สิ่งที่ไม่ต้องเลือก - บทความดีๆเกี่ยวกับ รถยนตร์ บัสเลน และไบค์เลน ครับ

กระทู้สนทนา
ลิงก์ต้นฉบับ - http://thaipublica.org/2013/02/why-must-we-choose

------------------------------------------------------

มีคนตั้งคำถามที่น่าสนใจกับผมว่า ระหว่าง ‘บัสเลน’ กับ ‘ไบค์เลน’ นั้น ผมจะเลือกอะไร

หลายคนคิดว่าเมื่อผมขี่จักรยาน ผมจะต้องเรียกร้อง ‘ทางจักรยาน’ หรือ ‘ไบค์เลน’ ไปด้วยราวกับสองสิ่งนี้มาคู่กันเหมือนค่าตั้งต้นในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่หากติดตามกันมาพอสมควร อาจเห็นว่าผมไม่เคยเรียกร้องว่า ‘ต้องมี’ ทางจักรยานเลย

แต่ก็อีกนั่นแหละ การไม่ได้เรียกร้องให้มีทางจักรยาน-ไม่ได้แปลว่ามันไม่สมควรจะมี!

ทุกวันนี้ ผมใช้จักรยานไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระตามสมควร เมื่อไม่มีทางจักรยาน ผมก็ขี่ไปบนพื้นผิวจราจรเดียวกันกับรถยนต์ด้วยสำนึกที่ว่า ยานพาหนะต่างๆ ควรจะมี ‘สิทธิ’ ที่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ก็เพราะถนนนั้นใช้ภาษีส่วนกลางมา สร้าง แม้รถยนต์จะเสียภาษีประจำปี แต่ไม่ได้แปลว่ารถยนต์จะมี ‘อภิสิทธิ์’ ในการครอบครองถนนมากกว่ายานพาหนะอื่นๆ รวมถึงคนเดินเท้าด้วย แต่ ‘วัฒนธรรมรถยนต์’ มักทำให้เราคิดอย่างนั้น

วัฒนธรรมรถยนต์สอนเรามาตั้งแต่เด็กๆ ให้เราเกิดความ ‘กลัว’ และ ‘เกรง’ รถยนต์ เวลาเดินอยู่ในซอยแล้วมีรถยนต์แล่นผ่าน เหล่าแม่ๆ มักจะรีบบอกลูกๆ เสียงเขียวว่า “ระวังรถนะลูก ระวังรถ!” แล้วแม่ก็ ‘พา’ ลูกให้หลบรถจนตัวลีบ

ปรากฏการณ์นี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ที่จริงแล้วมันคือการ ‘ปลูกฝัง’ วิธีคิดแบบ ‘กลัว’ รถยนต์ ให้ลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของคน เมื่อคนไม่ทระนงองอาจมากพอที่จะยืนหยัดใน ‘สิทธิ’ ของตัวเองที่จะ ‘เดินถนน’ ได้อย่างภาคภูมิใจในความเป็นคนเดินถนน และรถยนต์ต้องเป็นฝ่าย ‘ระวัง’ เสียแล้ว รถยนต์ก็ได้ปล้นชิงเองความภาคภูมินั้นไปแทน คนเดินถนนต้อง ‘หลบ’ รถตลอดเวลา แม้กระทั่งเดินอยู่บนทางเท้าแล้วมีรถแล่นออกมาจากซอยเพื่อจะมายังถนนใหญ่ รถก็มัก ‘ถือสิทธิ’ อะไรบางอย่างว่าตัวเองนั้น ‘เป็นใหญ่’ กว่า ด้วยการออกมาชะงักรอการจราจรคาอยู่ที่ปากซอย ปล่อยให้ ‘คน’ ต้องค่อยๆ เดินทำตัวลีบอ้อมไป

เปล่าเลย-คนข้ามถนนไม่เคยเดินอ้อมตัดไป ‘ด้านหน้า’ ของรถ แต่พวกเขามักเดินอ้อมไป ‘ด้านหลัง’ เสมอ ราวกับว่ารถยนต์เป็นท่านเจ้าคุณที่นั่งอยู่ในบ้าน และการเผยอหน้าไปให้ท่านเห็น ก็อาจถูกท่านลงทัณฑ์เอาได้ด้วยการขับชน

นั่นคือความ ‘กลัว’ รถยนต์ เป็นความกลัวเชิงกายภาพ เป็นความกลัวเชิงรูปธรรมมหึมาที่พกพาพลังงานและ ‘อำนาจ’ มหาศาลเอาไว้ในความเร็วแรงและน้ำหนัก (ซึ่งก็คือโมเมนตัม) ของมัน

แต่นอกจากความ ‘กลัว’ แล้ว เรายัง ‘ยำเกรง’ รถยนต์อีกด้วย คราวนี้ไม่ใช่ด้วยโมเมนตัมที่อาจทำร้ายเราทางกายภาพ ทว่าคือความ ‘ยำเกรง’ ในเรื่องของศักดิ์ศรี ยิ่งเป็นรถยนต์ยี่ห้อหรู มันปลาบ แวววับ สูงค่า สง่างามมากเพียงใด เราก็ยิ่ง ‘ยำเกรง’ ใน ‘สถานภาพ’ ของทั้งตัวรถยนต์และคนที่เป็นเจ้าของมากเท่านั้น

