นิทานชาวสวน ๒๗ ก.พ.๕๖
นิทานชาวสวน
ชุด สงครามอินโดจีน
ตอน กรรมของสัตว์
บันทึกของ “พญาเขินคำ”
ตั้งสถานีวิทยุอยู่กับกองทัพได้ ๔ วัน ท่านแม่ทัพให้นายทหารคนสนิทมาบอกให้ไปตั้งที่อื่น เพราะหนวกหู เครื่องปั่นไฟเวลากลางคืน
เครื่องปั่นไฟคือเยนเนอเรเตอร์ ที่ทำไฟสูงใช้กับเครื่องส่ง เวลาทำการส่งข่าว ต้องใช้พลหมุน หมุนเครื่องปั่นไฟเรื่อยไป จะหยุดได้ต่อเมื่อส่งข่าวจบ คราวนี้ในขณะที่ปั่นไฟนั้น ผู้ทำหน้าที่ส่งคือคนเคาะคันเคาะเป็นจังหวะสั้น ๆ ยาว ๆ ตามโค้ตของตัวอักษร ภายในเครื่องปั่นไฟมันจะดังเป็นจังหวะสั้น-ยาวตามที่ผู้เคาะได้เคาะลงไป ส่งเสียงดังพอสมควร ยิ่งเวลากลางคืนยิ่งดังมาก พอที่คนฟังอยู่ห่าง ๑๐ วา จะฟังและอ่านเป็นตัวหนังสือได้สบายมาก
ผมจึงต้องย้ายสถานีไปอยู่ชิดกับลำห้วยพรมโหด หลังโรงเรียน ณ ที่นั้นมีบ้านของทหารสร้างไว้สามหลัง เป็นแบบบังกะโลหลังคามุงแฝก มาอยู่หลังสุดท้ายทางนอกทุ่งได้สองวัน ผบ.กองสื่อสารท่านมาดูว่าเหมาะสมหรือไม่ พอรุ่งขึ้นก็ถูกยื่นโนติสอีก ท่านจะเอาบ้านหลังนั้นเป็นที่พัก อ้างว่าเพื่อควบคุมสถานีวิทยุ ก็จริงของท่านเพราะสถานีวิทยุเป็นหัวใจของการสั่งการ และรับคำสั่ง ผมก็ขนต่อมาอยู่บ้านหลังที่สอง รุ่งขึ้นอีก ๒-๓ วัน ผมเห็นหญิง ผู้หนึ่งมาเฝ้าบ้านหลังนั้น ส่วนจะมาไง ๆ ไป ไง ๆ ผมไม่เอาใจใส่ เพราะถูกห้ามว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนบ้านพักนั้น จะต้องไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้น ผมก็คนบ้าวินัย จึงไม่รู้ไม่เห็นตามคำสั่ง จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังเป็นความลับ
ที่หน้าบ้านเป็นคันนาคันใหญ่ ใครไม่ทราบขุดหลุมหลบภัยไว้หนึ่งหลุม มองเห็นแล้วแต่ไม่เอาใจใส่ เพราะมองเห็นว่า นั่นมันหลุมเตรียมตัวตาย มากกว่าจะหลบภัย แต่พอกลางคืนเท่านั้น ก็ต้องเผ่นขาฉิ่ง แต่ไม่ยอมเข้าหลุมหลบภัยจากเครื่องบิน ผมกลับนั่งอยู่ปากหลุม คอยมองดูลูกระเบิดที่มันจะหล่นมาใส่กระบาลหัว เพราะเดือนหงายจัดมาก
คืนนั้นเครื่องบินสองเครื่องยนต์ของข้าศึกก็มาเยี่ยมเราจริง ๆ เสียงกลองเพลดัง ตูม ตูม ตูม ติด ๆ กันสองรา ทุกบ้านทุกเรือนตลอดจนโรงทหารต่างพากันดับไฟ แม้แต่บุหรี่ก็สูบไม่ได้ ต้องถูกร้องด่าหาว่าเป็น แนว ที่ ๕ ทันที เสียงเครื่องบินดังอืด ๆ มาจากหน้าแนว เสียงดังหนักแน่น ลูกน้องผมคนหนึ่งวิจารณ์ว่า
“ เที่ยวนี้มันคงขนระเบิดมามาก เสียงเครื่องยนต์ดังหนักแท้ ๆ “
ผมไล่ลูกน้องเข้าหลุมจนหมด เพราะหลุมมีหลังคา ตัวเองนั่งอยู่ปากทางเข้าหลุม พอเรียบร้อยเสียงเครื่องบิน ๆ ผ่านหัวพอดี และชั่วแว็บเดียวเสียงระเบิดก็แหวกอากาศดังเควี้ยวลงมา เสียงแซ็ด ๆ เพราะใบพัดขันชนวนลูกระเบิดได้ยินดังขึ้นทุกที ๆ เราก็คอยว่า เมื่อไรมันจะตุ๊บตั๊บลง จะได้รู้ว่าถูกกระบาลตัวเองหรือไม่ เพราะเห็นแสงเดือนสว่างจัด ผมชะเง้อมองว่ามันจะลงตรงไหนแน่ แต่มองไม่เห็น
ครั้นแล้วเสียงตูมสนั่นหวั่นไหว แผ่นดินเสทือน ผมรีบหดคอทำตัวให้ต่ำ แต่ไม่ทันเสียแล้ว มีวัตถุสิ่งหนึ่ง ปลิวมาถูกก้านคอทางด้านซ้าย ผมยกมือตะครุบด้วยความตกใจ ที่มือรู้สึกมีของเหลวเหนียวหนืด ตายละวา...นี่อ้ายพี่ถูกสะเก้ดระเบิดเข้าแล้วซี ตายแน่...คราวนี้ถึงตายแน่ !
