเลย ไม่ต้องซ้อม
ชื่องาน : งานเดิน-วิ่ง เพื่อโลกสดใส ของคนสายตาเลือนราง ( Big C )
วัน/เวลา: วันที่ 17 มีนาคม 2556 เวลา 05.45 น.
ระยะทางจริง: ประมาณ 10.80 กิโลเมตร
เส้นทางวิ่ง: เริ่มต้นจาก หน้า Big C ราชดำหริ ตรงไปทางสวนลุมพินี เลี้ยวซ้ายถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จากนั้นเลี้ยวซ้ายจนถึงแยกอโศกเพชรบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายจนถึงแยกราชประสงค์และเลี้ยวซ้ายกลับ Big C ตามแผนที่ด้านล่าง
เนื่องจาก GPS ในวันงาน ติดๆ ดับๆ ทำให้ไม่สามารถวัดระยะเวลาที่แม่นยำได้ ซึ่งขอ copy หน้าจอมาให้ดูดังด้านล่าง (ถ้วยทองทั้งหลายอย่าได้ไปสนใจมันเลยนะครับ เป็นเพราะ GPS ติดๆ ดับๆ ตลอดทาง)
ความรู้สึกในการใส่
ความรู้สึกที่วิ่งนั้น พื้นรองเท้าเด้งดีแต่ก็ไม่ถึงกับสปริงตัวไปด้านหน้าอย่างที่โฆษณา (ตอนนั้นยังไม่ทราบวิธีใช้)
ช่วง 5 กิโลแรก (จากบิ๊กซีถึงแยกศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์) ความเร็วน่าจะอยู่ pace 5.10 (5.10 นาทีต่อกิโลเมตร) ความเหนื่อยถือว่ายังพอรับได้
ช่วง 5 กิโลเมตรหลัง สภาพร่างกายของผมยอมแพ้ให้แก่ควันรถ สภาพอากาศที่ร้อนและการเปิดการจราจรเพื่อระบายรถตามแยกต่างๆ ทำให้วิ่งชลอลงเหลือ Pace 5.40 และนิ่งสนิทถึงกับเดินช่วงใกล้ถึงแยกประตูน้ำก่อนเลี้ยวเข้าบิ๊กซี (ผมไม่เคยเดินในงานวิ่งแข่งมาก่อน แม้จะเป็น Half Marathon ก็ไม่เคยเดิน) ตอนนั้นความปวดร้าวของกล้ามเนื้อขึ้นมาถึงก้น ซึ่งปกติผมไม่เคยวิ่งจนปวดถึงก้นมาก่อน ในระหว่างที่เดินนั้นคุณกล้วยหอม ผู้ที่ให้รองเท้ามาทดสอบ วิ่งมาทันตรงแยกประตูน้ำ แต่ผมเหนื่อยล้าเกินบรรยาย จึงได้แต่ผายมือให้วิ่งไปก่อน แต่คุณกล้วยหอมรอ ผมจึงกัดฟันเฮือกสุดท้ายวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกัน
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก โปรรุตน์ www.shutterrunning.com
**ผมเป็นนักวิ่ง Green Runner คือถือเมื่อถึงจุดให้น้ำ จะนำน้ำจากแก้วพลาสติกรินใส่แก้วซิลิโคนส่วนตัว จากนั้นก็วางแก้วพลาสติกไว้ที่เดิมเพื่อให้ทางผู้จัดงานได้รินน้ำให้ผู้อื่นดื่มต่อไป เพื่อรณรงค์ลดโลกร้อน**
รายละเอียด Green Runner:
www.facebook.com/photo.php?fbid=497663343610028
www.facebook.com/photo.php?fbid=489751964401166
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทดสอบในการซ้อม
หลังจากพัก 1 วันจากงานวิ่ง (เนื่องจากระบม) มาทดสอบ Boost ในวันอังคาร ณ รอบพระราชวังสวนจิตรลดา การทดสอบนี้ไม่สามารถวัดอะไรได้เลยเนื่องจากผมเองยังเหนื่อยล้า วิ่งได้แค่ 4 กิโลเมตรก็หมดแรง (ตอนแรกคิดว่าเป็นที่รองเท้า แต่วันต่อมาใส่ Kayano ก็ยังวิ่งได้แค่ 5 กิโล ดังนั้นจึงเลิกคิดที่จะโทษรองเท้า มาโทษแก๊สโซฮลล์ เอ้ย โทษตัวเองดีกว่า)
หลังจากทำร่างกายตัวเองให้ฟิตอีกครั้ง ในวันเสาร์ (ซ้อมก่อนวิ่งงาน MITSUBISHI) ได้ลองใส่ Boost ไปวิ่ง ณ สวนรมณีนาถ ประมาณ 5 กิโลเมตร คราวนี้สถิติดีขึ้นมาก Pace อยู่ที่ 5.15 นาที แต่ยังคงมีอาการปวดกล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาอยู่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทดสอบ ณ สนามที่สอง
ชื่องาน : BANGKOK MITSUBISHI ELECTRIC RUN FOR HEALTH
วัน/เวลา : มีนาคม 2556 เวลา 6.00 น.