ความ ‘กลัว’ ที่แทรกตัวอยู่ใน ‘วัฒนธรรมรถยนต์’ ของคนไทยจึงซับซ้อนกว่าที่เราคิดนัก มันเป็นความกลัวเกรงที่ถูกปลูกฝังหลายชั้น หลายสถานะ เมื่อเราทั้งกลัวและยำเกรงรถยนต์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่รถยนต์จะกลายมาเป็น ‘วัตถุ’ ที่เลอค่าที่สุดในการสัญจร และเมื่อมันเลอค่าที่สุด เวลาที่สังคมไทยคิดสร้าง ‘ถนน’ เราจึงไม่นึกถึงถนนในรูปแบบอื่นใด นอกจากการสร้าง ‘พื้นที่’ ที่เราคิดว่าเป็น ‘สาธารณะ’ แต่ที่จริงแล้วกลับสร้างขึ้นเพื่อ ‘ยัด’ เอา ‘พื้นที่ส่วนตัว’ ของคนในรถยนต์ลงไปบนพื้นที่สาธารณะนั้น และไม่เคยคิด ‘เผื่อ’ พื้นที่ถนนให้กับส่ำสัตว์ร่วมโลกยานพาหนะอื่นอย่างจริงใจเลย

ที่ผมไม่เคยเรียกร้องทางจักรยานก็เพราะผมมองว่า ในสังคมที่ยังมีความเหลื่อมล้ำในเชิงการให้คุณค่าระหว่างยานพาหนะแบบนี้ ก็คล้ายกับอเมริกาในยุคหลังสงครามกลางเมือง ที่คนขาวยังคิดอยู่ลึกๆ (โดยมีทั้งกลุ่มที่เปล่งเสียงออกมาดังๆ และกลุ่มที่ไม่ได้พูดออกมาดังๆ ) ว่าตนมีความ ‘เหนือกว่า’ คนดำ โดยที่รถยนต์นั้นเปรียบได้กับคนขาว ในขณะที่ยานพาหนะอื่นๆ ที่มีสัญญะ ‘ด้อยกว่า’ นั้นเปรียบได้กับคนดำ ไม่ว่าจะเป็นจักรยานหรือรถเมล์

ในสังคมอเมริกันยุคนั้น การเรียกร้อง ‘พื้นที่’ ให้คนดำ ส่งผลให้เกิดนโยบาย Segregation หรือการ ‘แบ่งแยก’ พื้นที่ระหว่างคนขาวกับคนดำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือหนังเรื่อง The Help ที่ก่อให้เกิดความร้าวลึกระหว่างคนสองสีผิว โดยคนขาวนั้นอ้างว่าการแบ่งแยกพื้นที่ระหว่างคนขาวกับคนดำ ไม่ว่าจะในสระว่ายน้ำ ในโบสถ์ หรือแม้กระทั่งบนรถเมล์ ก็คือการ ‘ยอมรับ’ ว่าคนดำนั้นมีความเสมอภาคเท่าเทียมกับคนขาว แต่กระนั้น แกก็ต้องอยู่ในพื้นที่ของแกนะ ฉันก็จะอยู่ในพื้นที่ของฉัน อย่าสะเออะมาอยู่ในพื้นที่เดียวกันเป็นอันขาด (ยกเว้นเวลามาทำหน้าที่) มันจึงเป็นความเท่าเทียมในสองจักรวาลที่แยกขาดจากกัน ความพยายามใดๆ ที่จะฝ่าฝืนการแบ่งแยกนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงตามมา

ผมคิดว่า การเรียกร้องทางจักรยานในเมืองไทยนั้น หากประสบความสำเร็จโดยไม่ผ่านการสร้างความเข้าใจในเรื่อง ‘สิทธิ’ ที่ลึกซึ้ง ในที่สุดก็ ‘อาจ’ ก่อให้เกิดผลเชิง Segregation หรือการ ‘แบ่งแยก’ พื้นที่เหมือนกรณีคนดำคนขาวได้ไม่ยากนัก นั่นก็คือ หลายคนอาจมีความเห็นว่าเมื่อมีเลนจักรยานแล้ว จักรยานก็ควรจะอยู่ส่วนจักรยาน รถยนต์ก็ควรจะอยู่ส่วนรถยนต์ ใครอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น เมื่อฉันแบ่งที่ให้แกแล้ว ก็อย่าได้ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของฉันอีก แต่ที่ต่างจากกรณี Segregation เรื่องสีผิวในอเมริกาก็คือ ข้ออ้างในเรื่องนี้จะวางอยู่บนฐานเรื่อง ‘ความหวังดี’ ที่จะสร้าง ‘ความปลอดภัย’ ให้เกิดแก่ทั้งจักรยานและรถยนต์ ซึ่งฟังดูดีไม่น้อย แต่วิธีคิดที่ซ่อนอยู่ก็คือการบอกว่าจักรยานต้องอยู่เฉพาะในที่ที่จัดให้เท่านั้น ซึ่งผมอยากจะเรียกวิธีคิดนี้ว่า Absolute Segregation

(...มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่