ขออภัยหาก Tag หลายห้อง อยากทราบความคิดเห็นหลากหลาย หากมองผลกระทบทางตรงน่าจะกระทบระหว่างธนาคารกับผู้กู้ที่เป็นหนี้เสีย
คำถาม
1. จะมีผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงมีโอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มากน้อยแค่ไหน
2. จะมีผลกระทบต่อผู้เป็นหนี้ปกติ มากน้อยแค่ไหน
3. จะแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไรในฐานะประชาชนทั่วไป เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
http://www.komchadluek.net/detail/20130228/152819/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88.html#.US78aKKLCrE
หนี้ครัวเรือนสัญญาณเสี่ยงเศรษฐกิจ
หนี้ครัวเรือนสัญญาณเสี่ยงเศรษฐกิจ : บทบรรณาธิการประจำวันที่28ก.พ.2556
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมตลอดปี 2555 มีหลายเรื่องที่น่าเป็นห่วงและอาจกลายเป็นวิกฤติต่อไปในภายหน้าได้ โดยเฉพาะหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม คือ ครอบครัวหรือครัวเรือน ที่พบว่ามีความเสี่ยงเป็นหนี้ซ้ำซ้อนจากการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากตัวเลขยอดค้างสินเชื่อเพื่อการบริโภคและอุปโภคที่มีรวมสูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท ที่ยิ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ การผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ขณะที่ตัวเลขหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเรียกกันว่า หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอลนั้น จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มเป็นร้อยละ 20.5 จะว่าไปแล้วก็คือ ในผู้กู้ 5 รายจะเป็นหนี้เสีย 1 ราย เป็นอัตราที่สูงมาก
ในทางกลับกันอัตราการออมภาคครัวเรือนได้ลดลงต่ำเพียง ร้อยละ 5 ของจีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และจากข้อมูลในปี 2554 ระบุว่า ร้อยละ 54 ของครัวเรือนไทยไม่มีความสามารถในการออมเงิน จึงเกิดคำถามว่า การก่อหนี้ของครัวเรือนเกิดประโยชน์ใช้อย่างคุ้มค่าเพียงใด ก็พบว่า สาเหตุมาจากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น รถคันแรก การส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์จนมีความกังวลว่าจะเกิดฟองสบู่รอบใหม่ หรือการปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตของกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางหรือมนุษย์เงินเดือน โดยไม่มีการควบคุม จนก่อเกิดเป็นภาระหนี้ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง ฉะนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ประชาชนไม่มีการวางแผนใช้เงินอย่างรอบคอบ และการที่รัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่ายเกินไปหรือไม่
ปัจจัยการออมที่สำคัญที่สุด รายได้ ที่ต้องเพียงพอกับการใช้จ่ายสิ่งพื้นฐานและเหลือพอจะเก็บ แม้รัฐบาลได้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ แต่มาตรการดังกล่าวได้ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อผลกระทบของเงินเฟ้อไปหักล้างกับรายได้ เท่ากับว่าการขึ้นค่าจ้างจึงแทบไม่มีผลต่อรายได้ที่แท้จริง สิ่งที่รัฐบาลควรคำนึงอัตราเงินเฟ้อต้องควบคุมไม่ให้สูงจนเกิดความเสี่ยง และควบคุมการก่อหนี้ภาคครัวเรือนไม่ให้ขยายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ และต้องอย่าลืมวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 ทำให้ประเทศไทยต้องใช้เวลาฟื้นตัวนับสิบปี สาเหตุก็คล้ายกับสภาวะที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงมีนักวิชาการออกมาเตือนตลอดว่าให้ระวังจะซ้ำรอยในอดีตได้ แต่ดูเหมือนรัฐบาลทำหูทวนลม ท่องแต่คาถาเอาอยู่
แม้จะมีการส่งเสริมการออมระยะยาวด้วยการประกันชีวิต นำไปหักลดหย่อนภาษีได้เป็นแรงจูงใจ แต่การรณรงค์เพื่อสร้างเงินออมระดับประเทศ การระดมเงินออมเป็นสิ่งที่ต้องกระทำกันตั้งแต่ระดับบุคคลขึ้นไป ด้วยการสร้างนิสัยประหยัด รู้จักใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเงินออม การรณรงค์จึงเป็นนโยบายของรัฐที่ต้องดำเนินการ และปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดการออมที่ยั่งยืนคือ การใช้จ่ายอย่างฉลาด มีแบบแผน และหลีกเลี่ยงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อย่าคำนึงแต่เพียงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สวยหรู แต่ประเทศและประชาชนกลับแบกหนี้จำนวนมาก ที่กำลังตามมาคือหนี้สาธารณะ งบ 3.5 แสนล้านจัดการน้ำและแก้อุทกภัยแบบยั่งยืน และงบ 2.2 ล้านล้าน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะกลายเป็นภาระก้อนใหญ่
