ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนวนเวียนเรื่อยไป
สนามเด็กเล่นแห่งนี้ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องมาทุกขณะ เครื่องเล่นที่วางเรียงรายทั่วทั้งสนาม ต่างถูกจับจองกันเกือบหมด เด็กวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนมากับพ่อแม่ บางคนมากับเพื่อน สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กลับทำให้สนามเด็กเล่นแห่งนี้ อย่างกับสวนสวรรค์ของพวกเด็ก ๆ ไม่มีผิด
แต่สนามเด็กเล่นแห่งนี้ยังมีเด็กชายแววตาสีน้ำเงิน รูปร่างผอมบาง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ นั่งแกว่งชิงช้า ที่ขึ้นสนิม จวนจะพัง ที่ไม่มีเด็กคนไหนอยากจะได้รับความสนุกจากมันนัก เขามองไปโดยรอบ เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แต่เขากลับไม่เข้าใจเลยว่า ว่าทำไมพวกนั้น ถึงหัวเราะ ทำไมถึงยิ้ม ทำไมถึงมีความสุข หรือเพราะพ่อแม่ที่อยู่ข้างกาย เพราะเพื่อนที่เล่นด้วย เขากลับไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้เลย อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้มีพ่อแม่มาเล่นด้วย หรือเพื่อนๆ ที่แม้จะเคยชวนให้มาเล่นอยู่หลายครั้ง แต่ก็กลับปฏิเสธไปทุกครั้ง ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรืออย่างไร แต่เขานั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ อย่างไรก็ไม่ใช่ เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ความรู้สึกนึกคิดก็ให้ตั้งคำถามในใจทุกครั้งไป
วันนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไม ทางเดินกลับบ้านถึงต้องผ่านที่นี้ประจำ ซึ่งปกติได้แต่ชำเลืองมองแล้วเดินผ่านไป แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือโชคชะตา พอรู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งที่ชิงช้าเก่า ๆ ที่จวนจะได้ให้พนักงานขยะมาเก็บออกไป และแล้วคำถามพุดขึ้นมาให้หาคำตอบเหมือนเดิม แม้จะไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้เลยสักครั้ง แต่เขาก็อยากที่จะสัมผัสกับมัน แต่วันนี้ดูท่าจะไม่ได้อะไร สักพักคงต้องกลับบ้าน การบ้านที่โรงเรียนยังรอเขาอยู่เป็นกระสอบ คงไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งแกว่งชิงช้า
“นายไม่มีเพื่อนหรอ”
คำถามที่สั้น ๆ ไม่ดังมาก แต่ก็พอที่จะทำได้ยินอย่างชัดเจน จากเด็กชายผมสีน้ำตาลที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ สวมเสื้อราคาแพง ดูหน้าตาผิวพรรณ เป็นคนมีฐานะอย่างแน่นอน ปกติเด็กแบบนี้จะไม่ทักเขา ซึ่งบางทีอาจจะรวมกลุ่มเป็นหมู่คณะมารุมล้อ หรือถ้าร้ายแรงก็อาจจะถึงขั้นปาของใส่ แต่นั้นกลับไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ ปัญหาอยู่คำถามมากกว่า ประโยคออกจะกวน ๆ ไปนิด ฟังดูเหมือนดูถูก แต่น้ำเสียงกับแฝงไปด้วยความเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“มี...แต่ฉันอยากอยู่คนเดียว” เขาตอบไป ฟังดูอาจจะจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถคิดคำตอบที่ดีกว่านี้ได้ ใช่สิ...มันกะทันหันมาก
เด็กชายผมสีน้ำตาลได้ฟังแล้ว ก็ยิ้มบางๆ ออกมา แล้วไปนั่งชิงช้าข้าง ๆ เขา เวลานี้คำถามพุดขึ้นมาอีกแล้ว ว่านายผมน้ำตาลต้องการอะไร ทำไมถึงมาคุยกับเขา และที่สำคัญยังไม่ไปไหน กลับมานั่งแกว่งชิงช้าใกล้ ๆอีก
“แล้ว ทำไมนายถึงไม่อยากอยู่กับเพื่อนละ ทำไมถึงชอบอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวสนุกหรอ “
คำถามถูกยิงมาเป็นชุด ขนาดแค่คำถามเดียว เขายังต้องใช้เวลา แต่อย่างไรคงต้องตอบ เพราะถ้าไม่ตอบไป เห็นทีจะไม่ยอมปล่อยไปแน่ ๆ
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากอยู่กับเพื่อน แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องเล่นสนุก ทำไมต้องปล่อยเวลาให้ผ่านไป แล้วฉันก็คิดว่าฉันสามารถทำอะไรด้วยตนเองได้ ด้วยมือของฉันเอง ฉันสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น “
เด็กชายแววตาสีน้ำเงินตอบด้วยความรู้สึกที่แท้จริง แม้ว่าจะมีมากกว่านั้นก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่อาจหาคำพูดใด มาอธิบายความรู้สึกทั้งหมดได้
เด็กชายผมสีน้ำตาลหันมาด้วยใบหน้าที่เฉยชา คราวนี้เขาไม่ได้ยิ้ม แล้วพูดว่า
“ตอนนี้นายกำลังมีความสุขอยู่หรอ”
เขาถึงกับสะอึกกับคำพูดนั้น เหมือนถูกคมมีดมาแทงใจ อย่าว่าแต่ความสนุกเลย ความสุขในตอนนี้ก็หามีไม่
เด็กชายผมสีน้ำตาลได้ลุกออกจากชิงช้า เขามองหน้าสิ่งหนึ่งอยู่สักพัก แล้วเขาเก็บกิ่งไม้ที่ตกอยู่บนพื้น มาขีดเส้นลงบนพื้นทรายเป็นเส้นตรงห่างจากหน้าชิงช้าสักระยะหนึ่ง
“นายลองแกว่งชิงช้าให้ถึงเส้นนี้ ถ้านายทำได้ฉันจะไม่มายุ่งกับนายอีก” เด็กชายผมสีน้ำตาลบอก
เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ รู้สึกว่านี้อาจเป็นเรื่องยากที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา ทำให้เขาต้องมาวุ่ยวายมากขนาดนี้ ทำไหมวันนี้เขาถึงซวยมาเจอกับนายผมน้ำตาลนี่ด้วย แต่อย่างไรนายคนนั้นก็บอกแล้วนี่ว่าถ้าทำได้จะไม่มายุ่งกับเขาอีก
เขาถอยหลังพร้อมกับชิงช้าเพื่อให้เกิดแรงส่งไปข้างหน้า แต่เด็กชายผมสีน้ำตาลพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ห้ามถอยหลังไปนะ”
“อ่าว......แล้วฉันจะแกว่งชิงช้าได้อย่างไร” เขางงมากเพราะถ้าไม่ถอยหลัง อย่าว่าให้ไปถึงเส้นเลย แค่จะขยับยังยาก
“ก็นั้นไง หากนายไม่ยอมถอยหลังเลยสักก้าว นายจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร”
ความรู้สึกทั้งหมดเริ่มชัดเจนในทันที เขารู้แล้วว่าทำไมคนพวกนั้นถึงมีความสุข ทำไมถึงมีรอยยิ้ม และทำไมเขาถึงไม่มีความสุข นั้นก็อาจเพราะเขาเอาแต่เดินไปข้างหน้า ไม่เคยหยุดมองปัจจุบัน หรือถอยหลังมามองในสิ่งที่ควรจะเป็น ตอนนี้เด็กชายแววตาสีน้ำเงินเริ่มมีรอยยิ้มแล้ว
นายผมสีน้ำตาลเดินมาที่ข้างหลังชิงช้าที่เขานั่งอยู่ แล้วจับผลักชิงช้าเขาแกว่งขึ้นไปมา ใช่แล้วล่ะมันไปได้ไกลกว่าเส้นที่เขาขีดอีก
“แล้วถ้าเราช่วยกันละก็ มันต้องไปได้ไกลกว่านี้อย่างแน่นอน”
ตอนนี้เขารู้สึกสนุกสุด ๆ เขาไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน เขาอยากจะร้องตะโกนให้สุดเสียง บอกคนทั้งโลกว่า เขารู้แล้ว เขารู้จักมันแล้ว เขาได้สัมผัสมันแล้ว แล้วเขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันหายไปอีก
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนวนเวียนเรื่อยไป
“เราไปด้วยกันนะ”
“อืม ไปไหนก็ได้ ที่ๆ มีเราอยู่"
ฉันไม่รู้หรอกว่าการเจอกันของเราของสองคน
จะเปลี่ยนแปลงพวกเราไปมากแค่ไหน
แต่ที่ฉันรู้คือ.....
มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันไปตลอดกาล
“เราไปเล่นไม้กระดกกันนะ” นายผมสีน้ำตาลชวน
เด็กชายแววตาสีน้ำเงินพยักหน้า เขารู้สึกว่าวันนี้ท้องฟ้าช่างสวยเหลือเกิน ที่แม้มันจะเหมือนกันทุกวันก็ตาม แต่อย่างไร ๆ เขาก็คิดว่าวันนี้สวยที่สุด ความทรงจำในวันนี้เขาจะไม่มีวันลืมเลือน และอีกอย่างที่สำคัญคือ ไม้กระดก มันต้องเล่นสองคน.............................
...จบ...