ยกมือขึ้นมาดมเพราะคิดว่าเป็นเลือด ถ้าเลือดจริงต้องมีกลิ่น แต่ได้กลิ่นคล้ายขี้ควายค้างปี ยกมือคลำที่ก้านคออีกครั้ง คราวนี้เอานิ้วไช ๆ ดูว่ามีรูทะลุไหม เอ๊ะ...ไม่มี ไม่เจ็บไม่ปวด
เสียงระเบิดดังกึกก้องอีกสองลูก เสียงเครื่องบินบ่ายหัวกลับ พอห่างไปหน่อยมีเสียงระเบิดตูมตามติด ๆ กันไม่น้อยกว่า ๖-๗ ครั้งนับไม่ทัน แล้วเครื่องบินก็เงียบเสียงไป
การที่เครื่องบินหันไปทิ้งระเบิดลงกลางป่าตอนขากลับนั้น ผมมาทราบภายหลังว่า ทางกองทัพส่งคนไปจุดป่าไว้ เพราะฝ่ายข้าศึกชอบจ้างแนวที่ ๕ ให้คอยส่งสัญญาณจุดหมายให้ พอเห็นกองไฟในป่า พี่แกจะตรงดิ่งเข้าใส่แล้วเปิดท้องเรือบินทิ้ง ๆ ให้หมดหน้าที่ จะรีบกลับไปนอน ฉะนั้นจึงมีตำรวจคนหนึ่งทำหน้าที่นี้ กะว่าคืนไหนเดือนหงาย แกจะออกเดินในตอนเย็น พอสองทุ่มก็จุดไฟเผาป่าแล้วเดินทางกลับ พอเรือบินมาถึงก็ตรงเข้าทิ้งระเบิดทันที มีระเบิดเท่าใดเทกระจาดหมด นับเสียงระเบิดแทบไม่ทัน
กลองเพลดังตูม แสดงว่าหมดภัย ตำรวจเป็นคนตีกลอง ไม่ทราบว่าไปยืมกลองวัดไหนมา พวกเรารีบขึ้นจากหลุม ผมไม่รอช้าให้ทหารจุดไฟส่องดูก้านคอ ทหารบอกว่า
“ เลนครับหมู่ ไปเอาเลนมาทาคอทำไม “
พอทราบว่าเป็นเลนผมก็เดาถูก เพราะแรงระเบิดลูกแรกนั่นเอง ผลักดินลอยไปในอากาศ เจ้าก้อนนั้นจึงมาถูกก้านคอพอดี ถ้าเป็นสะเก็ดระเบิดทำลาย มีหวังไม่ได้มานั่งบ้าน้ำลายอยู่เช่นนี้เป็นแท้
พอตกกลางคืน นายมั่นนายคงเยาะเย้ยว่า
“ อุตส่าห์เอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทั้งที เสียแรงเปล่า กลับมาช่วยถางป่าให้เราเสียอีกเก่งจริงมากลางวันซี มาพะบู๊กันสักตั้ง ดูซิว่าใครจะแน่กว่าใคร “
ฝรั่งเศสก็แน่ รุ่งขึ้นสองวันแกมาจริง ๆ ตามคำท้าของไทย มาอย่างแหวกแนว คือบินสูงลิบ แล้วเบาเครื่องจิกหัวลงตรงสถานีรถไฟพอดี โดยที่ฝ่ายเราไม่ได้ยินเสียงเลย ผมกำลังเคาะสัญญาณส่งข่าวอยู่ ลูกน้องวิ่งเข้ามาบอกว่า
“ เร็วหมู่ เครื่องบินใครก็ไม่รู้ มาบินโฉบอยู่หน้ากองทัพ “
ผมทิ้งคันเคาะ คว้าพระรามหกติดมือโจนลงจากบ้านพัก ลูกน้องโดดตามเสียงตุ๊บ ๆ แล้วเข้าหลุมหลบภัยกันหมด ตัวเองหมุนไปหมุนมา ตัดสินใจโดดเข้าใต้ถุนบ้าน มองไปดูทางทิศตะวันตก เครื่องบินเล็ก ๆ สองเครื่องกำลังถาโถมลงยิงขบวนเกวียนที่จอดไว้กลางทุ่ง ยิงเอายิงเอา ลำหนึ่งเงยหัวขึ้นอีกลำก็จิกหัวลงยิงอีกสลับกันเช่นนั้นอย่างสนุกมือ เสียงฮ็อคพับฐาน ของเราติดเครื่องดังกระหึ่ม แล้วฮ็อคของไทยก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ เร่งเครื่องเสียจนไอเสียตลบก้น พุ่งหัวเข้าหาเครื่องบินที่จิกหัวยิงเกวียนทันที
