จขกท.เพิ่งทราบข้อมูลว่า โครงการนี้เริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน…ผ่านมาถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์…จนถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
โครงการถูกยกมาเป็นประเด็นของสื่อเมื่อ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นำข้อมูลมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง
และดังที่ทราบการวิจารณ์กลับมุ่งเน้นและโจมตี เฉพาะประเด็นการรวมสัญญาจ้าง ที่กระทำในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ด้วยความแรงและเพราะเจาะเพียงประเด็นเดียว เกือบจะทำให้สังคม "เชื่อ"ไปแล้วว่า นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ มีความไม่โปร่งใสในการอนุมัติโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ได้ส่งหนังสือเรียกทั้ง อดีตนายกฯและรองนายกฯ ไปให้ปากคำ
จึงเสมือนเป็นการย้ำให้สังคม "เทใจ" กับ "ความเชื่อ" ที่สื่อต่างๆกำลังป้อนให้
ดั่งทฤษฎี "ธรรมชาติสร้างสมดุล"
เมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้นำข้อมูลและเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสัญญาของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มาเปิดเผย
นั่นแหละคะ ประเด็นจึงถูกขยายให้กว้างและครอบคลุมมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ จขกท.จึงขอเรียงลำดับเหตุการณ์ที่รวบรวมจากสื่อ เพื่อเข้าใจในสาระสำคัญและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้นค่ะ
ขอเรียนชี้แจงไว้ตรงนี้ว่า จขกท.ไม่ปักใจว่าใคร“โกง” หรือ "ไม่" และไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆในการเรียงลำดับข้อมูล
เพียงต้องการแสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมาชิกห้องนี้ค่ะ
จะขอบคุณและยินดีถ้าท่านสมาชิกจะนำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาสมทบนะคะ
V
V
V
เพื่อง่ายแก่การทำความเข้าใจ จขกท.ขอแยกกระบวนการทำงานเป็น 6 ขั้นตอนค่ะ
เรียงลำดับดังนี้
1.ต้นกำเนิดโครงการ
โครงการเริ่มตั้งแต่รัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นมีมติเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 อนุมัติในหลักการให้ สตช.และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ร่วมกันก่อสร้าง
ซึ่ง สตช.ได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณา และเห็นว่าถ้าดำเนินการตามมติ ครม. ดังกล่าว จะทำให้ค่าใช้จ่ายของโครงการสูงกว่า 17,679 ล้านบาท
สตช.จึงขอให้ ครม.พิจารณาใหม่ โดยใช้วิธีการตั้งงบประมาณปกติผูกพัน 3 ปี ซึ่งจะใช้งบในการก่อสร้าง 6,672 ล้านบาท
2.ครม.อภิสิทธิ์อนุมัติโครงการ
สตช.ก็ทำหนังสือลงวันที่ 9 ม.ค.2552 เสนอนายสุเทพ (รัฐบาลนายสมชายพ้นหน้าที่) ซึ่งลงนามให้ความเห็นชอบเสนอให้ ครม.พิจารณาเมื่อ 22 ม.ค.52 และ ครม.ก็ได้อนุมัติตามข้อเสนอของ สตช.ในวันที่ 17 ก.พ.52
3.วิธีการจัดซื้อ จัดจ้าง
วันที่ 29 พ.ค.52 พล.ต.อ.พัชรวาทได้ทำหนังสือถึงนายสุเทพ เพื่อให้ความเห็นชอบการจัดซื้อจัดจ้างในส่วนกลางแบบรวมการครั้งเดียว สัญญาเดียว แยกเสนอรายการเป็นรายภาค โดยให้กองพลาธิการและกรมสรรพาวุธดำเนินการ
การดำเนินการแล้วเสร็จในสมัยพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
4.ประกวดราคา
การก่อสร้างโครงการสถานีตำรวจทดแทนได้ประกวดราคาด้วยวิธีการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยประกวดราคาพร้อมขายแบบ รวมทั้งมีผู้สนใจซื้อแบบ 10 ราย กำหนดยื่นซอง 20 ก.ค.53 มีผู้ยื่นซอง 5 ราย และคณะกรรมการประกวดราคาตรวจสอบเอกสารประกวดราคาถูกต้องตามเงื่อนไขของทางราชการทั้ง 5 ราย
ซึ่งบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด 5,848 ล้านบาท คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณาว่าเป็นราคาเหมาะสม ไม่เกินราคากลางของราชการ และไม่เกินวงเงินที่ได้รับจัดสรร จึงมีมติเห็นควรรับราคาจากบริษัท พีซีซีฯ และสำนักงบประมาณก็ให้ความเห็นชอบ
5.อนุมัติจ้างบริษัทพีซีซีฯ
สตช.พิจารณาเห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาดำเนินการตามระเบียบแล้ว เสนอมาที่รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลกำกับ สตช.เพื่อเห็นชอบว่าจ้างบริษัทพีซีซีฯ ในวันที่ 7 ต.ค.53
^
^
^
เป็น 5 ขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เสร็จสิ้น ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี นับจากความคิดริเริ่มและอนุมัติในหลักการที่ สตช.เสนอ ในรัฐบาลสมชาย (6 พ.ย. 2550) จนถึงวันอนุมัติว่าจ้าง บริษัทพีซีซีฯ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในวันที่ 7 ต.ค. 2553
