สำหรับการกำหนดราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นของไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การค้าเสรี ได้ใช้เกณฑ์อ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ซื้อขายกันในตลาดโลกซึ่งตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ ลักษณะเดียวกับการซื้อขายสินค้าอื่น ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทย เช่น การอ้างอิงราคาซื้อขายดอกไม้ ที่ปากคลองตลาด ราคาผลไม้ที่ตลาดไท หรือการอ้างอิงราคาข้าวที่ท่าข้าวกำนันทรง เป็นต้น ทั้งนี้ ราคาน้ำมันอ้างอิงที่ตลาดสิงคโปร์ไม่ใช่ราคาที่โรงกลั่นในสิงคโปร์ประกาศขึ้นมาเอง แต่เป็นตัวเลขราคาที่ผู้ค้าน้ำมันจากประเทศต่างๆ ในเอเชียเข้าไปตกลงซื้อ-ขายผ่านตลาดกลางสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางซื้อขายน้ำมันระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกไกล นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานตัวแทนบริษัทน้ำมันรายใหญ่ทั่วโลกประมาณ 325 บริษัท มีปริมาณการซื้อขายสูงเช่นเดียวกันกับตลาดในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้ยากต่อการปั่นราคาโดยผู้ซื้อหรือผู้ขาย และราคาที่ตกลงจะสะท้อน จากอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในภูมิภาคนี้ อีกทั้งเป็นตลาดการส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย และอยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด ดังนั้น ต้นทุนในการนำเข้า จึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย นอกจากนั้น ราคายังเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ดี หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นของไทยไม่ได้อ้างอิงตลาดสิงคโปร์ จะทำให้เกิดความไม่สมดุลในการผลิตและการจัดหาของประเทศ เพราะหากไทยกำหนดราคาน้ำมันเอง เมื่อใดที่ราคาในประเทศต่ำกว่าราคาที่ตลาดสิงคโปร์จะทำให้โรงกลั่นนำน้ำมันส่งออกไปขาย เพราะจะได้ราคาสูงกว่า อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันในประเทศได้ และเมื่อใดที่ราคาสิงคโปร์ลดลงจนต่ำกว่าราคาที่โรงกลั่นกำหนด บริษัทน้ำมันก็ต้องอยากนำเข้าจากตลาดสิงคโปร์ เพราะราคาถูกกว่า ทั้งสองกรณีจะทำให้เกิดการนำเข้า-ส่งออกโดยไม่จำเป็น และทำให้สูญเสียเงินตราต่างประเทศ และถึงแม้จะมีการควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อป้องกันการขาดสมดุลดังกล่าว ประเทศไทยก็ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำเข้าน้ำมันดิบในราคาตลาดโลกซึ่งปัจจุบันนำเข้าอยู่ในสัดส่วนเกือบร้อยละ 90 ของความต้องการ เนื่องจากเราไม่มีทรัพยากรธรรมชาติน้ำมันเพียงพอ ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปก็จะต้องเพิ่มขึ้นตาม และการตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปแบบ Cost Plus จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดไม่สอดคล้องกับตลาดโลก ทำให้มีการใช้น้ำมันชนิดต่างๆ บิดเบือนไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สมดุลกับการผลิต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปบางประเภทซึ่งต้องนำเข้าเพิ่มเติม และเกิดส่วนเกินน้ำมันสำเร็จรูปบางประเภทที่ต้องส่งออก และสุดท้ายนำไปสู่การไม่ตระหนักถึงการประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อเนื่องให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ ไม่สอดคล้องและแข่งขันกับตลาดโลกได้ นอกจากนี้การกำหนดค่าใช้จ่ายและรายได้ของโรงกลั่นในระดับคงที่ จะทำให้โรงกลั่นของไทยไม่มีการพัฒนาปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง รวมทั้งจะไม่จูงใจให้มีการขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
การกำหนดราคาน้ำมันโดยอ้างอิงราคาตลาดโลกที่สิงคโปร์จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสม เป็นไปตามกลไกตลาด เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย และเป็นวิธีการปฏิบัติสากลที่ใช้ในการกำหนดราคาน้ำมันทั่วโลก
ตลาดซื้อขายน้ำมันของโลกใน 3 ภูมิภาคใหญ่
- ภูมิภาคเอเชีย : มีการซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์ จุดส่งมอบที่สิงคโปร์และอ่าวเปอร์เชีย (ตะวันออกกลาง)