เครื่องบินโมลานส์ ของฝรั่งเศสทำท่าจะวิ่งเข้าใส่ แต่แล้วกลับทิ้งตัวหลบลง พวกเราร้องโย้ นึกว่ามันตก ที่ไหนได้มันกลับควบจี๋มุ่งหน้ากลับบ้าน โดยหันตรงมาทางผมซึ่งยืนอยู่ใต้บันได เบื้องหลังฮ็อคของเรากวดตาม เร่งเครื่องจนควันตลบ แต่ยิ่งกวดยิ่งห่างเพราะเครื่องบินคนละเกรด ตัดสินใจโยนปืนวางบนราวบันได หลับตาซ้ายเล็งดักหน้าห้าช่วงตัว พอเครื่องบินเข้าศูนย์นั่งแท่น ลั่นไกทันที พระรามหกระเบิดปัง เครื่องบินโคลงตัวนิดหน่อย ถ้ามันเฉี่ยว ๆ ไป ผมนึก รีบกระชากลูกเลื่อนขึ้นนกใหม่ อ้าว ...แล้วกัน เครื่องบินทั้งสองเครื่องเปิดลิบซะแล้ว ง้างนกแล้วต้องยิง สุภาษิตกะเหรี่ยงว่าไว้ ผมเลยยิงตามก้นไปอีกหนึ่งนัด ถูกผิดช่างหัวมัน
ผลของการโจมตีวันนั้น ชายขายของถูกยิงขาหัก ที่บริเวณร้านค้าหน้ากองทัพ วัวตัวหนึ่งถูกลูกหลงที่สะโพกข้างขวาเป็นแผลเว่อ ไหปลาร้าของคนเฝ้าเกวียนแตกหมด ปลาร้าส่งกลิ่นจนกรรมการที่ไปตรวจต้องอุดจมูก
พอตกค่ำเอาอีกแล้ว นายมั่นกะนายคงยังไม่ทันพูด นายนกกระจอกกับนายน้ำมันก๊าดโม้มาทางอากาศว่า “ วันนี้เราส่งเครื่องบินขับไล่ โมลานส์ไปโจมตีอรัญประเทศ สามารถยิงทำลายปืนใหญ่พังพินาศไปหลายกระบอก “
นายมั่นนายคงเลยกระเซ้าว่า “ นายนกกระจอกส่งนักบินตาถั่วมาโจมตี เห็นกองเกวียนเป็นปืนใหญ่ ตาถั่วชัด ๆ “
แล้วถามว่า “ นักบินของท่านอดโซหรือไง คิดยิงวัวซึ่งกำลังกินหญ้า จะเอาไปทำเสต็กหรือ วัวไปทำอะไรให้ แสดงว่านักบินของท่านใจโหดร้าย ไม่มีศีลธรรม ไหนคุยว่า ศิวิไลย์ไงล่ะ รังแกกระทั่งสัตว์เดรัจฉาน “
################
วางเมื่อ เวลา ๐๗.๔๗
นิทานชาวสวน ๒๗ ก.พ.๕๖
นิทานชาวสวน
ชุด สงครามอินโดจีน
ตอน กรรมของสัตว์
บันทึกของ “พญาเขินคำ”
ตั้งสถานีวิทยุอยู่กับกองทัพได้ ๔ วัน ท่านแม่ทัพให้นายทหารคนสนิทมาบอกให้ไปตั้งที่อื่น เพราะหนวกหู เครื่องปั่นไฟเวลากลางคืน
เครื่องปั่นไฟคือเยนเนอเรเตอร์ ที่ทำไฟสูงใช้กับเครื่องส่ง เวลาทำการส่งข่าว ต้องใช้พลหมุน หมุนเครื่องปั่นไฟเรื่อยไป จะหยุดได้ต่อเมื่อส่งข่าวจบ คราวนี้ในขณะที่ปั่นไฟนั้น ผู้ทำหน้าที่ส่งคือคนเคาะคันเคาะเป็นจังหวะสั้น ๆ ยาว ๆ ตามโค้ตของตัวอักษร ภายในเครื่องปั่นไฟมันจะดังเป็นจังหวะสั้น-ยาวตามที่ผู้เคาะได้เคาะลงไป ส่งเสียงดังพอสมควร ยิ่งเวลากลางคืนยิ่งดังมาก พอที่คนฟังอยู่ห่าง ๑๐ วา จะฟังและอ่านเป็นตัวหนังสือได้สบายมาก
