นำบทความเรืองถวิลหาอดีตของคุณแม่ ในสมัยสงครามโลกมาฝากเพื่อนๆค่ะ

ป้ามีแม่เกิดทันสมัยสงครามโลก เลยถามถึงความทรงจำสมัยสงครามโลก แล้วเอามาเขียน เราว่าที่จอมพล ป เป็นมิตรกับญี่ปุ่น ก้อดีส่วนนึง ไม่งั้นญี่ปุ่นอาจทำกับคนไทยแบบที่ทำกับคนจีนสมัยสงครามนานกิงก็ได้

    คุณแม่ของผู้เขียนเป็นชาวอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เกิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 คุณแม่ยังเป็นเด็ก เลยคิดแตกต่างจากผู้ใหญ่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ได้อยู่ในช่วงสงคราม คงรู้รสชาติของความทุกข์ คิดแต่ในเรื่องความทารุณโหดร้าย ของสงคราม แต่คุณแม่ของผู้เขียนตอนนั้นยังไม่รู้เดียงสามากนัก เลยยังคิดว่าตอนสงครามช่างเป็นเรื่องสนุกสนาน ตื่นเต้นตามภาษาเด็กๆ

   โดยเฉพาะตอนไดัยินเสียงหวอที่ ทหารเตือนว่ากำลังจะมีการทิ้งระเบิด ทางผู้ใหญ่อาจจะตื่นกลัว ต้องรีบกุลีกุจอพาลูกหลานอพยพเข้าไปในหลุมหลบภัย แต่คุณแม่ของผู้เขียน กลับรู้สึกเหมือนกับว่า การที่ได้ยินเสียงหวอ ดังเพื่อเป็นการเตือนว่าให้คนระวังว่า จะมีการทิ้งระเบิดก็เหมือนกับ การเล่นวิ่งไล่จับแบบเด็กๆ ให้เด็กๆรีบวิ่งเล่นเข้าไปหลบในหลุมหลบภัย

   ซึ่งหลุมหลบภัย ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสงคราม ทางผู้เขียนได้ ศึกษาหาข้อมูล และได้ถามจากทางคุณแม่ หลุมหลบภัยในกรุงเทพฯ สำหรับประเทศไทยในช่วง แรก ๆ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การสร้างหลุมหลบภัยจะเป็นการขุดดินลงไปมีลักษณะเป็นโพรงซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการวางระเบิดทางอากาศแต่ไม่ใช่การป้องกันภัยจากกระสุนปืน

    หากเป็นการป้องกันภัยจากกระสุนปืนใหญ่ ที่หลบภัยจะมีลักษณะรูปแบบคล้ายกันกับของอเมริกา คือ มีไม้ขนาดใหญ่เป็นโครงสร้างด้านใน เพราะสมัยก่อนบ้านเรามีไม้มาก หาได้ง่าย เอามาวางเรียงกันด้านบนแล้วเอาดินกลบให้มิดทั้งหมด โดยเปิดทางหัวท้ายเอาไว้ ทำเป็นช่องทางเดินเข้า-ออก

   ก่อนลงมือทำหลบหลุมภัยต้องเลือกตำแหน่งให้กับหลุมหลบภัยเสียก่อน โดยจะต้องพยายามให้อยู่ใกล้กับหมู่บ้านหรือแหล่งที่อยู่อาศัยของผู้คน เมื่อเวลามีอะไรเกิดขึ้นหรือมีสัญญาณแจ้งเตือนภัย จะได้วิ่งมาหลบที่หลุมหลบภัยกันได้ทันท่วงที รวมทั้งจะต้องเป็น บริเวณที่น้ำไม่ท่วมหรือไม่มีน้ำท่วมขัง เพื่อให้หลุมหลบภัยมีสภาพใช้งานที่สมบูรณ์และคงทนใช้ได้นาน