ณ.ขณะนั้น แน่นอนว่า ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น
๐๐๐๐๐ ภาพรวมใหญ่สร้างโรงพักทดแทน 369 แห่ง ๐๐๐๐๐
โครงการถูกยกมาเป็นประเด็นของสื่อเมื่อ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นำข้อมูลมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง
และดังที่ทราบการวิจารณ์กลับมุ่งเน้นและโจมตี เฉพาะประเด็นการรวมสัญญาจ้าง ที่กระทำในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ด้วยความแรงและเพราะเจาะเพียงประเด็นเดียว เกือบจะทำให้สังคม "เชื่อ"ไปแล้วว่า นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ มีความไม่โปร่งใสในการอนุมัติโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ได้ส่งหนังสือเรียกทั้ง อดีตนายกฯและรองนายกฯ ไปให้ปากคำ
จึงเสมือนเป็นการย้ำให้สังคม "เทใจ" กับ "ความเชื่อ" ที่สื่อต่างๆกำลังป้อนให้
ดั่งทฤษฎี "ธรรมชาติสร้างสมดุล"
เมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้นำข้อมูลและเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสัญญาของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มาเปิดเผย
นั่นแหละคะ ประเด็นจึงถูกขยายให้กว้างและครอบคลุมมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ จขกท.จึงขอเรียงลำดับเหตุการณ์ที่รวบรวมจากสื่อ เพื่อเข้าใจในสาระสำคัญและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้นค่ะ
ขอเรียนชี้แจงไว้ตรงนี้ว่า จขกท.ไม่ปักใจว่าใคร“โกง” หรือ "ไม่" และไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆในการเรียงลำดับข้อมูล
เพียงต้องการแสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมาชิกห้องนี้ค่ะ
จะขอบคุณและยินดีถ้าท่านสมาชิกจะนำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาสมทบนะคะ
V
V
V
เพื่อง่ายแก่การทำความเข้าใจ จขกท.ขอแยกกระบวนการทำงานเป็น 6 ขั้นตอนค่ะ
เรียงลำดับดังนี้
1.ต้นกำเนิดโครงการ
โครงการเริ่มตั้งแต่รัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นมีมติเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 อนุมัติในหลักการให้ สตช.และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ร่วมกันก่อสร้าง
ซึ่ง สตช.ได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณา และเห็นว่าถ้าดำเนินการตามมติ ครม. ดังกล่าว จะทำให้ค่าใช้จ่ายของโครงการสูงกว่า 17,679 ล้านบาท
สตช.จึงขอให้ ครม.พิจารณาใหม่ โดยใช้วิธีการตั้งงบประมาณปกติผูกพัน 3 ปี ซึ่งจะใช้งบในการก่อสร้าง 6,672 ล้านบาท
2.ครม.อภิสิทธิ์อนุมัติโครงการ
สตช.ก็ทำหนังสือลงวันที่ 9 ม.ค.2552 เสนอนายสุเทพ (รัฐบาลนายสมชายพ้นหน้าที่) ซึ่งลงนามให้ความเห็นชอบเสนอให้ ครม.พิจารณาเมื่อ 22 ม.ค.52 และ ครม.ก็ได้อนุมัติตามข้อเสนอของ สตช.ในวันที่ 17 ก.พ.52
3.วิธีการจัดซื้อ จัดจ้าง
วันที่ 29 พ.ค.52 พล.ต.อ.พัชรวาทได้ทำหนังสือถึงนายสุเทพ เพื่อให้ความเห็นชอบการจัดซื้อจัดจ้างในส่วนกลางแบบรวมการครั้งเดียว สัญญาเดียว แยกเสนอรายการเป็นรายภาค โดยให้กองพลาธิการและกรมสรรพาวุธดำเนินการ
การดำเนินการแล้วเสร็จในสมัยพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
4.ประกวดราคา
การก่อสร้างโครงการสถานีตำรวจทดแทนได้ประกวดราคาด้วยวิธีการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยประกวดราคาพร้อมขายแบบ รวมทั้งมีผู้สนใจซื้อแบบ 10 ราย กำหนดยื่นซอง 20 ก.ค.53 มีผู้ยื่นซอง 5 ราย และคณะกรรมการประกวดราคาตรวจสอบเอกสารประกวดราคาถูกต้องตามเงื่อนไขของทางราชการทั้ง 5 ราย
ซึ่งบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด 5,848 ล้านบาท คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณาว่าเป็นราคาเหมาะสม ไม่เกินราคากลางของราชการ และไม่เกินวงเงินที่ได้รับจัดสรร จึงมีมติเห็นควรรับราคาจากบริษัท พีซีซีฯ และสำนักงบประมาณก็ให้ความเห็นชอบ
5.อนุมัติจ้างบริษัทพีซีซีฯ
สตช.พิจารณาเห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาดำเนินการตามระเบียบแล้ว เสนอมาที่รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลกำกับ สตช.เพื่อเห็นชอบว่าจ้างบริษัทพีซีซีฯ ในวันที่ 7 ต.ค.53
^
^
^
เป็น 5 ขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เสร็จสิ้น ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี นับจากความคิดริเริ่มและอนุมัติในหลักการที่ สตช.เสนอ ในรัฐบาลสมชาย (6 พ.ย. 2550) จนถึงวันอนุมัติว่าจ้าง บริษัทพีซีซีฯ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในวันที่ 7 ต.ค. 2553
ณ.ขณะนั้น แน่นอนว่า ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น