ผมจึงต้องย้ายสถานีไปอยู่ชิดกับลำห้วยพรมโหด หลังโรงเรียน ณ ที่นั้นมีบ้านของทหารสร้างไว้สามหลัง เป็นแบบบังกะโลหลังคามุงแฝก มาอยู่หลังสุดท้ายทางนอกทุ่งได้สองวัน ผบ.กองสื่อสารท่านมาดูว่าเหมาะสมหรือไม่ พอรุ่งขึ้นก็ถูกยื่นโนติสอีก ท่านจะเอาบ้านหลังนั้นเป็นที่พัก อ้างว่าเพื่อควบคุมสถานีวิทยุ ก็จริงของท่านเพราะสถานีวิทยุเป็นหัวใจของการสั่งการ และรับคำสั่ง ผมก็ขนต่อมาอยู่บ้านหลังที่สอง รุ่งขึ้นอีก ๒-๓ วัน ผมเห็นหญิง ผู้หนึ่งมาเฝ้าบ้านหลังนั้น ส่วนจะมาไง ๆ ไป ไง ๆ ผมไม่เอาใจใส่ เพราะถูกห้ามว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนบ้านพักนั้น จะต้องไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้น ผมก็คนบ้าวินัย จึงไม่รู้ไม่เห็นตามคำสั่ง จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังเป็นความลับ
ที่หน้าบ้านเป็นคันนาคันใหญ่ ใครไม่ทราบขุดหลุมหลบภัยไว้หนึ่งหลุม มองเห็นแล้วแต่ไม่เอาใจใส่ เพราะมองเห็นว่า นั่นมันหลุมเตรียมตัวตาย มากกว่าจะหลบภัย แต่พอกลางคืนเท่านั้น ก็ต้องเผ่นขาฉิ่ง แต่ไม่ยอมเข้าหลุมหลบภัยจากเครื่องบิน ผมกลับนั่งอยู่ปากหลุม คอยมองดูลูกระเบิดที่มันจะหล่นมาใส่กระบาลหัว เพราะเดือนหงายจัดมาก
คืนนั้นเครื่องบินสองเครื่องยนต์ของข้าศึกก็มาเยี่ยมเราจริง ๆ เสียงกลองเพลดัง ตูม ตูม ตูม ติด ๆ กันสองรา ทุกบ้านทุกเรือนตลอดจนโรงทหารต่างพากันดับไฟ แม้แต่บุหรี่ก็สูบไม่ได้ ต้องถูกร้องด่าหาว่าเป็น แนว ที่ ๕ ทันที เสียงเครื่องบินดังอืด ๆ มาจากหน้าแนว เสียงดังหนักแน่น ลูกน้องผมคนหนึ่งวิจารณ์ว่า
“ เที่ยวนี้มันคงขนระเบิดมามาก เสียงเครื่องยนต์ดังหนักแท้ ๆ “
ผมไล่ลูกน้องเข้าหลุมจนหมด เพราะหลุมมีหลังคา ตัวเองนั่งอยู่ปากทางเข้าหลุม พอเรียบร้อยเสียงเครื่องบิน ๆ ผ่านหัวพอดี และชั่วแว็บเดียวเสียงระเบิดก็แหวกอากาศดังเควี้ยวลงมา เสียงแซ็ด ๆ เพราะใบพัดขันชนวนลูกระเบิดได้ยินดังขึ้นทุกที ๆ เราก็คอยว่า เมื่อไรมันจะตุ๊บตั๊บลง จะได้รู้ว่าถูกกระบาลตัวเองหรือไม่ เพราะเห็นแสงเดือนสว่างจัด ผมชะเง้อมองว่ามันจะลงตรงไหนแน่ แต่มองไม่เห็น
ครั้นแล้วเสียงตูมสนั่นหวั่นไหว แผ่นดินเสทือน ผมรีบหดคอทำตัวให้ต่ำ แต่ไม่ทันเสียแล้ว มีวัตถุสิ่งหนึ่ง ปลิวมาถูกก้านคอทางด้านซ้าย ผมยกมือตะครุบด้วยความตกใจ ที่มือรู้สึกมีของเหลวเหนียวหนืด ตายละวา...นี่อ้ายพี่ถูกสะเก้ดระเบิดเข้าแล้วซี ตายแน่...คราวนี้ถึงตายแน่ !