หนี้ครัวเรือนสัญญาณเสี่ยงเศรษฐกิจ หนี้เสีย 20.5% ผู้กู้ 5 รายจะเป็นหนี้เสีย 1 ราย
คำถาม
1. จะมีผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงมีโอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มากน้อยแค่ไหน
2. จะมีผลกระทบต่อผู้เป็นหนี้ปกติ มากน้อยแค่ไหน
3. จะแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไรในฐานะประชาชนทั่วไป เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
http://www.komchadluek.net/detail/20130228/152819/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88.html#.US78aKKLCrE
หนี้ครัวเรือนสัญญาณเสี่ยงเศรษฐกิจ
หนี้ครัวเรือนสัญญาณเสี่ยงเศรษฐกิจ : บทบรรณาธิการประจำวันที่28ก.พ.2556
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมตลอดปี 2555 มีหลายเรื่องที่น่าเป็นห่วงและอาจกลายเป็นวิกฤติต่อไปในภายหน้าได้ โดยเฉพาะหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม คือ ครอบครัวหรือครัวเรือน ที่พบว่ามีความเสี่ยงเป็นหนี้ซ้ำซ้อนจากการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากตัวเลขยอดค้างสินเชื่อเพื่อการบริโภคและอุปโภคที่มีรวมสูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท ที่ยิ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ การผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ขณะที่ตัวเลขหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเรียกกันว่า หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอลนั้น จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มเป็นร้อยละ 20.5 จะว่าไปแล้วก็คือ ในผู้กู้ 5 รายจะเป็นหนี้เสีย 1 ราย เป็นอัตราที่สูงมาก
ในทางกลับกันอัตราการออมภาคครัวเรือนได้ลดลงต่ำเพียง ร้อยละ 5 ของจีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และจากข้อมูลในปี 2554 ระบุว่า ร้อยละ 54 ของครัวเรือนไทยไม่มีความสามารถในการออมเงิน จึงเกิดคำถามว่า การก่อหนี้ของครัวเรือนเกิดประโยชน์ใช้อย่างคุ้มค่าเพียงใด ก็พบว่า สาเหตุมาจากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น รถคันแรก การส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์จนมีความกังวลว่าจะเกิดฟองสบู่รอบใหม่ หรือการปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตของกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางหรือมนุษย์เงินเดือน โดยไม่มีการควบคุม จนก่อเกิดเป็นภาระหนี้ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง ฉะนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ประชาชนไม่มีการวางแผนใช้เงินอย่างรอบคอบ และการที่รัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่ายเกินไปหรือไม่
ปัจจัยการออมที่สำคัญที่สุด รายได้ ที่ต้องเพียงพอกับการใช้จ่ายสิ่งพื้นฐานและเหลือพอจะเก็บ แม้รัฐบาลได้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ แต่มาตรการดังกล่าวได้ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อผลกระทบของเงินเฟ้อไปหักล้างกับรายได้ เท่ากับว่าการขึ้นค่าจ้างจึงแทบไม่มีผลต่อรายได้ที่แท้จริง สิ่งที่รัฐบาลควรคำนึงอัตราเงินเฟ้อต้องควบคุมไม่ให้สูงจนเกิดความเสี่ยง และควบคุมการก่อหนี้ภาคครัวเรือนไม่ให้ขยายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ และต้องอย่าลืมวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 ทำให้ประเทศไทยต้องใช้เวลาฟื้นตัวนับสิบปี สาเหตุก็คล้ายกับสภาวะที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงมีนักวิชาการออกมาเตือนตลอดว่าให้ระวังจะซ้ำรอยในอดีตได้ แต่ดูเหมือนรัฐบาลทำหูทวนลม ท่องแต่คาถาเอาอยู่
แม้จะมีการส่งเสริมการออมระยะยาวด้วยการประกันชีวิต นำไปหักลดหย่อนภาษีได้เป็นแรงจูงใจ แต่การรณรงค์เพื่อสร้างเงินออมระดับประเทศ การระดมเงินออมเป็นสิ่งที่ต้องกระทำกันตั้งแต่ระดับบุคคลขึ้นไป ด้วยการสร้างนิสัยประหยัด รู้จักใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเงินออม การรณรงค์จึงเป็นนโยบายของรัฐที่ต้องดำเนินการ และปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดการออมที่ยั่งยืนคือ การใช้จ่ายอย่างฉลาด มีแบบแผน และหลีกเลี่ยงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อย่าคำนึงแต่เพียงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สวยหรู แต่ประเทศและประชาชนกลับแบกหนี้จำนวนมาก ที่กำลังตามมาคือหนี้สาธารณะ งบ 3.5 แสนล้านจัดการน้ำและแก้อุทกภัยแบบยั่งยืน และงบ 2.2 ล้านล้าน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะกลายเป็นภาระก้อนใหญ่