ระยะทางจริง : ประมาณ 11.50 กิโลเมตร
เส้นทางการวิ่ง : สะพานพระราม 8 วิ่งเข้าเส้นบรมราชชนนี กลับตัว ที่ก่อนถึงทางลงตลิ่งชัน
ณ สนามนี้ ผมได้เตรียมใจไว้แล้วว่า มีระยะแถมแน่ๆ คงไม่ใช่ 10 กิโลตามกล่าวอ้าง (มีประสบการณ์จากงาน Thailand Int' Half Marathon)
ช่วงก่อนถึงจุดกลับตัวความเร็วอยู่ที่เกือบ pace 5 (5 นาทีต่อกิโลเมตร) ความเหนื่อยถือว่ายังพอรับได้
ช่วงหลังจากกลับตัว ผมก็ยังคงรักษาความเร็ว pace 5 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งตอนท้ายๆ เริ่มแรงหมด แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีระยะแถมแต่ผมกะว่าจะวิ่งสุดแรงที่ 10 กิโลเมตร ในกิโลสุดท้ายจึงวิ่งแบบเร็ว จึงได้ผลออกมาตามด้านล่าง (งานนี้ GPS ติดตลอด)
**งานนี้ก็ยังคงเป็น Green Runner เช่นเดิมนะครับ**
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก น้าแพท www.patrunning.com ครับ
******ปัญหาใหญ่หลวงที่สุดของ Boost ปรากฏเด่นชัดในงานนี้ (ความจริงงานที่แล้วก็รู้สึกแต่ไม่เด่นเท่านี้) นั่นก็คือ เมื่อพื้นรองเท้าโดนน้ำเมื่อไร จะลื่นมาก (พื้นถนนยางมะตอย) ตอนที่รับน้ำจากจุดให้น้ำผู้ทดสอบชลอแล้ว เท้าหน้าก็ยังลื่นไถลออกไป แต่ยังดีที่เท้าหลังยังยืนหยัดได้อยู่ทำให้ไม่ล้ม (เอ๊ะ ตัวอะไรมีเท้าหน้าเท้าหลัง) แต่ก็ทำให้เห็นถึงน้ำใจของนักวิ่งข้างๆ ที่ยื่นมือมาช่วยประคองตอนที่เราไถล
หลังจากงานนี้ไปก็ยังคงปวด แต่ไม่ถึงกับปวดถึงก้นแบบงานที่แล้ว แต่เวลาดีมาก เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่วิ่งได้ต่ำกว่า 50 นาที และเป็นครั้งแรกสำหรับงานแข่งวิ่งอย่างเป็นทางการ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ค้นพบวิธีการใช้งานที่ถูกจริตกับตนเอง
ที่ใช้คำว่าถูกจริต (ไม่ใช้คำว่าถูกต้อง) เนื่องจากผู้ทดสอบใช้วิธีนี้แล้วได้ผลดี วิ่งได้เร็ว ไม่เหนื่อยมาก แต่ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะเป็นแบบเดียวกันหรือไม่