ยกมือขึ้นมาดมเพราะคิดว่าเป็นเลือด ถ้าเลือดจริงต้องมีกลิ่น แต่ได้กลิ่นคล้ายขี้ควายค้างปี ยกมือคลำที่ก้านคออีกครั้ง คราวนี้เอานิ้วไช ๆ ดูว่ามีรูทะลุไหม เอ๊ะ...ไม่มี ไม่เจ็บไม่ปวด
เสียงระเบิดดังกึกก้องอีกสองลูก เสียงเครื่องบินบ่ายหัวกลับ พอห่างไปหน่อยมีเสียงระเบิดตูมตามติด ๆ กันไม่น้อยกว่า ๖-๗ ครั้งนับไม่ทัน แล้วเครื่องบินก็เงียบเสียงไป
การที่เครื่องบินหันไปทิ้งระเบิดลงกลางป่าตอนขากลับนั้น ผมมาทราบภายหลังว่า ทางกองทัพส่งคนไปจุดป่าไว้ เพราะฝ่ายข้าศึกชอบจ้างแนวที่ ๕ ให้คอยส่งสัญญาณจุดหมายให้ พอเห็นกองไฟในป่า พี่แกจะตรงดิ่งเข้าใส่แล้วเปิดท้องเรือบินทิ้ง ๆ ให้หมดหน้าที่ จะรีบกลับไปนอน ฉะนั้นจึงมีตำรวจคนหนึ่งทำหน้าที่นี้ กะว่าคืนไหนเดือนหงาย แกจะออกเดินในตอนเย็น พอสองทุ่มก็จุดไฟเผาป่าแล้วเดินทางกลับ พอเรือบินมาถึงก็ตรงเข้าทิ้งระเบิดทันที มีระเบิดเท่าใดเทกระจาดหมด นับเสียงระเบิดแทบไม่ทัน
กลองเพลดังตูม แสดงว่าหมดภัย ตำรวจเป็นคนตีกลอง ไม่ทราบว่าไปยืมกลองวัดไหนมา พวกเรารีบขึ้นจากหลุม ผมไม่รอช้าให้ทหารจุดไฟส่องดูก้านคอ ทหารบอกว่า
“ เลนครับหมู่ ไปเอาเลนมาทาคอทำไม “
พอทราบว่าเป็นเลนผมก็เดาถูก เพราะแรงระเบิดลูกแรกนั่นเอง ผลักดินลอยไปในอากาศ เจ้าก้อนนั้นจึงมาถูกก้านคอพอดี ถ้าเป็นสะเก็ดระเบิดทำลาย มีหวังไม่ได้มานั่งบ้าน้ำลายอยู่เช่นนี้เป็นแท้
พอตกกลางคืน นายมั่นนายคงเยาะเย้ยว่า
“ อุตส่าห์เอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทั้งที เสียแรงเปล่า กลับมาช่วยถางป่าให้เราเสียอีกเก่งจริงมากลางวันซี มาพะบู๊กันสักตั้ง ดูซิว่าใครจะแน่กว่าใคร “
ฝรั่งเศสก็แน่ รุ่งขึ้นสองวันแกมาจริง ๆ ตามคำท้าของไทย มาอย่างแหวกแนว คือบินสูงลิบ แล้วเบาเครื่องจิกหัวลงตรงสถานีรถไฟพอดี โดยที่ฝ่ายเราไม่ได้ยินเสียงเลย ผมกำลังเคาะสัญญาณส่งข่าวอยู่ ลูกน้องวิ่งเข้ามาบอกว่า
“ เร็วหมู่ เครื่องบินใครก็ไม่รู้ มาบินโฉบอยู่หน้ากองทัพ “
