จากกระทู้ก่อน ผมได้แจ้งว่า จะมีการตั้งกระทู้เรื่องงบประมาณในการทำ Mega Project ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ทราบแล้วว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะกู้เอามาทำอะไรแล้วบ้าง และมีตรงไหนทำอะไรแล้วบ้าง ทำให้ผมได้มีความหวังว่า ประเทศเราจะได้มีการพัฒนาอย่างจริงจังเสียที เพราะนับแต่ทักษิณถูกปฏิวัติไป ประเทศไทยเราล้าหลังชาวบ้านตลอด
ทีนี้ ในกระทู้ก่อน มีการพาดพิงรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่กู้เงินมากว่า ผมก็เลยขอตั้งกระทู้ เพื่อ "เตือนความจำ" และถามพวกเราคนไทยหน่อยว่า มีใครได้ประโยชน์จากเงินกู้ของประชาธิปัตย์บ้าง และมีอะไรเป็นรูปธรรม จับต้องได้ สัมผัสได้บ้าง
ในส่วนตัวผม..จะขอเขียนในมุมมองของผม ดังนี้
เริ่มต้น
(1). ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล 2 ปี 7 เดือน สิ่งหนึ่งที่ประชาธิปัตย์ทำก็คือ การผ่านร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ต้องทำทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งจำได้ว่า สภาผู้แทน ฯ ในยุคของประชาธิปัตย์ ก็คือ ผู้แทนที่ "ฉก" เอามาจากพรรคพลังประชาชนของคุณสมัคร เอาไปตั้งเป็นพรรคภูมิใจไทย และเข้าร่วมรัฐบาลขณะนั้น
ผมจะไม่ขอแจกแจงตัวเลข เพราะคิดว่า ทำไปก็ปวดหัวกันเปล่า ๆ รกเปล่า ๆ เดี๋ยวจะไม่อ่านกัน ก็เลยขอยกมาเฉพาะที่ผมสนใจอยากจะนำเสนอให้ทุกท่านอ่านเท่านั้น
(2). ใครที่ยังจำได้ว่า..ในการประชุม ครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีการอนุมัติงบประมาณ จำนวนเป็นนับแสนล้านบาท ภายในวันเดียว..ผมขอยกเนื้อข่าวมาบางส่วนดังนี้ (ขอบคุณ นสพ.มติชนออนไลน์)
อีกข่าว จากไทยรัฐ (ขอบคุณ นสพ.ไทยรัฐออนไลน์)
ในข่าว เขายังทำภาพกราฟฟิคไว้ดังนี้
อีกข่าวดังนี้
เอาล่ะ ก่อนที่จะมึนกัน ผมขอให้ทุกท่าน ดูข่าวตามภาพแรกและภาพสองก่อน..เห็นอะไรมั้ยครับ..วันเดียวอนุมัติงบประมาณไปได้ยังไงตั้งหลายหมื่นหลายแสนล้านขนาดนั้น??
ทำไปได้ยังไง..
โอเค ไม่ว่ากันครับ ทุกท่านดูภาพที่สามต่อ ในภาพข่าวจะบอกว่า พรก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาทนั้น จะเอาไปทำอะไรบ้าง ซึ่งเขาก็แจกแจงมา..
แต่ทีนี้ พอมาดูภาพที่ 4 นั่งอ่านทีละวรรค..ทีละตัว..ก็น่าสนใจตรงงบลับ จัดหาอุปกรณ์ตอบโต้กัมพูชา..จำนวน เอ่อ..ทำไรท่านดูเอาเองก็แล้วกัน
ผมขอยกข่าวจากรูปที่ 1 เต็ม ๆ มาให้อ่านอีกรอบ..เผื่อท่านสนใจ..ถ้าท่านไม่สนใจ ก็ข้ามได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
"...โครงการที่เสนอขอเข้ามาและผ่านการอนุมัติส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ใช้งบฯจำนวนมาก และเป็นงบฯผูกพัน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าโครงการที่ผ่านการอนุมัติแบ่งเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ คือ งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยกระทรวงกลาโหมรับไปเต็มๆ กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท กับโครงการที่เข้าข่ายประชานิยม ที่หวังผลคะแนนเสียงทางการเมือง
เพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั่นเอง!!
ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ตามที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เสนอ ซึ่ง ครม.อนุมัติกรอบสูงถึง 3,500 ล้านบาท แม้นายไตรรงค์จะยืนยันว่า จริงๆ แล้วโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2,250 ล้านบาท คำนวณจากการชดเชยให้กิโลกรัม (กก.) ละ 1.50 บาท ในปริมาณปุ๋ย 1.5 ล้านตัน ให้สิทธิกับเกษตรกรที่เคยมาลงทะเบียนประกันรายได้เกษตรกรเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 20% และเพิ่มผลผลิตได้ 5% ต่อไร่ ช่วยลดต้นทุนทั้งระบบกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
แม้ว่านักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ จะค้านกับแนวคิดดังกล่าว โดยอ้างว่าข้อเท็จจริงเกษตรกรยังคงซื้อปุ๋ยสูงกว่าราคาควบคุม สุดท้ายผลประโยชน์จึงตกอยู่กับบริษัทปุ๋ย อีกทั้งรัฐบาลยังมีโครงการประกันรายได้อยู่แล้ว ดังนั้น การชดเชยราคาปุ๋ยถือเป็นมาตรการช่วยเหลือที่ซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังโดยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ยังฉวยโอกาสช่วง ครม. 2 นัดส่งท้าย เสนอขออนุมัติออกสลากการกุศล 2 ครั้ง ครั้งแรกวงเงิน 8,000 ล้านบาท และครั้งถัดมาอีก 6,999 ล้านบาท ทั้งๆ ที่จากข้อมูลพบว่านับตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 จนถึงวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีสลากการกุศลที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้วกว่า 29,670 ล้านบาท ปัจจุบันสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้นำสลากเหล่านี้ออกขายเพียง 6,311 ล้านบาท จึงทำให้เหลือสลากการกุศลที่ยังไม่ได้นำไปจัดสรรโควต้า หรือไม่ได้นำไปวางแผนการจัดจำหน่ายอีก 23,359 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก
ไม่รู้ว่า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการออกสลากมอมเมาประชาชนมากขนาดนี้ แล้วเหตุใดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลับทักท้วงการอนุมัติสลากออนไลน์
ดูจะเป็นนโยบายที่สวนทางกัน...ใช่หรือไม่!!
ในทางตรงกันข้าม นโยบายสำคัญบางเรื่องที่ควรจะเร่งรัดให้มีผลปฏิบัติโดยเร็ว ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เงื้อง่ามานานเป็นปี แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถอนุมัติได้ ได้แก่ แนวทางการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ ซึ่งเอกชนถามไถ่และติดตามอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจะก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการทำธุรกิจ กลับได้รับคำตอบจากนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าเสนอไม่ทัน ทั้งที่ในฟากกระทรวงอุตสาหกรรมก็พยายามผลักดันอย่างเต็มที่ เนื่องจากโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่จะสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
แต่ล่าสุดเมื่อวัน ที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันอีกครั้งว่า คาดว่าจะไม่สามารถเสนอได้ทันรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากยังเหลือเรื่องที่ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.อีกมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรณ์ว่าจะนำเข้า ครม.นัดสุดท้ายนี้หรือไม่
เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง ที่สินค้าหลายชนิดทำท่าขยับราคาขึ้นกันเป็นแถว จนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภค กลับกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจาก ครม.น้อยลงทุกที โดย ครม.วันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีเพียงการมอบหมายให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ไปศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาไข่ไก่และเนื้อหมู เพื่อนำกลับมาเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะหวังพึ่ง ครม.นัดสุดท้ายให้ช่วยแก้ปัญหาได้จริง หรือแค่แตะๆ ไว้ไม่ให้ประชาชนหงุดหงิดใจเท่านั้น
คงต้องจับตากันแบบห้ามกะพริบ สำหรับการประชุม ครม.นัดสั่งลานี้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีการเสนอโครงการสารพัดเพื่อผูกพันงบประมาณเอาไว้ใช้ แน่นอนว่าเป็นการหวังผลซื้อใจประชาชนสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะมี ขึ้น
โดยขณะนี้มีโครงการจาก 2 กระทรวงเศรษฐกิจหลักที่เสนอเข้ามามากกว่าใครเพื่อน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม มีการเสนอโครงการเข้า ครม.กว่า 10 โครงการ มีการขอวงเงินงบประมาณรวมกันกว่า 32,393.05 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงหลักอีกแห่ง คือ กระทรวงการคลัง ก็ไม่น้อยหน้า มีทั้งโครงการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ปล่อยกู้ซื้อบ้าน ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จากราคาบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท กำหนดวงเงินสินเชื่อถึง 50,000 ล้านบาท
ยังไม่รวมโครงการของบประมาณ อีก 20,000-30,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้สินเชื่อปุ๋ยราคาถูก รวมถึงโครงการประกันภัยพืชผลเกษตรผู้ปลูกข้าวอีก 2,000 กว่าล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จแล้วเป็นเงินถึง 82,000 ล้านบาท
หากรวมโครงการที่เสนอเข้า ครม.นัดสุดท้าย คิดเป็นวงเงินสูงถึง 120,000 ล้านบาท!!