The nature heart: Special -Changed-
สนามเด็กเล่นแห่งนี้ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องมาทุกขณะ เครื่องเล่นที่วางเรียงรายทั่วทั้งสนาม ต่างถูกจับจองกันเกือบหมด เด็กวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนมากับพ่อแม่ บางคนมากับเพื่อน สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กลับทำให้สนามเด็กเล่นแห่งนี้ อย่างกับสวนสวรรค์ของพวกเด็ก ๆ ไม่มีผิด
แต่สนามเด็กเล่นแห่งนี้ยังมีเด็กชายแววตาสีน้ำเงิน รูปร่างผอมบาง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ นั่งแกว่งชิงช้า ที่ขึ้นสนิม จวนจะพัง ที่ไม่มีเด็กคนไหนอยากจะได้รับความสนุกจากมันนัก เขามองไปโดยรอบ เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แต่เขากลับไม่เข้าใจเลยว่า ว่าทำไมพวกนั้น ถึงหัวเราะ ทำไมถึงยิ้ม ทำไมถึงมีความสุข หรือเพราะพ่อแม่ที่อยู่ข้างกาย เพราะเพื่อนที่เล่นด้วย เขากลับไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้เลย อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้มีพ่อแม่มาเล่นด้วย หรือเพื่อนๆ ที่แม้จะเคยชวนให้มาเล่นอยู่หลายครั้ง แต่ก็กลับปฏิเสธไปทุกครั้ง ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรืออย่างไร แต่เขานั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ อย่างไรก็ไม่ใช่ เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ความรู้สึกนึกคิดก็ให้ตั้งคำถามในใจทุกครั้งไป
วันนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไม ทางเดินกลับบ้านถึงต้องผ่านที่นี้ประจำ ซึ่งปกติได้แต่ชำเลืองมองแล้วเดินผ่านไป แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือโชคชะตา พอรู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งที่ชิงช้าเก่า ๆ ที่จวนจะได้ให้พนักงานขยะมาเก็บออกไป และแล้วคำถามพุดขึ้นมาให้หาคำตอบเหมือนเดิม แม้จะไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้เลยสักครั้ง แต่เขาก็อยากที่จะสัมผัสกับมัน แต่วันนี้ดูท่าจะไม่ได้อะไร สักพักคงต้องกลับบ้าน การบ้านที่โรงเรียนยังรอเขาอยู่เป็นกระสอบ คงไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งแกว่งชิงช้า
“นายไม่มีเพื่อนหรอ”
คำถามที่สั้น ๆ ไม่ดังมาก แต่ก็พอที่จะทำได้ยินอย่างชัดเจน จากเด็กชายผมสีน้ำตาลที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ สวมเสื้อราคาแพง ดูหน้าตาผิวพรรณ เป็นคนมีฐานะอย่างแน่นอน ปกติเด็กแบบนี้จะไม่ทักเขา ซึ่งบางทีอาจจะรวมกลุ่มเป็นหมู่คณะมารุมล้อ หรือถ้าร้ายแรงก็อาจจะถึงขั้นปาของใส่ แต่นั้นกลับไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ ปัญหาอยู่คำถามมากกว่า ประโยคออกจะกวน ๆ ไปนิด ฟังดูเหมือนดูถูก แต่น้ำเสียงกับแฝงไปด้วยความเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“มี...แต่ฉันอยากอยู่คนเดียว” เขาตอบไป ฟังดูอาจจะจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถคิดคำตอบที่ดีกว่านี้ได้ ใช่สิ...มันกะทันหันมาก
เด็กชายผมสีน้ำตาลได้ฟังแล้ว ก็ยิ้มบางๆ ออกมา แล้วไปนั่งชิงช้าข้าง ๆ เขา เวลานี้คำถามพุดขึ้นมาอีกแล้ว ว่านายผมน้ำตาลต้องการอะไร ทำไมถึงมาคุยกับเขา และที่สำคัญยังไม่ไปไหน กลับมานั่งแกว่งชิงช้าใกล้ ๆอีก
“แล้ว ทำไมนายถึงไม่อยากอยู่กับเพื่อนละ ทำไมถึงชอบอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวสนุกหรอ “
คำถามถูกยิงมาเป็นชุด ขนาดแค่คำถามเดียว เขายังต้องใช้เวลา แต่อย่างไรคงต้องตอบ เพราะถ้าไม่ตอบไป เห็นทีจะไม่ยอมปล่อยไปแน่ ๆ
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากอยู่กับเพื่อน แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องเล่นสนุก ทำไมต้องปล่อยเวลาให้ผ่านไป แล้วฉันก็คิดว่าฉันสามารถทำอะไรด้วยตนเองได้ ด้วยมือของฉันเอง ฉันสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น “
เด็กชายแววตาสีน้ำเงินตอบด้วยความรู้สึกที่แท้จริง แม้ว่าจะมีมากกว่านั้นก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่อาจหาคำพูดใด มาอธิบายความรู้สึกทั้งหมดได้
เด็กชายผมสีน้ำตาลหันมาด้วยใบหน้าที่เฉยชา คราวนี้เขาไม่ได้ยิ้ม แล้วพูดว่า
“ตอนนี้นายกำลังมีความสุขอยู่หรอ”
เขาถึงกับสะอึกกับคำพูดนั้น เหมือนถูกคมมีดมาแทงใจ อย่าว่าแต่ความสนุกเลย ความสุขในตอนนี้ก็หามีไม่
เด็กชายผมสีน้ำตาลได้ลุกออกจากชิงช้า เขามองหน้าสิ่งหนึ่งอยู่สักพัก แล้วเขาเก็บกิ่งไม้ที่ตกอยู่บนพื้น มาขีดเส้นลงบนพื้นทรายเป็นเส้นตรงห่างจากหน้าชิงช้าสักระยะหนึ่ง
“นายลองแกว่งชิงช้าให้ถึงเส้นนี้ ถ้านายทำได้ฉันจะไม่มายุ่งกับนายอีก” เด็กชายผมสีน้ำตาลบอก
เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ รู้สึกว่านี้อาจเป็นเรื่องยากที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา ทำให้เขาต้องมาวุ่ยวายมากขนาดนี้ ทำไหมวันนี้เขาถึงซวยมาเจอกับนายผมน้ำตาลนี่ด้วย แต่อย่างไรนายคนนั้นก็บอกแล้วนี่ว่าถ้าทำได้จะไม่มายุ่งกับเขาอีก
เขาถอยหลังพร้อมกับชิงช้าเพื่อให้เกิดแรงส่งไปข้างหน้า แต่เด็กชายผมสีน้ำตาลพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ห้ามถอยหลังไปนะ”
“อ่าว......แล้วฉันจะแกว่งชิงช้าได้อย่างไร” เขางงมากเพราะถ้าไม่ถอยหลัง อย่าว่าให้ไปถึงเส้นเลย แค่จะขยับยังยาก
“ก็นั้นไง หากนายไม่ยอมถอยหลังเลยสักก้าว นายจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร”
ความรู้สึกทั้งหมดเริ่มชัดเจนในทันที เขารู้แล้วว่าทำไมคนพวกนั้นถึงมีความสุข ทำไมถึงมีรอยยิ้ม และทำไมเขาถึงไม่มีความสุข นั้นก็อาจเพราะเขาเอาแต่เดินไปข้างหน้า ไม่เคยหยุดมองปัจจุบัน หรือถอยหลังมามองในสิ่งที่ควรจะเป็น ตอนนี้เด็กชายแววตาสีน้ำเงินเริ่มมีรอยยิ้มแล้ว
นายผมสีน้ำตาลเดินมาที่ข้างหลังชิงช้าที่เขานั่งอยู่ แล้วจับผลักชิงช้าเขาแกว่งขึ้นไปมา ใช่แล้วล่ะมันไปได้ไกลกว่าเส้นที่เขาขีดอีก
“แล้วถ้าเราช่วยกันละก็ มันต้องไปได้ไกลกว่านี้อย่างแน่นอน”
ตอนนี้เขารู้สึกสนุกสุด ๆ เขาไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน เขาอยากจะร้องตะโกนให้สุดเสียง บอกคนทั้งโลกว่า เขารู้แล้ว เขารู้จักมันแล้ว เขาได้สัมผัสมันแล้ว แล้วเขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันหายไปอีก
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนวนเวียนเรื่อยไป
“เราไปด้วยกันนะ”
“อืม ไปไหนก็ได้ ที่ๆ มีเราอยู่"
ฉันไม่รู้หรอกว่าการเจอกันของเราของสองคน
จะเปลี่ยนแปลงพวกเราไปมากแค่ไหน
แต่ที่ฉันรู้คือ.....
มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันไปตลอดกาล
“เราไปเล่นไม้กระดกกันนะ” นายผมสีน้ำตาลชวน
เด็กชายแววตาสีน้ำเงินพยักหน้า เขารู้สึกว่าวันนี้ท้องฟ้าช่างสวยเหลือเกิน ที่แม้มันจะเหมือนกันทุกวันก็ตาม แต่อย่างไร ๆ เขาก็คิดว่าวันนี้สวยที่สุด ความทรงจำในวันนี้เขาจะไม่มีวันลืมเลือน และอีกอย่างที่สำคัญคือ ไม้กระดก มันต้องเล่นสองคน.............................
...จบ...