- ภูมิภาคอเมริกา : มีการซื้อขายที่ตลาดฮุสตัน จุดส่งมอบที่ U.S. Gulf Coast และตลาดนิวยอร์ก จุดส่งมอบที่ New York Harbor
- ภูมิภาคยุโรป : มีการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน จุดส่งมอบที่ Rotterdam & Antwerp (ARA), Port Amsterdam และ Mediterranean (Italy)
ราคาน้ำมันในภูมิภาคต่าง ๆ จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และจะสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่บางขณะอาจมีความแตกต่างกันบ้างก็เป็นผลมาจากการสะท้อนอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันแต่ละชนิดในภูมิภาคในขณะนั้นๆ แต่จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ และเมื่ออุปสงค์และอุปทานอยู่ในภาวะสมดุลราคาในแต่ละภูมิภาคก็จะใกล้เคียงกัน
เฉลย เหตผลที่ประเทศไทยต้องอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ ตลาดสิงคโปร์
อย่างไรก็ดี หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นของไทยไม่ได้อ้างอิงตลาดสิงคโปร์ จะทำให้เกิดความไม่สมดุลในการผลิตและการจัดหาของประเทศ เพราะหากไทยกำหนดราคาน้ำมันเอง เมื่อใดที่ราคาในประเทศต่ำกว่าราคาที่ตลาดสิงคโปร์จะทำให้โรงกลั่นนำน้ำมันส่งออกไปขาย เพราะจะได้ราคาสูงกว่า อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันในประเทศได้ และเมื่อใดที่ราคาสิงคโปร์ลดลงจนต่ำกว่าราคาที่โรงกลั่นกำหนด บริษัทน้ำมันก็ต้องอยากนำเข้าจากตลาดสิงคโปร์ เพราะราคาถูกกว่า ทั้งสองกรณีจะทำให้เกิดการนำเข้า-ส่งออกโดยไม่จำเป็น และทำให้สูญเสียเงินตราต่างประเทศ และถึงแม้จะมีการควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อป้องกันการขาดสมดุลดังกล่าว ประเทศไทยก็ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำเข้าน้ำมันดิบในราคาตลาดโลกซึ่งปัจจุบันนำเข้าอยู่ในสัดส่วนเกือบร้อยละ 90 ของความต้องการ เนื่องจากเราไม่มีทรัพยากรธรรมชาติน้ำมันเพียงพอ ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปก็จะต้องเพิ่มขึ้นตาม และการตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปแบบ Cost Plus จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดไม่สอดคล้องกับตลาดโลก ทำให้มีการใช้น้ำมันชนิดต่างๆ บิดเบือนไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สมดุลกับการผลิต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปบางประเภทซึ่งต้องนำเข้าเพิ่มเติม และเกิดส่วนเกินน้ำมันสำเร็จรูปบางประเภทที่ต้องส่งออก และสุดท้ายนำไปสู่การไม่ตระหนักถึงการประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อเนื่องให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ ไม่สอดคล้องและแข่งขันกับตลาดโลกได้ นอกจากนี้การกำหนดค่าใช้จ่ายและรายได้ของโรงกลั่นในระดับคงที่ จะทำให้โรงกลั่นของไทยไม่มีการพัฒนาปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง รวมทั้งจะไม่จูงใจให้มีการขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
การกำหนดราคาน้ำมันโดยอ้างอิงราคาตลาดโลกที่สิงคโปร์จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสม เป็นไปตามกลไกตลาด เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย และเป็นวิธีการปฏิบัติสากลที่ใช้ในการกำหนดราคาน้ำมันทั่วโลก
ตลาดซื้อขายน้ำมันของโลกใน 3 ภูมิภาคใหญ่
- ภูมิภาคเอเชีย : มีการซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์ จุดส่งมอบที่สิงคโปร์และอ่าวเปอร์เชีย (ตะวันออกกลาง)
- ภูมิภาคอเมริกา : มีการซื้อขายที่ตลาดฮุสตัน จุดส่งมอบที่ U.S. Gulf Coast และตลาดนิวยอร์ก จุดส่งมอบที่ New York Harbor
- ภูมิภาคยุโรป : มีการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน จุดส่งมอบที่ Rotterdam & Antwerp (ARA), Port Amsterdam และ Mediterranean (Italy)
ราคาน้ำมันในภูมิภาคต่าง ๆ จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และจะสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่บางขณะอาจมีความแตกต่างกันบ้างก็เป็นผลมาจากการสะท้อนอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันแต่ละชนิดในภูมิภาคในขณะนั้นๆ แต่จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ และเมื่ออุปสงค์และอุปทานอยู่ในภาวะสมดุลราคาในแต่ละภูมิภาคก็จะใกล้เคียงกัน