ผมทิ้งคันเคาะ คว้าพระรามหกติดมือโจนลงจากบ้านพัก ลูกน้องโดดตามเสียงตุ๊บ ๆ แล้วเข้าหลุมหลบภัยกันหมด ตัวเองหมุนไปหมุนมา ตัดสินใจโดดเข้าใต้ถุนบ้าน มองไปดูทางทิศตะวันตก เครื่องบินเล็ก ๆ สองเครื่องกำลังถาโถมลงยิงขบวนเกวียนที่จอดไว้กลางทุ่ง ยิงเอายิงเอา ลำหนึ่งเงยหัวขึ้นอีกลำก็จิกหัวลงยิงอีกสลับกันเช่นนั้นอย่างสนุกมือ เสียงฮ็อคพับฐาน ของเราติดเครื่องดังกระหึ่ม แล้วฮ็อคของไทยก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ เร่งเครื่องเสียจนไอเสียตลบก้น พุ่งหัวเข้าหาเครื่องบินที่จิกหัวยิงเกวียนทันที
เครื่องบินโมลานส์ ของฝรั่งเศสทำท่าจะวิ่งเข้าใส่ แต่แล้วกลับทิ้งตัวหลบลง พวกเราร้องโย้ นึกว่ามันตก ที่ไหนได้มันกลับควบจี๋มุ่งหน้ากลับบ้าน โดยหันตรงมาทางผมซึ่งยืนอยู่ใต้บันได เบื้องหลังฮ็อคของเรากวดตาม เร่งเครื่องจนควันตลบ แต่ยิ่งกวดยิ่งห่างเพราะเครื่องบินคนละเกรด ตัดสินใจโยนปืนวางบนราวบันได หลับตาซ้ายเล็งดักหน้าห้าช่วงตัว พอเครื่องบินเข้าศูนย์นั่งแท่น ลั่นไกทันที พระรามหกระเบิดปัง เครื่องบินโคลงตัวนิดหน่อย ถ้ามันเฉี่ยว ๆ ไป ผมนึก รีบกระชากลูกเลื่อนขึ้นนกใหม่ อ้าว ...แล้วกัน เครื่องบินทั้งสองเครื่องเปิดลิบซะแล้ว ง้างนกแล้วต้องยิง สุภาษิตกะเหรี่ยงว่าไว้ ผมเลยยิงตามก้นไปอีกหนึ่งนัด ถูกผิดช่างหัวมัน
ผลของการโจมตีวันนั้น ชายขายของถูกยิงขาหัก ที่บริเวณร้านค้าหน้ากองทัพ วัวตัวหนึ่งถูกลูกหลงที่สะโพกข้างขวาเป็นแผลเว่อ ไหปลาร้าของคนเฝ้าเกวียนแตกหมด ปลาร้าส่งกลิ่นจนกรรมการที่ไปตรวจต้องอุดจมูก
พอตกค่ำเอาอีกแล้ว นายมั่นกะนายคงยังไม่ทันพูด นายนกกระจอกกับนายน้ำมันก๊าดโม้มาทางอากาศว่า “ วันนี้เราส่งเครื่องบินขับไล่ โมลานส์ไปโจมตีอรัญประเทศ สามารถยิงทำลายปืนใหญ่พังพินาศไปหลายกระบอก “
นายมั่นนายคงเลยกระเซ้าว่า “ นายนกกระจอกส่งนักบินตาถั่วมาโจมตี เห็นกองเกวียนเป็นปืนใหญ่ ตาถั่วชัด ๆ “
แล้วถามว่า “ นักบินของท่านอดโซหรือไง คิดยิงวัวซึ่งกำลังกินหญ้า จะเอาไปทำเสต็กหรือ วัวไปทำอะไรให้ แสดงว่านักบินของท่านใจโหดร้าย ไม่มีศีลธรรม ไหนคุยว่า ศิวิไลย์ไงล่ะ รังแกกระทั่งสัตว์เดรัจฉาน “
################
วางเมื่อ เวลา ๐๗.๔๗