ยัง ไม่นับรวมโครงการจากกระทรวงอื่นๆ ที่มีกระแสข่าวว่า อาจใช้วิธี "สอดไส้" เข้ามาเป็นวาระจร เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ ไม่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองหลายขั้นตอน
ส่วนผล ครม.จะออกหัวหรือก้อย ใครได้ใครเสีย แล้วผลลัพธ์ที่ได้จะโยงไปสู่สนามการเลือกตั้ง ที่จะมีการจับกลุ่มหาก๊วน ต่อรองอำนาจ ทวงบุญคุณ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่
งานนี้ต้องรอดู..."
------------------------------------------------------------------
ประเด็นของกระทู้นี้ จึงมีอยุ่ว่า
(1). ในฐานะประชาชน พวกท่านได้รับ หรือ ได้เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม จากงบประมาณข้างต้นบ้าง??
(2). คดีทุจริตงบไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธาณสุข ที่ตอนนั้น คุณวิทยา แก้วภราดัย เป็น รมว. และ คุณมานิตย์ นบอมรบดี รมช.สาธารณสุข ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น ทุกวันนี้ ผลการสอบสวนไปถึงไหน จะให้ต้องรอแบบคดีรั้วกินได้ของ คุณรักเกียรติ สุขธนะ รมว.สาธารณสุข สมัยรัฐบาลนายชวน อีกหรือไม่ ถึงจะได้เห็นการตัดสินเรื่องราว?
(3). งบประมาณ กทม. ที่ได้รับการอนุมัติให้สร้างสนามฟุตซอลที่หนองจอกจำนวน พันกว่าล้านบาท ตอนนี้ใกล้จะเสร็จหรือยัง นักฟุตซอลอยากจะเตะเต็มทนแล้ว ฟีฟ่าเขารออยู่ เพราะคุณอภิสิทธิ์ สมัยเป็นนายก ฯ ประธานฟีฟ่าเขามาเยี่ยมที่ทำเนียบ คุณอภิสิทธิ์ก็เลยเสนอตัว ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ( เหมือน ๆ กับที่คุณอภิสิทธิ์ อยากจะเสนอตัวให้ไทยเป็นเจ้าภาพ World Expo ที่อยุธยา นั่นแหละ )
(4). ในเนื้อข่าวของคมชัดลึก (อ้างถึง
http://www.komchadluek.net/detail/20090819/24898/ครม.ผ่านแผนใช้เงินไทยเข้มแข็งลอตแรก2แสนล้าน.html#.UT87Y9anqHM ) มีบรรทัดหนึ่งเขียนว่า
".... โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจชั้นประทวน งบประมาณ 1,800 ล้านบาท มีการเบิกจ่าย 70% และรอจ่ายเงินจริงเมื่อตรวจรับอาคารที่พักอาศัย 99.65%.."
ซึ่งเป็นคำแถลงของคุณวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกรัฐบาลสมัยนั้นแถลงข่าว
คำถามก็คือว่า แฟลตตำรวจ (อันนี้ไม่เกี่ยวกับตัวอาคารโรงพักนะครับ อย่าปนกัน) สร้างเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว..แล้วโรงพักเสร็จหรือยัง?