    ส่วนหลุมหลบภัยที่ทางบ้านของคุณแม่เป็นคนสร้างเป็นหลุมหลบภัยที่สร้างจากธรรมชาติ โดยการขุดดินให้ลึกลงไปพอที่จะให้คนทั้งครอบครัวเข้าไปหลบภัยที่หลุมหลบภัยไดั ซึ่งทางบ้านของคุณแม่ได้สร้างหลุมหลบภัย ที่ตรงบริเวณสวนที่มีต้นไม้หนาทึบ

    ส่วนที่ปิดปากหลุมก็ใช้ต้นไม้ตามธรรมชาติเป็นที่กำบังตนจากข้าศึกซะเลย ไม่ต้องเสียเเรงเสียเวลาเอาไม้มาสรัางเป็นที่ปิดปากหลุม เพื่อที่เครื่องบินจะได้ไม่มาทิ้งระเบิดเพราะเป็นบริเวณสวนไม่มีบ้านของประชาชนอาศัยอยู่ จึงไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ที่ทหารจะนำมาทิ้งระเบิด

    ประการต่อมา เมื่อเข้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยแล้ว ให้นั่งในท่าที่สบาย ๆ โดยปกติการหลบลูกระเบิดที่มีสะเก็ด ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระเบิด ท่าที่ถูกต้อง คือ ท่านอนราบ เพื่อป้องกันสะเก็ดที่อาจจะกระเด็นมาถูกตัว
ตอนนั้นคุณแม่ยังเด็กมาก เลยไม่กลัวหรือร้องไห้งอแงเวลาต้องเข้าไปในหลุมหลบภัย แค่รัสึกว่าเวลามีเสียงเตือนภัยก็เข้าไปนอนในที่ใหม่เปลี่ยนบรรยากาศ จากการนอนในบ้านเป็นไปนอนเล่นในสวน ถ้าง่วงก็นอนหลับไปก็เท่านั้นเองค่ะ

   ทหารญี่ปุ่นชาวกรุงเทพในสมัยสงครามโลกจะคิดยังไงไม่ทราบ บางคนอาจจะว่าทหารญี่ปุ่นแย่ จนต้องมีขบวนการเสรีไทยต่อต้านทหารญี่ปุ่น แต่สำหรับคนในจังหวัดสงขลา คุณแม่จำไดัว่า ทหารญี่ปุ่นเป็นมิตรกับชาวสงขลา

   เพราะทหารญี่ปุ่นจะเป็นเพื่อนเล่น จะซื้อขนมมาให้เด็กๆ เวลาชาวบ้านอดหยาก ต้องการสิ่งของอะไร ทหารญี่ปุ่นก็จะหามาให้ชาวบ้าน คอยช่วยเหลือชาวบ้าน อาจเพราะว่าทหารญี่ปุ่น ต้องรอนแรมมาไกลจากต่างแดน ต้องจากลูกจากหลาน จากเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องที่ญี่ปุ่นมาทำสงครามในไทย ชาวญี่ปุ่นเลยเห็นเด็กแบบคุณแม่เป็นเหมือนลูกหลานของตัวเอง

   แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกจะเป็นยังไง แต่คุณแม่เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือญี่ปุ่น ถ้าเลือกได้คงไม่อยากให้โลกนี้มีสงคราม เพราะไม่ว่าจะรบราฆ่าฟันทำสงครามกันกี่ครั้ง ประเทศชาติก็มีแต่จะพังพินาศปัญหาก็ไม่มีทางยุติลง ถ้าทั้ง2ฝ่ายไม่ยอมกลับตัวกลับใจหันหน้าเข้ามาเจรจากัน

    แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมหยุดต่อสู้ แล้วยอมตกลงเป็นพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อให้ทั้ง2ฝ่ายได้ประโยชน์ ก็จะมีแต่การพัฒนาอันยั่งยืนเกิดขึ้นทั้ง2ประเทศ เพราะชัยชนะที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการนองเลือดของประชาชน แต่เกิดจากการมีเลือดที่รักชาติ และความพร้อมที่จะให้ความสงบร่มเย็นกับประชาชนในประเทศต่างหากค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่