. กฎสูงสุด (กฎอิทัปปัจจยตา)นี้ได้บอกความลับที่สำคัญให้กับเรา ๓ ประการ คือ
๑. สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนไม่มีตัวตนที่แท้จริง (ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง)
๒. สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยงแท้หรือถาวร (ไม่เป็นอมตะ)
๓. สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนต้องทนที่จะประคับประคองตัวตนของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา (ต้องทน)
เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา ดังนั้นจึงหาตัวตนที่แท้จริงที่เป็นตัวตนของมันเองไม่มี ส่วนตัวตนที่มีก็เป็นเพียง “ตัวตนชั่วคราว” หรือ “ตัวตนมายา” หรือ “ตัวตนสมมติ” เท่านั้น คือมันก็มีตัวตนอยู่เหมือนกัน แต่เป็นตัวตนที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร เหมือนการหลอกลวงว่ามีตัวตนจริงๆทั้งๆที่ไม่ได้มีอยู่จริง
เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา เมื่อเหตุที่มาปรุงแต่งนั้นเสื่อมสลายหรือดับหายไป ก็จะทำให้สิ่งปรุงแต่งนั้นต้องพลอยเสื่อมสลายหรือดับหายตามไปด้วยทันที ซึ่งนี่คือความไม่เที่ยงแท้หรือไม่ถาวรของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ที่จะต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือดับหายไป (ใช้กับจิต) ในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาแล้วจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรโดยไม่แตกสลายหรือดับหายไปได้
เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา ดังนั้นตัวตนที่เกิดขึ้นมานี้จึงต้องทนประคับประคองเหตุทั้งหลายของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ทนประคับประคองเหตุของมันเอาไว้ ตัวตนของมันก็จะแตกสลายหรือดับหายไปทันที ซึ่งความยากลำบากในการประคับประคองเหตุของมันนี้ ก็มีทั้งความยากลำบากในการแสวงหาเหตุมาปรุงแต่งเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ และความยากลำบากในการเกาะกุมเหตุภายในของมันเอาไว้ไม่ให้เสื่อมสลายหายไป รวมทั้งความยากลำบากในการป้องกันสิ่งภายนอก ที่จะมาทำลายเหตุภายในของมันให้แตกสลายหรือดับหายไปอีกด้วย
(จาก
http://www.whatami.net/for/bud.html )
กฎสูงสุดนี้บอกความลับอะไรกับเราบ้าง?
๑. สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนไม่มีตัวตนที่แท้จริง (ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง)
๒. สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยงแท้หรือถาวร (ไม่เป็นอมตะ)
๓. สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนต้องทนที่จะประคับประคองตัวตนของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา (ต้องทน)
เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา ดังนั้นจึงหาตัวตนที่แท้จริงที่เป็นตัวตนของมันเองไม่มี ส่วนตัวตนที่มีก็เป็นเพียง “ตัวตนชั่วคราว” หรือ “ตัวตนมายา” หรือ “ตัวตนสมมติ” เท่านั้น คือมันก็มีตัวตนอยู่เหมือนกัน แต่เป็นตัวตนที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร เหมือนการหลอกลวงว่ามีตัวตนจริงๆทั้งๆที่ไม่ได้มีอยู่จริง
เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา เมื่อเหตุที่มาปรุงแต่งนั้นเสื่อมสลายหรือดับหายไป ก็จะทำให้สิ่งปรุงแต่งนั้นต้องพลอยเสื่อมสลายหรือดับหายตามไปด้วยทันที ซึ่งนี่คือความไม่เที่ยงแท้หรือไม่ถาวรของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ที่จะต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือดับหายไป (ใช้กับจิต) ในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาแล้วจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรโดยไม่แตกสลายหรือดับหายไปได้
เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา ดังนั้นตัวตนที่เกิดขึ้นมานี้จึงต้องทนประคับประคองเหตุทั้งหลายของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบากอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ทนประคับประคองเหตุของมันเอาไว้ ตัวตนของมันก็จะแตกสลายหรือดับหายไปทันที ซึ่งความยากลำบากในการประคับประคองเหตุของมันนี้ ก็มีทั้งความยากลำบากในการแสวงหาเหตุมาปรุงแต่งเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ และความยากลำบากในการเกาะกุมเหตุภายในของมันเอาไว้ไม่ให้เสื่อมสลายหายไป รวมทั้งความยากลำบากในการป้องกันสิ่งภายนอก ที่จะมาทำลายเหตุภายในของมันให้แตกสลายหรือดับหายไปอีกด้วย
(จาก http://www.whatami.net/for/bud.html )