ประเด็นของกระทู้นี้จึงมีคำถามมาเท่านี้
***รัฐบาลประชาธิปัตย์กู้เงินรวม 8 แสนล้าน...มีใครในประเทศไทยได้ใช้บ้าง?****
ทีนี้ ในกระทู้ก่อน มีการพาดพิงรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่กู้เงินมากว่า ผมก็เลยขอตั้งกระทู้ เพื่อ "เตือนความจำ" และถามพวกเราคนไทยหน่อยว่า มีใครได้ประโยชน์จากเงินกู้ของประชาธิปัตย์บ้าง และมีอะไรเป็นรูปธรรม จับต้องได้ สัมผัสได้บ้าง
ในส่วนตัวผม..จะขอเขียนในมุมมองของผม ดังนี้
เริ่มต้น
(1). ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล 2 ปี 7 เดือน สิ่งหนึ่งที่ประชาธิปัตย์ทำก็คือ การผ่านร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ต้องทำทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งจำได้ว่า สภาผู้แทน ฯ ในยุคของประชาธิปัตย์ ก็คือ ผู้แทนที่ "ฉก" เอามาจากพรรคพลังประชาชนของคุณสมัคร เอาไปตั้งเป็นพรรคภูมิใจไทย และเข้าร่วมรัฐบาลขณะนั้น
ผมจะไม่ขอแจกแจงตัวเลข เพราะคิดว่า ทำไปก็ปวดหัวกันเปล่า ๆ รกเปล่า ๆ เดี๋ยวจะไม่อ่านกัน ก็เลยขอยกมาเฉพาะที่ผมสนใจอยากจะนำเสนอให้ทุกท่านอ่านเท่านั้น
(2). ใครที่ยังจำได้ว่า..ในการประชุม ครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีการอนุมัติงบประมาณ จำนวนเป็นนับแสนล้านบาท ภายในวันเดียว..ผมขอยกเนื้อข่าวมาบางส่วนดังนี้ (ขอบคุณ นสพ.มติชนออนไลน์)
อีกข่าว จากไทยรัฐ (ขอบคุณ นสพ.ไทยรัฐออนไลน์)
ในข่าว เขายังทำภาพกราฟฟิคไว้ดังนี้
อีกข่าวดังนี้
เอาล่ะ ก่อนที่จะมึนกัน ผมขอให้ทุกท่าน ดูข่าวตามภาพแรกและภาพสองก่อน..เห็นอะไรมั้ยครับ..วันเดียวอนุมัติงบประมาณไปได้ยังไงตั้งหลายหมื่นหลายแสนล้านขนาดนั้น??
ทำไปได้ยังไง..
โอเค ไม่ว่ากันครับ ทุกท่านดูภาพที่สามต่อ ในภาพข่าวจะบอกว่า พรก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาทนั้น จะเอาไปทำอะไรบ้าง ซึ่งเขาก็แจกแจงมา..
แต่ทีนี้ พอมาดูภาพที่ 4 นั่งอ่านทีละวรรค..ทีละตัว..ก็น่าสนใจตรงงบลับ จัดหาอุปกรณ์ตอบโต้กัมพูชา..จำนวน เอ่อ..ทำไรท่านดูเอาเองก็แล้วกัน
ผมขอยกข่าวจากรูปที่ 1 เต็ม ๆ มาให้อ่านอีกรอบ..เผื่อท่านสนใจ..ถ้าท่านไม่สนใจ ก็ข้ามได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
"...โครงการที่เสนอขอเข้ามาและผ่านการอนุมัติส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ใช้งบฯจำนวนมาก และเป็นงบฯผูกพัน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าโครงการที่ผ่านการอนุมัติแบ่งเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ คือ งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยกระทรวงกลาโหมรับไปเต็มๆ กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท กับโครงการที่เข้าข่ายประชานิยม ที่หวังผลคะแนนเสียงทางการเมือง
เพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั่นเอง!!
ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ตามที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เสนอ ซึ่ง ครม.อนุมัติกรอบสูงถึง 3,500 ล้านบาท แม้นายไตรรงค์จะยืนยันว่า จริงๆ แล้วโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2,250 ล้านบาท คำนวณจากการชดเชยให้กิโลกรัม (กก.) ละ 1.50 บาท ในปริมาณปุ๋ย 1.5 ล้านตัน ให้สิทธิกับเกษตรกรที่เคยมาลงทะเบียนประกันรายได้เกษตรกรเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 20% และเพิ่มผลผลิตได้ 5% ต่อไร่ ช่วยลดต้นทุนทั้งระบบกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
แม้ว่านักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ จะค้านกับแนวคิดดังกล่าว โดยอ้างว่าข้อเท็จจริงเกษตรกรยังคงซื้อปุ๋ยสูงกว่าราคาควบคุม สุดท้ายผลประโยชน์จึงตกอยู่กับบริษัทปุ๋ย อีกทั้งรัฐบาลยังมีโครงการประกันรายได้อยู่แล้ว ดังนั้น การชดเชยราคาปุ๋ยถือเป็นมาตรการช่วยเหลือที่ซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังโดยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ยังฉวยโอกาสช่วง ครม. 2 นัดส่งท้าย เสนอขออนุมัติออกสลากการกุศล 2 ครั้ง ครั้งแรกวงเงิน 8,000 ล้านบาท และครั้งถัดมาอีก 6,999 ล้านบาท ทั้งๆ ที่จากข้อมูลพบว่านับตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 จนถึงวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีสลากการกุศลที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้วกว่า 29,670 ล้านบาท ปัจจุบันสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้นำสลากเหล่านี้ออกขายเพียง 6,311 ล้านบาท จึงทำให้เหลือสลากการกุศลที่ยังไม่ได้นำไปจัดสรรโควต้า หรือไม่ได้นำไปวางแผนการจัดจำหน่ายอีก 23,359 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก
ไม่รู้ว่า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการออกสลากมอมเมาประชาชนมากขนาดนี้ แล้วเหตุใดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลับทักท้วงการอนุมัติสลากออนไลน์
ดูจะเป็นนโยบายที่สวนทางกัน...ใช่หรือไม่!!
ในทางตรงกันข้าม นโยบายสำคัญบางเรื่องที่ควรจะเร่งรัดให้มีผลปฏิบัติโดยเร็ว ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เงื้อง่ามานานเป็นปี แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถอนุมัติได้ ได้แก่ แนวทางการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ ซึ่งเอกชนถามไถ่และติดตามอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจะก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการทำธุรกิจ กลับได้รับคำตอบจากนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าเสนอไม่ทัน ทั้งที่ในฟากกระทรวงอุตสาหกรรมก็พยายามผลักดันอย่างเต็มที่ เนื่องจากโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่จะสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
แต่ล่าสุดเมื่อวัน ที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันอีกครั้งว่า คาดว่าจะไม่สามารถเสนอได้ทันรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากยังเหลือเรื่องที่ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.อีกมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรณ์ว่าจะนำเข้า ครม.นัดสุดท้ายนี้หรือไม่
เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง ที่สินค้าหลายชนิดทำท่าขยับราคาขึ้นกันเป็นแถว จนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภค กลับกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจาก ครม.น้อยลงทุกที โดย ครม.วันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีเพียงการมอบหมายให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ไปศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาไข่ไก่และเนื้อหมู เพื่อนำกลับมาเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะหวังพึ่ง ครม.นัดสุดท้ายให้ช่วยแก้ปัญหาได้จริง หรือแค่แตะๆ ไว้ไม่ให้ประชาชนหงุดหงิดใจเท่านั้น
คงต้องจับตากันแบบห้ามกะพริบ สำหรับการประชุม ครม.นัดสั่งลานี้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีการเสนอโครงการสารพัดเพื่อผูกพันงบประมาณเอาไว้ใช้ แน่นอนว่าเป็นการหวังผลซื้อใจประชาชนสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะมี ขึ้น
โดยขณะนี้มีโครงการจาก 2 กระทรวงเศรษฐกิจหลักที่เสนอเข้ามามากกว่าใครเพื่อน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม มีการเสนอโครงการเข้า ครม.กว่า 10 โครงการ มีการขอวงเงินงบประมาณรวมกันกว่า 32,393.05 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงหลักอีกแห่ง คือ กระทรวงการคลัง ก็ไม่น้อยหน้า มีทั้งโครงการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ปล่อยกู้ซื้อบ้าน ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จากราคาบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท กำหนดวงเงินสินเชื่อถึง 50,000 ล้านบาท
ยังไม่รวมโครงการของบประมาณ อีก 20,000-30,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้สินเชื่อปุ๋ยราคาถูก รวมถึงโครงการประกันภัยพืชผลเกษตรผู้ปลูกข้าวอีก 2,000 กว่าล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จแล้วเป็นเงินถึง 82,000 ล้านบาท
หากรวมโครงการที่เสนอเข้า ครม.นัดสุดท้าย คิดเป็นวงเงินสูงถึง 120,000 ล้านบาท!!