หลังจากพัก 1 วันหลังงานวิ่ง MITSUBISHI แล้ว ผู้ทดสอบก็ได้ลองวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรอีกครั้งรอบพระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่งทำให้ผู้ทดสอบได้ค้นพบความลับบางอย่าง เนื่องจากความเด้งของรองเท้า ทำให้ทุกครั้งที่วิ่งผู้ทดสอบจะมีอาการปวดเข่า จากการวิ่งทำให้คิดได้ว่า ทำไมไม่ลองจิกส้นเท้าไปด้านหลัง เพื่อให้แรงสะท้อนไปด้านหน้าแทนที่จะสะท้อนขึ้นเข่าล่ะ (จิกส้นเท้าไปด้านหลังความหมายของผมคือคล้ายๆ กับตอกส้น) และผลที่ได้คือ pace 5.15 ตลอด 10 กิโลเมตร (ที่ไม่เร็วเท่างานแข่ง เป็นเพราะวิ่งตอนเย็นอากาศร้อน และไม่มีน้ำดื่มระหว่างทาง) ถือว่าเร็วระดับ 1 ใน 3 ของสถิติตัวเองที่วิ่งที่นี่เลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทสรุป
หลังจากที่ได้ใช้รองเท้า Adidas Energy Boost มาเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ ใส่ซ้อม 4 ครั้ง แข่งจริง 2 ครั้ง มีความเห็นส่วนตัวดังนี้
- เหมาะสมสำหรับคนวิ่งลงส้นเท้า ซึ่งอาจจะนำเคล็ดลับผมไปใช้คือให้ตอกส้นเวลาเท้าลงพื้น เพื่อเพิ่มแรงส่งตัวไปข้างหน้า
- หากกระแทกเท้าลงไปตรงๆ อาจจะมีอาการเสี่ยงบาดเจ็บหัวเข่าได้ เนื่องจากแรงสะท้อนกลับขึ้นเข่าเต็มๆ (โดนกับตัวมาหลายรอบ)
- เสริมสร้างกล้ามเนื้อ hamstring (ต้นขาด้านหลังได้เป็นอย่างดี วิ่งทีไร ปวดตรงนี้ทุกที)
- ไม่ควรใส่วิ่งผ่านพื้นที่เปียกน้ำ เนื่องจากพื้นรองเท้าเมื่อโดนน้ำจะลื่นมากๆ (ควรพิจารณาถึงในหน้าฝนหรือช่วงหลังฝนตก)
- (นอกเหนือจากการวิ่ง) หากนำไปใส่ขับรถ จากประสบการณ์ บางจังหวะร่องดอกยางรองเท้าขัดกับแป้นเบรกและคันเร่ง ทำให้เวลาเปลี่ยนแป้นเหยียบติดขัดเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตราย แค่พอตกใจ (แต่จะให้ดีที่สุดคือควรหาคู่อื่นมาใส่ขับรถแทน)
สรุปสุดท้าย
เนื่องจากเวลาที่ทดสอบน้อยไปหน่อย ทำให้ผมคิดว่าคำโฆษณาของ Boost และพวกที่อวยต่างๆ อาจจะเกินจริงไปหน่อย คือไม่ใช่ใส่ปุ๊บวิ่งเร็วปั๊บทันที แต่ผมเชื่อมั่นว่าหากว่าได้ใส่คู่นี้ไปสัก 1-2 เดือน น่าจะทำเวลาอยู่ที่ IT SQUARE (หลักสี่ปลายๆ) ได้ไม่ยาก (คือทำเวลาได้น้อยกว่ากิโลเมตรละ 5 นาที ในระยะ 10 กิโลเมตร) เพราะทั้งคุณสมบัติรองเท้าที่เด้งดีและทำให้ท่าวิ่งเสริมสร้างกล้ามเนื้อ hamstring ครับ
จบการ Review แต่เพียงเท่านี้