ยัง ไม่นับรวมโครงการจากกระทรวงอื่นๆ ที่มีกระแสข่าวว่า อาจใช้วิธี "สอดไส้" เข้ามาเป็นวาระจร เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ ไม่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองหลายขั้นตอน
ส่วนผล ครม.จะออกหัวหรือก้อย ใครได้ใครเสีย แล้วผลลัพธ์ที่ได้จะโยงไปสู่สนามการเลือกตั้ง ที่จะมีการจับกลุ่มหาก๊วน ต่อรองอำนาจ ทวงบุญคุณ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่
งานนี้ต้องรอดู..."
------------------------------------------------------------------
ประเด็นของกระทู้นี้ จึงมีอยุ่ว่า
(1). ในฐานะประชาชน พวกท่านได้รับ หรือ ได้เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม จากงบประมาณข้างต้นบ้าง??
(2). คดีทุจริตงบไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธาณสุข ที่ตอนนั้น คุณวิทยา แก้วภราดัย เป็น รมว. และ คุณมานิตย์ นบอมรบดี รมช.สาธารณสุข ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น ทุกวันนี้ ผลการสอบสวนไปถึงไหน จะให้ต้องรอแบบคดีรั้วกินได้ของ คุณรักเกียรติ สุขธนะ รมว.สาธารณสุข สมัยรัฐบาลนายชวน อีกหรือไม่ ถึงจะได้เห็นการตัดสินเรื่องราว?
(3). งบประมาณ กทม. ที่ได้รับการอนุมัติให้สร้างสนามฟุตซอลที่หนองจอกจำนวน พันกว่าล้านบาท ตอนนี้ใกล้จะเสร็จหรือยัง นักฟุตซอลอยากจะเตะเต็มทนแล้ว ฟีฟ่าเขารออยู่ เพราะคุณอภิสิทธิ์ สมัยเป็นนายก ฯ ประธานฟีฟ่าเขามาเยี่ยมที่ทำเนียบ คุณอภิสิทธิ์ก็เลยเสนอตัว ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ( เหมือน ๆ กับที่คุณอภิสิทธิ์ อยากจะเสนอตัวให้ไทยเป็นเจ้าภาพ World Expo ที่อยุธยา นั่นแหละ )
(4). ในเนื้อข่าวของคมชัดลึก (อ้างถึง http://www.komchadluek.net/detail/20090819/24898/ครม.ผ่านแผนใช้เงินไทยเข้มแข็งลอตแรก2แสนล้าน.html#.UT87Y9anqHM ) มีบรรทัดหนึ่งเขียนว่า
".... โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจชั้นประทวน งบประมาณ 1,800 ล้านบาท มีการเบิกจ่าย 70% และรอจ่ายเงินจริงเมื่อตรวจรับอาคารที่พักอาศัย 99.65%.."
ซึ่งเป็นคำแถลงของคุณวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกรัฐบาลสมัยนั้นแถลงข่าว
คำถามก็คือว่า แฟลตตำรวจ (อันนี้ไม่เกี่ยวกับตัวอาคารโรงพักนะครับ อย่าปนกัน) สร้างเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว..แล้วโรงพักเสร็จหรือยัง?
ประเด็นของกระทู้นี้จึงมีคำถามมาเท่านี้